๗.ปฏฺฐาน
เหตุปจฺจโย เหตุเป็นปัจจัย
เหตุที่ตั้งอยู่เฉพาะแห่งผล มี ๖ อย่าง ได้แก่ อกุศลเหตุ ๓ คือ โลภะ โทสะ โมหะ
กุศลเหตุ ๓ คือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ อกุศลเหตุเป็นปัจจัยแดนเกิดแห่งผล
คืออุดหนุนให้เกิดนาม รูป หรือ จิต เจตสิก และรูปฝ่ายอกุศล
กุศลเหตุเป็นปัจจัยแห่งนามรูปฝ่ายกุศล เหมือนอย่างรากแก้วของต้นไม้ใหญ่
เป็นที่ตั้งอยู่ได้ของต้นไม้ และช่วยอุดหนุนต้นไม้ให้งอกงาม
อารมฺมณปจฺจโย อารมณ์เป็นปัจจัย
อารมณ์เป็นเรื่องเจตสิกทั้งหลายยึดหน่วง มี ๖ อย่าง ได้แก่
รูปารมณ์
อารมณ์คือรูป
สัททารมณ์
อารมณ์คือเสียง
คันธารมณ์
อารมณ์คือกลิ่น
รสารมณ์ อารมณ์คือรส
โผฏฐัพารมณ์
อารมณ์คือโผฏฐัพพะ สิ่งที่กายถูกต้อง
ธัมมารมณ์ อารมณ์คือ
ธรรม ได้แก่เรื่องของรูปเป็นต้นที่ได้ประสบแล้วในอดีต
อารมณ์เหล่านั้นเป็นปัจจัยแห่งเหตุ ๖
ประการเหล่านั้น เพราะจิตและเจตสิกทั้งปวงต้องอาศัยยึดหน่วงอารมณ์จึงเกิดขึ้นได้
เหมือนอย่างคนชราหรือทุพพลต้องอาศัยไม้เท้าหรือเชือกเป็นเครื่องยึดหน่วง จึงทรงตัวลุกขึ้นเดินไปได้
อธิปติปจฺจโย อธิบดีเป็นปัจจัย
อธิบดีคือธรรมที่เป็นใหญ่กว่าสัมปยุตตธรรมที่เกี่ยวเนื่องกับตน แบ่งเป็น ๓
ประเภทก่อนคือ
อารัมมณาธิปติ อธิบดีคืออารมณ์ชนิดที่น่าปรารถนาอย่างแรง
๑
สหชาตาธิปติ
อธิบดีคือธรรมที่เกิดร่วมกัน ๑
สหชาตาธิปติ มี ๔ อย่างคือ
ฉันทาธิปติ
อธิบดีคือฉันทะเจตสิก ความพอใจที่เกิดขึ้นในใจ
วิริยาธิปติ อธิบดี
คือวิริยะเจตสิก ความเพียรที่เกิดขึ้นในใจ
จิตตาธิปติ อธิบดี
คือความเอาใจใส่จดจ่อ
วิมังสาธิปติ
อธิบดีปัญญาเจตสิก ปัญญาใคร่ครวญพิจารณาเกิดขึ้นในใจอารมณ์อย่างแรงเป็นอธิปติปัจจัย
เพราะทำให้นามธรรม คือจิตและเจตสิกน้อมไปยึดอย่างหนักหน่วง ส่วน
อธิบดี ๔ มีฉันทะเป็นต้น เป็นอธิปติปัจจัยเพราะสามารถยังธรรม
ซึ่งเกิดร่วมกับตน และนามธรรมอื่นซึ่งไม่สามารถจะเป็นอธิบดีได้
ให้น้อมไปตามอำนาจของตน
อนนฺตรปจฺจโย ธรรมที่เกิดเป็นลำดับไม่มีระหว่างคั่นเป็นปัจจัย
คือสามารถยังจิตตุปบาท (ความเกิดแห่งจิต)
อันสมควรกันให้เกิดขึ้นในลำดับของตน ได้แก่ นามธรรม คือ
จิตและเจตสิกที่เกิดก่อน เป็นปัจจัยอุดหนุนแก่นามธรรม
คือจิตและเจตสิกที่เกิดทีหลัง ได้แก่ช่วยอุปการะให้เกิดขึ้นสืบต่อกันไปโดยไม่ว่างเว้น
คือไม่มีระหว่างคั่นเว้นไว้แต่จุติจิตของพระอรหันต์
สมนนฺตรปจฺจโย
ธรรมที่เกิดเป็นลำดับสืบต่อกันเรื่อยไป
ไม่มีธรรมอื่นมาคั่นระหว่างเลยทีเดียวเป็นปัจจัย
ได้แก่นามธรรมที่เกิดก่อนเป็น สมนันตรปัจจัยแก่นามธรรมที่เกิดภายหลัง คล้ายกับอนัตรปัจจัย
สหชาตปจฺจโย
ธรรมที่เกิดร่วมเป็นปัจจัย คือ
ธรรมที่เกิดร่วมกันต่างเป็นปัจจัยอุดหนุนกันเอง
ด้วยอำนาจที่ยังธรรมที่เกิดร่วมกันให้เกิดพร้อมกัน เพราะเมื่อตนไม่เกิด
แม้ธรรมที่เกิดร่วมกันก็ไม่เกิดขึ้นได้ เหมือนอย่างดวงไฟเกิดพร้อมกับแสงไฟ เมื่อไม่มีดวงไฟ แสงไฟก็มีขึ้นไม่ได้
เช่น นามขันธ์ ๔ มหาภูตรูป ๔ ปฏิสนธิหทัยวัตถุ
เป็นสหชาตปัจจัย
อญฺญมญฺญปจฺจโย
ธรรมแต่ละอย่างต่างต้องอาศัยกันและกันเป็นปัจจัย
คือธรรมที่เป็นอุปการะโดยอุดหนุนกันและกันให้เกิดขึ้น
เหมือนอย่างไม้ ๓ อัน ต่างพิงอาศัยกันจึงตั้งอยู่ได้ ได้แก่นามขันธ์
๔ช่วยอุดหนุนกันและกันเกิดขึ้นมหาภูตรูป ๔
ช่วยอุดหนุนกันและกันเกิดขึ้น ปฏิสนธินามขันธ์ ๔ และปฏิสนธิหทัยวัตถุ
ช่วยอุดหนุนกันและกันเกิดขึ้น
นิสฺสยปจฺจโย
ธรรมเป็นปัจจัยโดยเป็นนิสัยที่อาศัย
คือเป็นที่อาศัยโดยอธิษฐานการ คืออาการที่ตั้งมั่น ๑ เป็นที่อาศัยโดยนิสสยาการ
คืออาการที่อ้างอิงอาศัย ๑
ธรรมเป็นนิสัยปัจจัยที่อาศัยโดยอาการที่ตั้งมั่นนั้นได้แก่ปฐวีธาตุ เป็นที่อาศัยตั้งมั่นแห่งธาตุอื่น
วัตถุ ๖ มีจักขุเป็นต้น เป็นที่อาศัยตั้งมั่นแห่งจักขุวิญญาณเป็นต้น
เหมือนอย่างแผ่นดินที่อาศัยตั้งมั่นของต้นไม้เป็นต้นบนแผ่นดิน
ธรรมเป็นนิสัยที่อาศัยโดยอาการที่อิงอาศัยนั้น ได้แก่นามขันธ์ ๔
เป็นที่อิงอาศัยกันและกัน อาโป เตโช วาโยก็
เหมือนกัน
เหมือนอย่างแผ่นผ้าเป็นที่อาศัยแห่งจิตกรรมภาพวาดเขียน
อุปนิสฺสยปจฺจโย
ธรรม เป็นปัจจัยโดยเป็นอุปนิสัยที่อาศัยอย่างแรงกล้า
ได้แก่อารมณ์อย่างแรงกล้า เหมือนอย่างอารมณ์ที่เป็นอธิปติปัจจัยเป็นที่อาศัย
อย่างแรงกล้าให้เกิดธรรมที่เกิดจากอารมณ์นั้นเป็นปัจจัย
เรียกว่าอารัมมณูปนิสสยปัจจัย ธรรมเป็นปัจจัยโดยอุปนิสัยที่อาศัยอย่างแรงกล้าคือ
อารมณ์ ธรรมที่เกิดเป็นลำดับ ไม่มีระหว่างคั่นอย่างแรงกล้าเหมือนอย่าง
อนันตรปัจจัย
เป็นอุปนิสสยปัจจัยให้เกิดธรรมที่เกิดจากธรรมนั้นเป็นปัจจัยโดยไม่มีระหว่างคั่น
เรียกว่า อนันตรูปนิสสยปัจจัย ธรรมเป็นปัจจัยโดยเป็นอุปนิสัยที่อาศัยอย่างแรงกล้า
คือธรรมที่เกิดเป็นลำดับไม่มีระหว่างคั่น เหตุที่มาจนเป็นปกตินิสัยแล้ว
ไม่เกี่ยวข้องด้วยอารัมณปัจจัย เป็นเหตุที่ตนทำให้เกิดขึ้นเอง เช่นกุศลธรรม
อกุศลธรรมต่างๆ ก็ดี เป็นเหตุฝ่ายกุศลและอกุศล
ที่เนื่องจากการเสวนาซ่องเสพบุคคลและอาหารเป็นต้นของตนก็ดี เรียกว่า
ปกตูปนิสสยปัจจัย ธรรมเป็นปัจจัยโดยอุปนิสัยที่อาศัยอย่างแรงกล้า
คือเหตุที่ทำมาจนเป็นอุปนิสัยแล้ว
ปุเรชาตปจฺจโย
ธรรมที่เกิดก่อนเป็นปัจจัย
คือธรรมที่เกิดขึ้นก่อนแล้วยังคงมีอยู่ไม่ดับไป
ได้แก่รูปธรรมที่เกิดขึ้นก่อนแล้วยังไม่ดับไป เป็นปัจจัยอุดหนุนนามธรรม
คือจิตและเจตสิกให้เกิดขึ้น เปรียบเหมือนพระอาทิตย์และพระจันทร์เกิดขึ้นก่อนยังไม่ดับ
สัตว์โลกทั้งหลายจึงได้อาศัยเกิดขึ้นเป็นไปอยู่ในโลก
ปจฺฉาชาตปจฺจโย
ธรรมที่เกิดภายหลังเป็นปัจจัย ได้แก่ นามธรรมคือจิตและเจตสิกที่เกิดทีหลัง
เป็นปัจจัยปัจจัยอุดหนุนแก่รูปธรรมที่เกิดก่อนให้ตั้งอยู่ได้จนครบอายุ
อายุของรูปธรรมเท่ากับอายุของจิต ๑๗ ดวง รูปธรรมที่เกิดก่อนจะตั้งอยู่ได้ตลอด ๑๗
ขณะจิตนี้ ก็เพราะจิตและเจตสิกที่เกิดทีหลังอุปถัมภ์ให้ตั้งอยู่และให้เจริญ มีอุปมาเหมือนอย่างต้นไม้ที่ปลูกไว้แล้ว
จะตั้งอยู่และเจริญขึ้นได้ ก็ด้วยอาศัยน้ำฝนที่ ตกลงมา หรือเอาน้ำรดในภายหลัง
หรือมีอุปมาเหมือนอย่างลูกนกแร้งที่ยังเล็ก บินไปหาอาหารมิได้
ก็ได้อาศัยเจตนาที่หวังอาหารนั่นเองบำรุงเลี้ยง จนกว่าจะบินออกไปหาอาหารเองได้
อาเสวนปจฺจโย
ธรรมที่ทำหน้าที่เสพอารมณ์บ่อย ๆ
เป็นปัจจัย ได้แก่โลกิยชวนจิตที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ชื่อว่าเสพอารมณ์บ่อย ๆ
เป็นปัจจัยอุดหนุนธรรมที่เป็นเชื้อสายชาติเดียวกันให้เกิดขึ้น เช่น เมื่อกุศลชวนจิตดวง
๑ เกิดขึ้น ก็เป็นปัจจัยอุดหนุนกุศลชวนจิตชนิดเดียวกันให้เกิดขึ้นเป็นดวงที่ ๒
เป็นปัจจัยอุดหนุนต่อกันไปดังนี้ จนถึงดวงที่ ๗ ซึ่งเป็นตัวเจตนาลงสันนิษฐานให้สำเร็จกิจอย่างหนึ่ง
ๆ เหมือนอย่างบุคคลที่เรียนวิชาใดอย่างหนึ่งมาแล้ว
ย่อมเรียนวิชาอย่างเดียวกันต่อขึ้นไปได้ง่าย
และเร็วขึ้นจนกระทั่งสำเร็จการเรียนวิชาอย่างนั้น
กมฺมปจฺจโย
กรรมเป็นปัจจัย กรรมได้แก่เจตสิกธรรม
คือเจตนา ความจงใจ เป็นปัจจัยปรุงแต่งจัดแจงจิต เจตสิกธรรมที่เกิดในจิต กัมมชรูป
รูปที่เกิดแต่กรรม และจิตตชรูป รูปที่เกิดแต่จิต ที่เกิดรวมกันเป็นสหชาตธรรม
เช่นเมื่อจิตและเจตสิกรับรูปารมณ์เป็นต้น เกิดโลภจิตขึ้น
กรรมคือเจตนาที่เป็นสหชาตเกิดร่วมอยู่ด้วย ก็เป็นปัจจัยปรุงแต่งจัดแจงโลภจิตนั้นให้เข้ารับรูปารมณ์เต็มที่
เป็นเหตุให้แสดงอาการของโลภะออกมาทางกายวาจา ด้วยอำนาจโลภมูลเจตนา อีกอย่างหนึ่ง
กรรมที่เป็น นานาขณิกะเกิดขึ้นในขณะต่าง ๆกัน เป็นปัจจัยเพาะพืชพันธุ์ไว้
เมื่อกุศลเจตนา และอกุศลเจตนาเกิดขึ้นพร้อมกับจิตนั้นดับไปแล้ว
กรรมคือเจตนานี้ยังเพาะพืชพันธุ์ไว้ มีอำนาจส่งผลให้ปรากฏขึ้ในภายหลัง
วิปากปจฺจโย
วิบากเป็นปัจจัย
วิบากคือธรรมที่เป็นผลของกุศล และอกุศล ได้แก่วิบากนามขันธ์ ๔ หรือวิบากจิตเจตสิก
เป็นปัจจัยอุดหนุนซึ่งกันและกัน และเป็นปัจจัยอุดหนุนปฏิสนธิกัมมชรูปและจิตตชรูป
วิบากเป็นปัจจัยอุดหนุนวิบากนี้ มีอุปมาเหมือนอย่างชราซึ่งเป็นวิบาก
เกิดสืบมาจากชาติชรา ในตอนแรก ๆ ที่ติดมาตั้งแต่เป็นทารก
เป็นปัจจัยอุดหนุนชราในตอนหลัง ๆ โดยลำดับ
อาหารปจฺจโย
อาหารเป็นปัจจัย สภาพที่นำผลมา
คือประมวรมาซึ่งผลของตน ๆ ชื่อว่าอาหาร เป็นปัจจัยอุปถัมภ์รูปธรรมและนามธรรมทั้งหลาย
อาการปัจจัยนี้มี ๔ อย่างคือ
กวฬิงการาหาร อาหารคือคำข้าว ได้แก่โอชาภายนอกที่อยู่ในอาหารต่าง ๆ
เป็นรูปอาหาร เป็นปัจจัยอุดหนุนรูปกาย
ผัสสาหาร อาหารคือผัสสะ
มโนสัญเจตนาหาร อาหารคือเจตนาจงใจ
วิญญาณาหาร อาหารคือวิญญาณ
สามข้อ(หลัง)นี้เป็นนามอาหาร เป็นปัจจัยอุดหนุนนามธรรม
คือจิตเจตสิกที่ประกอบด้วยตน และอุดหนุนจิตตชรูปและปฏิสนธิกัมมชรูป
ซึ่งมีนามอาหารและจิตเจตสิกนั้นเป็นสมุฏฐาน อาหารเหล่านี้
เป็นปัจจัยอุดหนุนรูปธรรมและนามธรรมของสัตว์ทั่วทั้ง ๓๑ ภูมิ
เพราะสัตว์ทั้งปวงดำรงอยู่ได้เพราะอาหาร
อินฺทฺริยปจฺจโย
อินทรีย์เป็นปัจจัย ธรรมที่เป็นใหญ่
คือกระทำซึ่งความเป็นใหญ่ยิ่งชื่อว่าอิทรีย์ มี ๒๒คือ
จักขุนทรีย์ อินทรีย์คือ ตา
โสตินทรีย์ อินทรีย์คือ หู
ฆานินทรีย์ อินทรีย์ คือจมูก
ชิวหินทรีย์ อินทรีย์ลิ้น
กายินทรีย์ อินทรีย์คือกาย
มนินทรีย์ อินทรีย์คือใจ
อิตถินทรีย์ อินทรีย์คือหญิง
ปุริสินทรีย์ อินทรีย์คือชาย
ชีวิตินทรีย์ อินทรีย์คือชีวิต
สุขินทรีย์ อิทรีย์คือสุข
ทุกขินทรีย์ อินทรีย์คือทุกข์
โสมนัสสินทรีย์ อินทรีย์คือโสมนัส
โทมนัสสินทรีย์ อินทรีย์คือโทมนัส
อุเปกขินทรีย์ อินทรีย์คืออุเบกขา
สัทธินทรีย์ อินทรีย์คือศัทธา
วิริยินทรีย์ อินทรีย์คือเพียร
สตินทรีย์ อินทรีย์คือสติ
สมาธินทรีย์ อินทรีย์คือสมาธิ
ปัญญินทรีย์ อินทรีย์คือปัญญา
อนัญญตัญญัสสามีตินทรีย์
อินทรีย์คือโสดาปัตติมรรค
อัญญินทรีย์
อินทรีย์คือโสดาปัตติผลจนถึงอรหัตมรรค
อัญญาตาวินทรีย์ อินทรีย์คืออรหัตผล
อินทรีย์เหล่านี้ทำหน้าที่เป็นใหญ่ในหน้าที่ของตน
ๆ เช่นตา ทำหน้าที่เป็นใหญ่ในการเห็นรูป และยกเว้นอิตถีภาวะเสีย เหลือ ๒๐
เป็นปัจจัยและเป็นผลแห่งปัจจัยของกันและกัน
ฌานปจฺจโย
ฌานเป็นปัจจัย
ฌานคือการเพ่งอารมณ์อย่างแน่วแน่ประกอบด้วยองค์เป็นปฐม คือ วิตก วิจาร ปีติ เวทนา
เอกัคคตา เป็นปัจจัยอุดหนุนนามขันธ์ ๔ และจิตชรูป ปฏิสนธิกัมมชรูป
ที่เกิดพร้อมกับตน อีกอย่างหนึ่ง ฌานมี ๒ คือ
อารมมณูปนิชฌาน เพ่งอารมณ์ทางสมถภาวนา
ลักขณูปนิชฌาน เพ่งลักษณะทางวิปัสสนาภาวนา คือไตรลักษณ์ ต่างเป็นปัจจัยอุดหนุนตามอำนาจของตน
มคฺคปจฺจโย
มรรคเป็นปัจจัย
มรรคคือธรรมที่เป็นประดุจหนทาง เพราะเป็นธรรมนำให้มุ่งหน้าไปสู่สุคติ ทุคติ
และนิพพาน องค์มรรค ๙ได้แก่
ปัญญา
วิตก
สัมมาวาจา
สัมมากัมมันตะ
สัมมาอาชีวะ
วิริยะ
สติ
เอกัคคตา
ทิฏฐิ
องค์มรรคเหล่านี้ เว้น
ทิฏฐิ(ความเห็นผิด)ข้อที่ ๙ เหลือ ๘ เป็นฝ่ายกุศล องค์มรรค ๔ คือ วิตก วิริยะ
เอกัคคตา ทิฏฐิ เป็นฝ่ายอกุศล และองค์มรรค ๘ ฝ่ายอัพยากฤต
เป็นปัจจัยอุดหนุนให้ไปสู่ สุคติ ทุคติ และนิพพานตามประเภท
และอุดหนุนสหชาตธรรมที่เกิดขึ้นพร้อมกับตนให้ ไปสู่อารมณ์ที่เกี่ยวเนื่องกันตน และ
ให้ทำกิจ ตามหน้าที่ของตนๆ
สมฺปยุตฺตปจฺจโย
ธรรมที่สัมปยุตกันเป็นปัจจัย
ธรรมที่ประกอบพร้อมกัน ๔ ประการ คือธรรม ๒ อย่าง
เมื่อเวลาเกิด ก็เกิดพร้อมกัน
เมื่อเวลาดับ ก็ดับพร้อมกัน
มีอารมณ์เป็นอันเดียวกัน
มีที่อาศัยอันเดียวกัน
เรียกสัมปยุต ได้แก่ จิต และ เจตสิก
ที่เป็นนามธรรมด้วยกัน เป็นปัจจัย และผลของปัจจัยของกันและกัน แม้จะมีหน้าที่
ต่างกันแต่ก็สัมปยุตประกอบกันได้สนิท ดังจะยกตัวอย่างนามขันธ์ ๔ เวทนาขันธ์ทำหน้าที่เสวยอารมณ์
สัญญาขันธ์
ทำหน้าที่จำอารมณ์ สังขารขันธ์ทำหน้าที่ปรุงแต่งอารมณ์ วิญญาณขันธ์ ทำหน้าที่รู้อารมณ์
แม้จะต่างหน้าที่กันแต่ก็สัมปยุตกันสนิท เหมือนอย่างเภสัชจตุมธุรส ประกอบด้วยของ ๔
อย่าง คือ น้ำมันเนย ๑ น้ำมันงา ๑ น้ำผึ้ง ๑ น้ำตาล ๑
มีรสเข้ากันสนิทจนไม่อาจจะแยกรสออกจากกันได้
วิปฺปยุตฺตปจฺจโย
ธรรมที่วิปปยุตกันเป็นปัจจัย
ธรรมที่ไม่สัมปยุตกันดังกล่าวในข้อก่อน เรียกวิปปยุตธรรม ได่แก่นามและรูป นามเป็นวิปปยุตธรรมของรูป
รูปก็เป็นวิปปยุตตธรรมของนาม เพราะไม่ประกอบด้วยลักษณะของสัมปยุตธรรมครบทุกอย่าง
ดังเช่น เมื่อจิตเกิด แม้จิตตชรูปจะเกิดด้วย แต่ก็ขาดลักษณะข้ออื่น
ทั้งรูปและนามแม้จะเป็นวิปปยุตธรรมของกัน แต่ก็เป็นปัจจัยอุดหนุนกันและกัน
เพราะต่างอาศัยกันเป็นไป เหมือนต่างอาศัยกันเป็นไป เหมือนอย่างคน ๒ คน
มิใช่ญาติกัน แต่ก็อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน อีกอย่างหนึ่ง วิปปยุตปัจจัยนี้
เปรียบเหมือนรส ๖ อย่างคือ หวาน๑ เปรี้ยว ๑ ฝาด ๑ เค็ม ๑ ขม ๑ เผ็ด ๑
รวมเป็นรสเดียวกันไม่ได้ แต่ก็อาศัยปรุงเป็นแกงอย่างใดอย่างหนึ่ง
จึงเป็นปัจจัยอุดหนุนกันได้
อตฺถิปจฺจโย
ธรรมที่มีอยู่เป็นปัจจัย
ธรรมที่มีอยู่คือธรรมที่ปรากฏมีอยู่ในระหว่างอุปปาทะ (ความเกิด) ฐิติ
(ความตั้งอยู่) ภังคะ (ความดับ) คือยังมีอยู่ในระหว่างนั้นยังไม่ดับไป ธรรมที่ชื่อว่ามีอยู่อย่างมีกำลังกล้า
คือยังมีอยู่ในฐิติ ความตั้งอยู่ เป็นปัจจัยอุดหนุนธรรมที่เป็นผลของตนให้เกิดขึ้น
ข้อสำคัญเป็นปัจจัยอุปถัมภ์ธรรมที่เป็นผลของตนให้ดำรงอยู่
เหมือนอย่างพื้นดินที่มีอยู่
อุปถัมภ์ต้นไม้ที่มีอยู่เหมือนกันให้งอกงามและตั้งอยู่ เช่นนามขันธ์ ๔
เป็นอัตถิปัจจัยกันและกัน มหาภูตรูป ๔ เป็นอัตถิปัจจัยกันและกัน
นามรูปในขณะปฏิสนธิเป็นอัตถิปัจจัยกันและกัน
นตฺถิปจฺจโย
ธรรมที่ไม่มีเป็นปัจจัย
ธรรมที่ไม่มีคือธรรมที่ดับไปแล้วเป็นปัจจัย อุดหนุนธรรมเช่นเดียวกันให้เกิดขึ้น
สืบต่อไปในลำดับ ดังที่กล่าวแล้วในอนันตรปัจจัย เช่นจิต เจตสิกดวงที่ ๑ ดับไป
ก็เป็นปัจจัยให้ดวงที่ ๒ เกิดสืบต่อไปในลำดับ ถ้าดวงที่ ๑ ไม่ดับ ดวงที่ ๒
ก็เกิดขึ้นมิได้ เหมือนอย่างแสงสว่างกับความมืด เมื่อแสงสว่างดับไป
ความมืดจึงปรากฎขึ้นได้
วิคตปจฺจโย
ธรรมที่ปราศจากไปเป็นปัจจัย ธรรมที่ปราศจากไป
คือธรรมที่ถึงความดับ
เป็นปัจจัยอุดหนุนธรรมเช่นเดียงกันให้เกิดขึ้นในลำดับเช่นเดียวกับนัตถิปัจจัย
อวิคตปจฺจโย
ธรรมที่ไม่ปราศจากไปเป็นปัจจัย
ธรรมที่ไม่ปราศจากไป คือธรรมที่ยังไม่ถึงความดับ
เป็นปัจจัยอุปการะที่ยังมีอยู่ด้วยกัน เช่นเดียวกับ อัตถิปัจจัย
********
คำแปลพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์
(สมเด็จพระญาณสังวร-เจริญ
สุวฑฺฒโน วัดบวรนิเวศวิหาร)
จาก http://www.watsacramento.org/w-article-074B-t.htm
********