วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2563

หลง....


ความสามารถสังเกตเห็นแง่เหมือนในสิ่งต่างกันคือเครื่องชี้บอกความฉลาด กวีทั้งหลายมักชอบการเปรียบเทียบ คำกลอนที่เปรียบทะเลสาบว่าใสเขียวดั่งมรกต หรือหน้าคนเฉยเหมือนประตูที่ปิดแล้วทำให้เราเห็นภาพพจน์ชัดขึ้น นักเขียนที่บอกว่าจิตเขาฟุ้งซ่านดั่งเปลวเทียนในสายลม ช่วยให้เราเข้าใจสิ่งที่เป็นนามธรรมได้ง่ายขึ้น พระพุทธเจ้าเองและครูบาอาจารย์หลายท่าน เช่น หลวงพ่อชา เป็นต้น ใช้การเปรียบเทียบบ่อยๆ เพื่อให้สื่อความจริงที่ลึกซึ้งด้วยภาพที่ทุกคนคุ้นเคย

อย่างไรก็ตามการสังเกตเห็นแง่ต่างในสิ่งเหมือนกันหรือคล้ายกันไม่ใช่สัญลักษณ์ของความฉลาดเสมอไป ตรงกันข้ามมักจะเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ผู้เบาปัญญามักจะหลงหมกมุ่นและจับผิดในสิ่งที่ทำให้มนุษย์เราต่างกัน เช่น สีผิว เชื้อชาติ ศาสนา หรือวิถีชีวิต โดยมองข้ามความจริงพื้นฐานว่าสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย

การคิดอย่างไม่แยบคายในสิ่งที่ทำให้มนุษย์เราต่างกันนำไปสู่อคติ ความกลัว ความรังเกียจ การเหยียดหยาม ความรู้สึกว่าตนดีกว่าเขา หรือด้อยกว่าเขา ผู้มีปัญญาเห็นโทษในการคิดประเภทนี้แล้วจึงฝึกตนเพื่อปล่อยวางความเศร้าหมองในใจ และน้อมนำจิตไปรับรู้ในสิ่งที่ทำให้มนุษย์เราเหมือนกัน

พระอาจารย์ชยสาโร
*******
https://www.facebook.com/318196051622421/posts/2683778768397459/

วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2563

โควิด 19

Cr.Fwd.line
โลกใบนี้กำลังบอกอะไรเรา....?

สังคมที่เคยเจี๊ยวจ๊าว
บัดนี้สงบลงแล้ว

สังคมที่เคยเร่งรีบ
บัดนี้สงบลงแล้ว

สังคมที่เคยรุ่มร้อน
บัดนี้ก็เริ่มสงบลงแล้ว

สัตว์น้อยใหญ่
ที่เคยถูกมนุษย์จับขังในกรง
บัดนี้มันย้อนกลับมา
ทำให้มนุษย์ถูกขังในกรงสำเร็จแล้ว

สิ่งนี้เรียกว่า ..
‘เมื่อทำในสิ่งที่ไร้มโนธรรมไว้มาก
ภัยย่อมย้อนมาสู่ตน’

นี่คือ...
กฏเวียนแห่งสัจธรรมฟ้า ..

มวลมนุษย์
ได้ลดความเย่อหยิ่งลงแล้ว
และ เริ่มย้อนกลับมา
พิจารณาด้วยความสงบว่า ..

‘เราเป็นผู้คุมโลกใบนี้จริงหรือ ??’

เพราะมวลมนุษยชาติ
เริ่มรู้ในอานุภาพ
การทำลายล้างของธรรมชาติ
ครั้งแล้วครั้งเล่า .. !!

ขณะที่มนุษย์
กำลังเผชิญกับการคุกคาม
ของความตาย

เราจึงเริ่มย้อน
พิจารณาอย่างแท้จริงว่า ..
เพราะเราขาดพร่อง
ในจิตเคารพผู้อื่นในสังคม
จึงต้องเผชิญกับการถูกทำลาย
และ ภยันอันตรายมากมาย

ความโลภ
กำลังถูก ‘ไวรัส’ กวาดล้าง
ปากที่ชอบกิน
ก็กำลังถูกไวรัสลงทัณฑ์

คนที่นั่งแช่
นอนแช่อยู่ในคลับบาร์
ก็ถูกไวรัสไล่ให้กลับบ้าน

คนที่หลงอยู่
กับโต๊ะไพ่ป๊อก โต๊ะเหล้า
และ โต๊ะกาสิโน
ต่างก็หาทางกลับบ้าน
อย่างไม่ลังเล ..

ผู้คนบนท้องถนน
ยิ่งมายิ่งลดน้อยลง
รถราวิ่งกันไม่กี่คัน
อากาศเริ่มปลอดโปร่ง
ความสลัวของหมอกควัน
ก็ไม่มีให้เห็นอีกแล้ว
ท้องฟ้ายิ่งมายิ่งสีครามใส

พระอาทิตย์ยิ่งมายิ่งสว่าง
ครอบครัวกลับมาอบอุ่น
และ กลมเกลียวมากยิ่งขึ้น
จิตใจของผู้คน
ยิ่งมาก็ยิ่งสงบสำรวม

คนที่ไม่เคย
หยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน
นานหลายปีก็หยิบหนังสือ
จากตู้ขึ้นมาอ่าน

ผู้ปกครอง
ที่ไม่เคยใส่ใจบุตรหลาน
ก็เริ่มสื่อสารกับบุตรหลาน
อย่างสนิทสนมรักใคร่

สามีภรรยา
ที่ปีหนึ่งพูดกันไม่กี่คำ
ก็เริ่มมีบทสนานากันมากขึ้น

ลูกหลาน
ที่ไม่เคยกตัญญูต่อพ่อแม่
ก็เริ่มกตัญญูรู้คุณ

‘ไวรัส’ ..
ให้บทเรียนชีวิต
ที่มีค่าแก่มนุษย์เรา

มันทำให้เรารู้จักคำว่า
ยำเกรง

มันก็ทำให้เรารู้ว่า ..
อะไรคือคำว่า .. ‘สงบสุข’

มันทำให้พวกเรา
สัมผัสถึงคำว่า ..
รักแท้(เสียสละ)บนโลกนี้

มันทำให้เรา
ค่อยๆ ‘หวนกลับ’
เส้นทางของคำว่า .. อาทร

#พวกเราควรขอบคุณข้าศึกผู้นี้

เพราะข้าศึกผู้นี้
ได้ตักเตือนพวกเรา
และ ปลุกพลังในตัวเราให้ตื่น

‘ไวรัส’ ..
ไม่หายไปจากพวกเรา
ในเวลาอันใกล้นี้
เพราะมันต้องการ
เห็นการหล่อเลี้ยง
อุปนิสัยที่ดีของมนุษย์

‘ไวรัส’ ..
จะไม่ขยายไปไกลมากกว่านี้
หากมนุษย์เรา
ต่างรวมพลังให้เกิดความรัก
ความอาทรที่ยิ่งใหญ่
เมื่อนั้นย่อมผลัก
ให้ไวรัสห่างไกลได้

#เวลาจะเป็นผู้แถลงทุกสิ่งให้กับเรา

และ เวลา
จะเป็นตัวบอกว่า ..
‘อะไรคือความถูกต้อง .. !!

ไวรัส ทำให้คนได้
' สงบ '.. ดีจริง

ได้เวลา
ที่เราทั้งหลายในโลกนี้
ควรย้อนกลับมาพิจารณา
ความคิด คำพูด
การกระทำของเราเสียที

#แอดขอบคุณบทความนี้ด้วยหัวใจ
จาก..
ผู้เขียน : 靜靜的中國 ☆作者:石梁
ผู้แปล  : nusonbooks 🙇🏻‍♂

โควิด19

Cr.Fwd.line
ศาสตราจารย์ในภาควิชาโรคระบาดวิทยา มหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ สหรัฐอเมริกาเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์ใFeนการสู้กับไวรัสโควิด19

Prof in infectious diseases at Johns Hopkins University, quite informative.

* The virus is not a living organism, but a protein molecule (DNA) covered by a protective layer of lipid (fat), which, when absorbed by the cells of the ocular, nasal or buccal mucosa, changes their genetic code. (mutation) and convert them into aggressor and multiplier cells.

* Since the virus is not a living organism but a protein molecule, it is not killed, but decays on its own. The disintegration time depends on the temperature, humidity and type of material where it lies.

ไวรัสไม่ใช่สิ่งมีชีวิตแต่เป็นโมเลกุลโปรตีน(DNA)หุ้มด้วยไลปิด(ไขมัน)ซึ่งเมื่อถูกเซลของตา หรือจมูกหรือสารคัดหลั่งในช่องปากก็จะกลายพันธ์ุให้รุนแรงขึ้นและแพร่ขยายเซล

เนื่องจากไวรัสไม่ใช่สิ่งมีชีวิตแต่เป็นโมเลกุลโปรตีน เราจึงฆ่ามันไม่ได้ แต่มันจะเสือมถอยหรือสลายไปเองขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ ความชื้นและชนิดของพื้นผิวที่ไวรัสไปเกาะ

* The virus is very fragile; the only thing that protects it is a thin outer layer of fat. That is why any soap or detergent is the best remedy, because the foam CUTS the FAT (that is why you have to rub so much: for 20 seconds or more, to make a lot of foam). By dissolving the fat layer, the protein molecule disperses and breaks down on its own.

* ไวรัสนี้บอบบางมากเพราะถูกห่อหุ้มด้วยไขมันบางๆ

ดังนั้นการล้างด้วยสบู่หรือน้ำยาทำความสะอาดจึงเป็นวิธีแก้ที่ดีที่สุด เพราะฟองสบู่จะกัดไขมัน(เป็นเหตุผลทำไมต้องฟอกถูสบู่บนมือ 20 วินาทีหรือนานกว่าเพื่อให้เกิดฟองมากๆ) โดยการทำลายชั้นไขมันที่ห่อหุ้มอยู่ โมเลกุลโปรตีนจะแตกกระจายสลายไปด้วยตัวเอง

* HEAT melts fat; this is why it is so good to use water above 25 degrees Celsius for washing hands, clothes and everything. In addition, hot water makes more foam and that makes it even more useful.

* ความร้อนละลายไขมัน; จึงเป็นเหตุผลที่ดีจะใช้น้ำร้อนที่มีอุณหภูมิสูงกว่า 25 องศาเซลเซียสล้างมือ เสื้อผ้าและสิ่งต่างๆ

* Alcohol or any mixture with alcohol over 65% DISSOLVES ANY FAT, especially the external lipid layer of the virus.

*แอลกอฮอล์หรือน้ำยาที่มีส่วนผสมแอลกอฮอล์มากกว่า 65% จะสามารถล้างไขมันทุกชนิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งไลปิดที่ห่อหุ้มไวรัสอยู่

* Any mix with 1 part bleach and 5 parts water directly dissolves the protein, breaks it down from the inside.

*น้ำยาที่มีส่วนผสมของสารฟอกขาว 1 ส่วนกับน้ำสะอาด 5 ส่วนจะละลายโปรตีนไวรัส ย่อยสลายมันจากภายในเลย

* Oxygenated water helps along with alcohol and chlorine, because peroxide dissolves the virus protein, but you have to use it pure and it hurts your skin.

*น้ำออกซิเจน แอลกอฮอล์ และคลอรีนมีเพอร์รอคไซด์จะสลายไวรัสได้ แต่จะต้องใช้แบบเพียวๆ ซึ่งจะทำให้ระคายเคืองผิว

* NO BACTERICIDE WORKS. The virus is not a living organism like bacteria; they cannot kill what is not alive with antibiotics, but quickly disintegrate its structure with everything said.

น้ำยาฆ่าแบคทีเรียไม่ช่วย เพราะไวรัสตัวนี้ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต ไม่เหมือนกับแบคทีเรีย เราจึงไม่สามารถใช้แอนตี้ไบโอติกทำลายไวรัส แต่โครงสร้างของมันจะถูกทำลายโดยสิ่งที่กล่าวมาแล้วข้างต้น

* NEVER shake used or unused clothing, sheets or cloth. While it is glued to a porous surface, it is very inert and disintegrates only between 3 hours (fabric and porous), 4 hours (copper, because it is naturally antiseptic; and wood, because it removes all the moisture and does not let it peel off and disintegrates). ), 24 hours (cardboard), 42 hours (metal) and 72 hours (plastic).

But if you shake it or use a feather duster, the virus molecules float in the air for up to 3 hours, and can lodge in your nose.

*อย่าสะบัดเสื้อผ้าเด็ดขาด ไม่ว่าที่ใช้แล้วหรือยังไม่ใช้ ผ้าปู เพราะในขณะที่ไวรัสเกาะติดผืนผ้า ไวัรัสตัวนี้มันเฉื่อยมาก และจะสลายไปในเวลา 3 ชั่วโมง(กรณีเส้นใยที่มีรูพรุน) 4 ชั่วโมง(บนผิวทองแดง เพราะมันเป็นแอนตี้เซพติกโดยธรรมชาติ; และบนผิวไม้ เพราะมันคายความชื้นออกไปหมดและไม่ยอมให้เปลือกที่หุ้มอยู่ลอกออกมันจึงไม่ย่อยสลาย) 24 ชั่วโมง (บนกระดาษแข็ง) 42 ชั่วโมง(บนผิวโลหะ) และ 72 ชั่วโมง(บนผิวแผ่นพลาสติก)

แต่ถ้าเราสะบัดหรือใช้ไม้ขนไก่ปัดฝุ่น ไวรัสตัวนี้จะฟุ้งและลอยอยู่ในอากาศถึง 3 ชั่วโมงและเข้าจมูกเราได้

* The virus molecules remain very stable in external cold, or artificial as air conditioners in houses and cars. They also need moisture to stay stable, and especially darkness. Therefore, dehumidified, dry, warm and bright environments will degrade it faster.

*โมเลกุลของเจ้าไวรัสตัวนี้สามารถอยู่ได้สบายในอากาศเย็นนอกบ้าน หรือในบ้านและในรถที่มีเครื่องปรับอากาศ มันอยู่ได้ในที่ๆมีความชื้นและความมืด ดังนั้น สภาพที่ไม่มีความชื้น แห้ง อุ่นและสว่างจ้า จะทำให้ไวรัสนี้ย่อยสลายได้เร็วขึ้น

* UV LIGHT on any object that may contain it breaks down the virus protein. For example, to disinfect and reuse a mask is perfect. Be careful, it also breaks down collagen (which is protein) in the skin, eventually causing wrinkles and skin cancer.

* แสง UV จะทำลายไวรัสโปรตีน ดังนั้น จึงสามารถนำหน้ากากอนามัยที่ใช้แล้วมาใช้ซ้ำได้ แต่ต้องฆ่าเชื้อตากแดดเสียก่อน

ต้องระมัดระวังว่าแสง UV จะทำลายคอลลาเจน(ซึ่งเป็นโปรตีนเช่นกัน)บนผิวหนังของเรา และอาจเป็นสาเหตุให้ผิวเหี่ยวย่นและมะเร็งผิวหนัง

* The virus CANNOT go through healthy skin. * Vinegar is NOT useful because it does not break down the protective layer of fat.

ไวรัสไม่สามารถทะลุเข้าผิวหนังที่ไม่มีบาดแผล น้ำส้มสายชูไม่มีปะโยชน์เพราะไม่สามารถทำลายผิวไขมันที่ห่อหุ้มไวรัส

* NO SPIRITS, NOR VODKA, serve. The strongest vodka is 40% alcohol, and you need 65%.

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือว๊อดก้าไม่ช่วย เพราะว๊อดก้าที่แรงที่สุด มีแอลกอฮอล์แค่40% คุณต้องการแอลกอฮอล์อย่างต่ำ65%

* LISTERINE IF IT SERVES! It is 65% alcohol.

* น้ำยาบ้วนปากLISTERINEอาจช่วยได้เพราะมีส่วนผสมแอลกอฮอล์65%

* The more confined the space, the more concentration of the virus there can be. The more open or naturally ventilated, the less.

* สถานที่ยิ่งคับแคบไวรัสยิ่งเข้มข้น สถานที่ยิ่งโล่งไวรัสยิ่งน้อย

* This is super said, but you have to wash your hands before and after touching mucus organs, food, locks, knobs, switches, remote control, cell phone, watches, computers, desks, TV, etc. And when using the bathroom.

* สิ่งที่สำคัสุดคือ ต้องล้างมือก่อนและหลังทำสิ่งต่อไปนี้ สัมผัสสารคัดหลั่งในปากจมูก อาหาร กุญแจ ลูกบิดประตู รีโมทคอนโทรล โทรศัพท์มือถือ นาฬิกา คอมพิวเตอร์ โต๊ะ ทีวี หรือสิ่งของต่างๆ และการใช้ห้องน้ำ

* You have to HUMIDIFY HANDS DRY from so much washing them, because the molecules can hide in the micro cracks. The thicker the moisturizer, the better. * Also keep your NAILS SHORT so that the virus does not hide there.

* ต้องทำให้มือชุ่มชื้นหลังมือแห้งจากการล้างมือบ่อยๆ เพราะมือจะแห้งแตกหลังการล้างบ่อย โมเลกุลของไวรัสจึงอาจจะติดอยู่ตามรอยแตกของมือ ครีมมอยซ์เจอไรซ์เซอร์เนื้อครีมยิ่งเข้มข้นยิ่งดี *ควรตัดเล็บให้สั้นด้วยเพื่อป้องกันไม่ให้ไวรัสไปแฝงตัวอยู่

From Michele Assaf จากมิแซล อาแซฟ
ศาสตราจารย์ Michele Assaf เขียนเพื่อเป็นข้อมูลสู้โควิด19

ดร.บรรจง ชมภูวงศ์ ถอดความเพื่อคนไทยใช้สู้โควิด19 ปกป้องผองไทยในการทำสงครามโลกโควิด19


วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2563

ไม่มีโควิด 19 ที่ลำปาง

อ่านข่าวนี้แล้ว คุณได้ข้อคิดอะไร?.
.
"ลำปางไม่มีผู้ติดเชื้อเลย แล้วดูผู้ว่าฯ ทำงาน
- ลุยตรวจสถานบันเทิง กรองคนจากกรุงเทพที่ขนส่งด้วยตนเอง
- ให้ รพ. ซ้อมกรณีเจอผู้ป่วยโควิค
- สั่งพาณิชย์คุมราคาหน้ากากแอลกอฮอล์
- เปิดศูนย์เฝ้าระวัง จัดสถานรองรับแรงงานเกาหลี
คือเป็นคนเดียวกับตอนถ้ำหลวงหมูป่า ‘ผู้ว่าณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร’ ..."
.
โดยส่วนตัว ผมชื่นชอบผู้นำท่านนี้แม้จะไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว
.
ชื่นชอบความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ..
ชื่นชอบความเป็นผู้นำ..
ชื่นชอบการทำงานมากกว่าพูด ปิดทองหลังพระ...
ชื่นชอบการมีสติ รอบคอบ...
ชื่นชอบการจัดการปัญหาและอุปสรรคเฉพาะที่มีผลต่อการทำงาน อย่างเด็ดขาด เช่น เรื่องการบริหารจัดการสื่อ
ชื่นชอบการวิจารณ์ในเวลาที่เหมาะสม และเรื่องสำคัญ ๆ ..
.
อย่าเพิ่งเรียกร้อง หาผู้นำแบบนั้น แบบนี้
อย่าเพิ่งกล่าวโทษ คนนู้น คนนั้น คนนี้
.
สิ่งที่ทำได้ตอนนี้
#จงเป็นผู้นำแบบนี้...กันทุก ๆ คน
#จงนำครอบครัวของคุณ
#จงนำลูกน้อง ผู้ใต้บังคับบัญชาของคุณ
#จงนำเพื่อนฝูงของคุณ
#จงนำชุมชนของคุณ
.
มันไม่สำคัญว่าคุณต้องมีตำแหน่งหรืออำนาจอะไร...
มันไม่สำคัญว่าคนที่มีตำแหน่ง มีอำนาจในตอนนี้ ..เขาจะทำหรือไม่ทำอะไร (แบบที่คุณต้องการ หรือจะถูกใจคุณหรือไม่)....
.
เพราะวิกฤตการณ์ จะสร้างผู้นำเสมอ...!!
.
ปลุกพลังความเป็นผู้นำในตัวคุณ..เดี๋ยวนี้
********
Cr.https://www.facebook.com/mart.maiprasert/posts/10215768313952788

วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2563

บทเพลงธรรมะ

บทเพลงธรรมะ

 

Cr. https://youtu.be/lWUyPQtoMdU



Cr.https://youtu.be/Ul7HOB7T9l8




Cr.https://youtu.be/TZNQjk0-d0Q

วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2563

โควิด 19


(Cr.Fwd line)
สัญญาณ Covid-19 สรุปจาก สธ น่าจะช่วยกันได้บ้าง

อาการวันต่อวัน

วันที่ 1-3
1. คล้ายหวัด
2. ปวดในคอเล็กน้อย
3. ไม่มีไข้ ไม่เหนื่อย
4. กิน/ดื่มปกติ

วันที่ 4
1. เจ็บคอเล็กน้อย
2. พูดเริ่มเจ็บในคอ
3. ไข้ดูปกติ 36.5°C
4. รบกวนกับการกิน
5. ปวดหัวเล็กน้อย
6. ท้องเสียอ่อนๆ
7. รู้สึกเหมือนเมา

วันที่ 5
1. ปวดในคอ พูด_เจ็บ
2. อ่อนเพลียเล็กน้อย
3. ปรอทไข้ 36.5° -36.7°C
3. อ่อนเพลีย ปวดข้อต่อ

วันที่ 6
1. ปรอทไข้ 37 ° C+
2. ไอแห้ง
3. ปวดคอขณะกิน/พูด
4. อ่อนเพลีย คลื่นไส้
5. หายใจลำบากเป็นครั้งคราว
6. นิ้วรู้สึกเจ็บปวด
7. ท้องร่วง อาเจียน

วันที่ 7
1. มีไข้ 37.4° -37.8°C
2. ไอต่อเนื่อง มีเสมหะ
3. ปวดร่างกาย/ศีรษะ
4. ท้องร่วงมาก
5. อาเจียน

วันที่ 8
1. ไข้ 38°C+++
2. หายใจลำบาก
3. ไอต่อเนื่อง
4. ปวดหัว ข้อต่อ กล้ามเนื้อ
5. ง่อยและปวดก้น

วันที่ 9
1. ไม่ดีขึ้น และแย่ลง
2. ไข้สูงมาก
3. อาการทรุดลงมาก
4. ต้องต่อสู้เพื่อหายใจ

อาการในวันที่ 9 ต้องตรวจเลือด CT Scan ทรวงอก

เพื่อประโยชน์ร่วมกัน แชร์ต่อนะครับ

ขอขอบคุณครับ

ความรู้เรื่อง โควิด 19


(จาก Fwd.line)
#วันนี้18/3 คุณหมอยง ภู่วรวรรณได้มาให้ความรู้พร้อมตอบคำถามเกี่ยวกับ COVID-19 ที่สำนักงานใหญ่ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในการเข้าใจไวรัสตัวนี้ และสำคัญมากที่จะนำความรู้ที่คุณหมอแชร์ไปวางแผนการจัดการสิ่งที่เราและบริษัทต้องเตรียมความพร้อม และรับมือกับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเดือนที่กำลังจะมาถึง ประเด็นหลักๆที่คุณหมอแชร์มีดังนี้

1 ไวรัส COVID-19 ตัวนี้มีขนาดที่เล็กมาก ใส่หน้ากากอนามัยก็รอดเข้ามาได้ แต่ COVID-19 ไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง ต้องจับอยู่ตามสารคัดหลั่ง (droplet) เช่น น้ำลาย หรือละอองจาม  ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าการกรองของหน้ากาก เพราะฉะนั้นหน้ากากอนามัยช่วยสามารถป้องกันการเล็ดรอดเข้ามาและการแพร่ออกไปได้ในระดับหนึ่ง

2 ถึงประเทศจะวันตกจะบอกว่าไม่ต้องใส่หน้ากาก แต่ประเทศไทยต้องใส่ ยิ่งผู้ที่มีอาการป่วยยิ่งต้องใส่ ผู้ติดเชื้อ COVID-19 บางคนไม่มีอาการหรือมีอาการแค่เล็กน้อย อาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าติดไวรัสแล้ว ไปใช้ชีวิตในสังคมปกติ แพร่เชื้อออกไปโดยที่ไม่รู้ตัว เราสามารถลดการแพร่กระจายได้ด้วยการใส่หน้ากากอนามัย และคนที่ไม่ได้เป็นอะไรก็สามารถป้องกันได้ในระดับหนึ่งจากการใส่หน้ากาก

3 จากจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมดในประเทศจีน สามารถแบ่งอาการได้ดังนี้ 81% อาการน้อย หรือไม่มีอาการเลย, 14%  มีอาการ รู้ตัว ต้องเข้ารักษาที่โรงพยาบาล, 5% อาการหนัก รักษาใน ICU

4 จากตัวเลขของผู้ติดเชื้อทั้งหมดในจีนมีเพียง 3% ที่เสียชีวิต โดยส่วนใหญ่ที่เสียชีวิตคือผู้สูงอายุ (70 ปี+) และ 2 ใน 3 ของผู้เสียชีวิตคือผู้ที่มีโรคประจำตัว ยกตัวอย่างเช่น ความดัน (ไวรัสตัวนี้โจมตีโปรตีน ACE2 ที่พ่วงอยู่กับความดันเพราะฉะนั้นควรกินยาให้ความดันอยู่ในค่าปกติเพื่อลดความเสี่ยง) เบาหวาน โรคหัวใจ และอื่นๆ

5 ความรุนแรงของอาการและความเสี่ยงเสียชีวิตของ COVID-19 สูงไปตามอายุ เรียกได้ว่าไวรัสตัวนี้เกิดมาเพื่อเล่นงานผู้สูงวัยในเคสของประเทศจีน จากจำนวนเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปีที่ติด COVID-19 ทั้งหมดไม่มีเคสอาการรุนแรงและเสียชีวิตเลยแม้แต่เคสเดียว ไม่ว่าจะเป็นเคสเด็กทารก 3 อาทิตย์ หรือ 8 อาทิตย์ล้วนหายจากไวรัสตัวนี้ทั้งหมดโดยไม่มีอาการมาก เด็กที่อายุระหว่าง 11-20 ปี มีจำนวนต่ำกว่า 0.2% ที่มีอาการรุนแรงและเสียชีวิต เพราะฉะนั้นกลุ่มคนที่ควรหลีกเลี่ยงการติดเชื้อให้ได้มากที่สุดคือกลุ่มผู้สูงวัย

6 ทำไมเราต้องเก็บตัวดูอาการ 14 วัน? จากสถิติเคสในประเทศจีน 80%ของผู้ป่วยทั้งหมด เชื้อมีระยะฟักตัวและออกอาการภายใน 2-7 วัน และมีผู้ป่วยเพิ่มอีก 10%ในระยะฟักตัว 14 วันซึ่งถือว่าค่อนข้างคลอบคลุมในการสังเกตอาการ ถ้าถามว่าระยะฟักตัวหรือออกอาการหลังจาก 14 วันมีมั้ย คำตอบคือมี แต่จะเป็นส่วนน้อยมาก หากใครมีจิตสาธรณะและการหยุดไม่ได้เดือดร้อนอะไร จะเก็บตัวดูอาการไปถึง 21 วันก็ได้

7 สถานการณ์ปัจจุปันในประเทศไทย เรียกว่ากำลังอยู่ในระยะขาขึ้น จากที่ตัวเลขทรงตัวมาช่วงเวลาหนึ่ง ตอนนี้ตัวเลขผู้ติดเชื้อมีเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วตามที่เราได้เห็นจากข่าว หลักๆมาจาก Super Spreader สนามมวย ในเคสของสนามมวยนี้หากคำนวนตามสมการแพร่กระจายของเชื้อ COVID-19 ผู้ติดเชื้อมีอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 100 คน ซึ่งกระจายไปตามที่ต่างๆเรียบร้อยแล้ว ทุกฝ่ายกำลังติดตามให้ได้มากที่สุด เคสนี้น่าจะแพร่ไปในวงกว้างยิ่งกว่าอาจุมม่าแทกูของเกาหลีใต้

8 ทำไมสนามมวยถึงเป็นสถานที่แพร่ได้ดีมาก? สนามมวยเป็นที่รวมตัวของคนจำนวนมาก แออัด นั่งติดกัน ยืนติดกันแบบไหล่ชิดไหล่ การเชียร์มวยอุดมไปด้วยสารคัดหลั่งมากมายทั้งน้ำลาย เหงื่อ หรือละอองจาม เพราะฉะนั้นควรหลีกเลี่ยงไปสถานที่ที่มีลักษณะแบบนี้เพื่อลดความเสี่ยงติดเชื้อ

9 อีกเคสที่ติดกันมากคือเคสปาร์ตี้แชร์แก้วเหล้าและบุหรี่ ในสถานการณ์ที่มีโรคระบาดติดผ่านสารคัดหลั่งเช่นตอนนี้ ควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเหล่านี้ทั้งหมด

10 COVID-19 จะอยู่กับเรานานไปถึงเมื่อไหร่? จากการศึกษาข้อมูลของการแพร่ระบาดโรคต่างๆในอดีตกับการศึกษาลักษณะของไวรัสตัวนี้ COVID-19 คงคาดเดาได้ว่าจะอยู่กับประเทศไทยอย่างน้อย 1 ฤดูกาล ร้อนจัดๆแบบประเทศไทยก็คงจะช่วยได้ในระดับหนึ่ง แต่ที่น่ากังวลคือฤดูฝนที่ตามมา เพราะไวรัสตัวนี้ชอบความชื้น จะมีชีวิตอยู่ได้ยาวและแพร่ระบาดได้ง่ายขึ้น ต้องเฝ้าระวังการแพร่ระบาดเป็นอย่างมากในช่วงฤดูนี้ สถานการณ์ COVID-19 คงจะเป็นแบบนี้ไปอย่างน้อยถึงกันยายน 2563 หากยังไม่มีวัคซีนเข้ามาช่วยชะลอการแพร่ระบาด

11 ตอนนี้การรับรองทางการแพทย์ไหวมั้ย? ยังพอไหวถ้าคนไข้ไม่ได้เทเข้ามาในช่วงเดียวกัน แต่หากมีการแพร่ระบาดฉับพลันและจำนวนผู้ป่วยสูงขึ้นมาก อุปกรณ์ทางการแพทย์จะรองรับไม่พอ ยิ่งในโรงพยาบาลในต่างจังหวัดจะลำบากและได้ผลกระทบมาก นอกจากนี้ยารักษาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) มีจำนวนจำกัดและโดนควบคุม ปัจจุบันซื้อได้ลอทนึงจากประเทศญี่ปุ่นแต่มีจำนวนไม่มาก ต้องรอประเทศจีนที่กำลังทยอยให้ความรู้เพิ่มเติมของไวรัสตัวนี้เพื่อพัฒนาหนทางต้านและรักษา ตอนนี้ต้องช่วยกันยื้อเวลาที่จะเข้าสู่การแพร่ระบาดไปในวงกว้างให้ได้นานที่สุดเพื่อจะได้มีเวลารักษาคนที่เป็นแล้วและมียาพร้อมรักษาคนที่จะป่วยเพิ่ม

12 เราในฐานะคนหนึ่งคนทำอะไรได้บ้าง? สิ่งที่ประชาชนแม้แต่คนเดียวช่วยกันทำได้ คือลดความเสี่ยงของตัวเอง หากเราไม่ติดเชื้อ เราก็จะไม่แพร่เชื้อไปต่อ

ควรทำยังไงบ้าง?

13 เราควรเลี่ยงหรือลดความถี่ไปในสถานที่คนเยอะๆ หากมีความจำเป็นต้องไปให้ใส่หน้ากากอนามัยและหมั่นล้างมือบ่อยๆ คนไหนมีอาการป่วยควรเลี่ยงตัวเองออกจาชุมชนและสังเกตอาการ พร้อมทั้งใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อต่อ ที่สำคัญอย่าปกปิดข้อมูล ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตามความจริงเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ

14 การล้างมือควรล้างบ่อยๆ บ่อยแค่ไหน? ทุกครั้งที่เปลี่ยนกิจกรรม ก่อนรับประทานอาหาร หรือตอนที่รู้ตัวว่ามือสกปรกแล้ว จะเซทเวลาทุกๆกี่นาที่เดินไปล้างมือก็ได้ ห้ามเด็ดขาดคือการนำมือสกปรกไปจับบริเวนหน้า เพราะไวรัส COVID-19 ตัวนี้จะเข้าทางพวกเยื่อบุซึ่งคือทาง ตา จมูก ปาก COVID-19 จะไม่เข้าผ่านผิวหนังถึงแม้ว่าจะมีแผล การล้างมือล้างด้วยน้ำสบู่ก็เพียงพอต่อการฆ่าเชื้อไวรัสตัวนี้แล้ว COVID-19มีเปลือกเป็นไขมัน (Lipid) จะถูกทำลายได้ง่ายเมื่อโดนน้ำสบู่ที่ไปล้างเปลือกไขมันออก หากไม่มีสบู่ สามารถใช้แอลกอฮอล์ไม่ต่ำกว่า 70%  (ห้ามต่ำกว่า 70%เพราะแอลกอฮอล์เมื่อเทใช้จะมีการระเหยออก ความเข้มข้นจะหายไปด้วยและอาจไม่เพียงพอต่อการทำลายไวรัส) หรือน้ำคลอลีน (ดูความเข้มข้น) แทน

15 หมั่นทำความสะอาดพื้นผิวที่ผ่านการสัมผัสทั้งหมด ยิ่งพิ้นผิวสัมผัสเรียบเช่นสเตนเลส อลูมิเนียม ลูกบิด ราวรถไฟฟ้า จะติดไวรัสง่าย พื้นที่ที่ผิวขรุขระเช่นเสื้อผ้าติดได้น้อยกว่า

16 ไวรัสปนเปื้อนลงในอาหารได้ไหม? คำตอบคือได้ ควรรับประทานอาหารที่ผ่านความร้อน ไวรัส COVID-19 จะตายเมื่อผ่านความร้อน 56 องศาเซลเซียสเป็นระยะเวลา 30 นาที และระยะเวลาจะลดลงเรื่อยๆเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น เชื้อ COVID-19 จะตายทันทีเมื่อความร้อนถึงจุดเดือด 100 องศาเซลเซียส ตรงกันข้ามกับความเย็น ยิ่งความเย็นมากเท่าไหร่ยิ่งอยู่ยาวมากขึ้น ถ้าตู้เย็นติดลบไวรัสตัวนี้สามารถอยุ่ได้เป็นเดือน

17 จะระยะไหนตอนนี้ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือทุกคนต้องรู้ว่าควรทำอะไรในสถานการณ์แบบนี้ ไม่ประมาท ลดความเสี่ยง และลดการแพร่เชื้อให้ได้มากที่สุด เราไม่อยากเป็นผู้ป่วย คนอื่นก็ไม่อยากเป็นผู้ป่วยเช่นกัน ต้องรู้ตัวเองและมีจิตสำนึกต่อสังคมให้มาก

18 สุดท้ายตระหนักได้ แต่ต้องไม่ตระหนก อย่าไปเครียดเกินไปหากเราทำสุดความสามารถของเราแล้ว

ขอให้ความรู้ทั้งหมดที่ได้มาวันนี้เป็นประโยชน์ต่อทุกคน และหวังว่าทุกคนจะช่วยกันคนละไม้คนละมือในการยับยั้งการแพร่ระบาดของ COVID-19

วันอังคารที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2563

โควิด-19 ที่หางโจว


(Cr.Fwd.line)
แชร์ประสบการณ์การรอดชีวิตจาก COVID-19 ในประเทศจีน ของสาวไทยในเมืองหางโจว 1 ในเมืองที่ถูก lockdown ช่วงที่ COVID-19 ระบาดหนัก

เราอยากมาแชร์ว่าเราใช้ชีวิตยังไงในช่วงที่เกิดการระบาดซึ่งเขต余杭区 ที่เราอยู่เป็นเขตที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดในหางโจวและถูกคุมเข้มที่สุดในช่วงที่ผ่านมา

ที่คอนโดและรอบๆคอนโดเรา มีรายงานว่า มีผู้ติดเชื้อ

ทำให้ช่วงแรกๆเราจะได้ยินเสียงรถพยาบาลบ่อยมากๆ ซึ่งเราเชื่อว่าผู้ติดเชื้อเหล่านี้ก็เดินทางไปห้างและซุปเปอร์มาร์เกตเดียวกับเรา แต่เราก็ผ่านมาได้

ดังนั้นไม่ต้องแพนิกหรือวิตกกังวลจนเกินไป COVID-19 น่ากลัวแต่ป้องกันได้ ถ้าเราผ่านมันไปได้ เพื่อนๆก็สามารถผ่านมันไปได้เช่นกัน

เราขอแชร์คร่าวๆวิธีป้องกันของเรา หวังว่ามันจะพอมีประโยชน์กับเพื่อนๆที่วิตกในช่วงนี้ ลองเอาไปดัดแปลงตามลักษณะการใช้ชีวิตประจำวันของแต่ละคนดูนะ ทำให้มันเป็นกิจวัตรไป เราทำแบบนี้มาก่อนช่วงปิดเมืองด้วยซ้ำ ตอนนั้นยังไม่มีรายงานการติดเชื้อในหางโจวเลยแต่โชคดีที่ตอนนั้นเรากลัวไข้หวัดใหญ่มากๆซึ่งมันระบาดที่จีนในช่วงหน้าหนาวเป็นเรื่องปกติ

วิธีที่เราใช้ในช่วงระบาดหนักที่จีน

"เมื่อออกข้างนอก"

1. ใส่หน้ากาก
 ไม่ว่าใครจะเอาทฤษฏีอะไรใดๆมาอ้าง เราเชื่อนะตามทฤษฏีแต่ภาคปฎิบัติเราขอใส่ไว้ดีกว่าไม่ใส่ อย่างน้อยๆถ้าเราเป็นคนที่ติดเชื้อเราจะไม่ยอมเป็นผู้แพร่เชื้อโดยเด็ดขาด

2. พกแอลกอฮอล์ล้างมือ
เราเอาเจลล้างมือแขวนไว้ที่หูกระเป๋าเลย เอาให้ใช้ง่ายๆ จะได้ไม่ต้องเปิดกระเป๋าก่อนแล้วเอามือเปื้อนๆยื่นเข้าไปหยิบ หรือถ้ามีแบบ สเปรย์ก็พกเป็นขวดเล็กๆไว้ พ่นได้ตั้งแต่มือยันปุ่มลิฟท์ยันที่เปิดประตูรถ

3. พก alcohol wipe (ทิชชูเปียกที่ชุบแอลกอฮอล์ 75%)
 เราใช้เช็ดพวกด้ามจับรถเข็นในซุปเปอร์มาร์เกต หรือหากจำเป็นต้องสัมผัสกับของใช้ส่วนรวม ก็จะใช้ ไวพ์เช็ดก่อน

"อยู่ข้างนอก"

1. ในสถานที่ที่อากาศไม่ถ่ายเท จะไม่มีการถอดแมสหรือแตะแมสโดยเด็ดขาด

2. เราพยายามรักษาระยะห่างจากคน ระยะหนึ่งเมตร แต่ก็ยาก ในซุปเปอร์มาร์เกตคนค่อนข้างเยอะ ส่วนมากเลี่ยงไม่ได้เลย

3. กระเป๋า มือถือ ไม่วางซี้ซั้ว กระเป๋าสะพายแนบตัวตลอด ส่วนมือถือนอกจากตอนจ่ายเงินกับแสดง health code เราจะไม่เอาออกมาเลย

4. ทุกครั้งที่กลับขึ้นรถ เราจะเช็ดมือ เช็ดพวงมาลัย เกียร์ ด้วยแอลกอฮอลล์ไวพ์ทุกครั้ง กันเหนียวไว้ในกรณีเจลแอลกอฮอล์มีประสิทธิภาพไม่พอ

"เมื่อกลับเข้าบ้าน"

1. รองเท้าที่ใส่ไปข้างนอกเราจะถอดไว้ด้านนอกเลย ไม่เอามาเก็บในตู้รองเท้า และเราใส่อยู่คู่เดียวจะไม่เปลี่ยนไปมา เมื่อถึงบ้าน เอาแอลกอฮอลล์พ่นรองเท้าทั่วๆกันไว้อีกที

2. ก่อนออกนอกบ้านทุกครั้ง เราจะเตรียมเสื้อผ้าใส่อยู่บ้านชุดใหม่ไว้หนึ่งชุดและแขวนรอไว้ในห้องน้ำเลย พอเข้าห้องมาเราจะเลี้ยวเข้าห้องน้ำทันที ล้างมือ ถอดแมส ล้างหน้า ล้างขา แล้วเปลี่ยนชุดใหม่ทันที เราจะไม่เข้าไปนั่งในบ้านด้วยชุดเสื้อผ้าที่ใส่ออกไปข้างนอก เสื้อผ้าที่ใส่ไปข้างนอก จะซักในวันนั้นเลยและใส่น้ำยาฆ่าเชื้อทุกครั้ง ถึงแม้จะแค่ลงไปรับไปรษณีย์ด้านล่างเราก็จะเปลี่ยนชุดทุกครั้ง

3. มือถือ เราจะเช็ดด้วยแอลกอฮอล์ทุกครั้งหลังกลับเข้าบ้าน รวมไปถึงกุญแจบ้าน กุญแจรถทั้งหมด ซึ่งเรามีชั้นวางอยู่หลังประตูทางเข้าห้องเลย ถ้ายังไม่ได้เช็ดแอลกอฮอลล์ เราจะไม่ถือมือถือเข้าไปในห้องนั่งเล่นโดยเด็ดขาด

4. จำกัดกระเป๋าที่ใช้ เราเลือกใช้กระเป๋าที่มีขนาดเล็กที่สุด สลับใช้อยู่เพียงสองใบและกระเป๋าสองใบนี้จะไม่ถูกนำเข้ามาในตัวห้อง เราจะวางไว้ตรงชั้นวางตรงทางเข้า หูกระเป๋าจะเกี่ยวเจลล้างมือไว้ เพราะใช้ทำความสะอาดมือตลอดเวลาไปข้างนอก

5. เราสระผมทุกครั้งที่กลับมาจากข้างนอก เพราะเรากลัว ผมเราค่อนข้างยาว และเราเป็นสายสยายไปสยายมา 555 เราเป็นพวกคิดมาก คือผมสยายไปข้างหลังงัยละแบบเราไม่รู้ว่าใครมาโดนบ้างหรือเกิดมีใครมาไอใส่มั้ยละเราไม่รู้ตัว อย่างที่บอกในซุปเปอร์มาร์เกตคนค่อนข้างเยอะ

 ยกเว้น ถ้าเราแค่ลงไปรับไปรษณีย์ด้านล่าง เราจะม้วนผมเป็นดังโงะเอา บางทีก็ใส่หมวกครอบไปอีกที

"เมื่ออยู่บ้าน"

1. เราดูดฝุ่นทุกวัน เช้า-เย็น วันละสองครั้งเพราะเราเลี้ยงกระต่าย ไม่ใช่คิดว่าดูดละกันไวรัสได้นะ แต่พยายามระวังพวกเรื่องภูมิแพ้หรือการป่วยเป็นโรคอื่นด้วย เพราะเราคิดว่าถ้าเรามาป่วยช่วงนี้พอดี ถ้าไปโรงพยาบาลเราต้องได้ของแถมกลับมาแน่ๆ 555 ดังนั้นอะไรเลี่ยงได้เราจะเลี่ยงไว้ก่อน

2. วันไหนที่มีแดด ซึ่งเป็น rare item ที่หางโจว เราจะเปิดหน้าต่างเพื่อระบายให้อากาศถ่ายเท แต่ถ้าวันที่อากาศดูแย่ๆ เราจะพยายามไม่เปิดหน้าต่างเลย

3. ถูพื้น เราพยายามถูทุกสามสี่วันครั้ง โดยเราจะใส่เม็ดคลอรีนฆ่าเชื้อลงในกระบอกน้ำ ถูไปพ่นไปตลอด ถ้าใครไปหาซื้อมาใช้ ให้ระวังเรื่องความเข้มข้น ผสมในปริมาณที่พอดี เจือจางๆพอ เข้มข้นไปเดี๋ยวหลอดลมพัง ยิ่งคนเป็นหอบหืดให้ระวังด้วย

4. ซักผ้า ผสมเดทตอลทุกครั้ง จริงๆเราใช้เดทตอลซักผ้ามาตั้งแต่ช่วงสองปีก่อนที่เริ่มเลี้ยงกระต่าย เลยค่อนข้างชินกับกลิ่น

5. เรากินวิตามินซีทุกวัน วันละ 1000 มิลลิกรัมและบังคับคนข้างๆให้กินด้วย 555 และพยายามพักผ่อนให้เพียงพอ

6. จริงๆก่อนจีนจะประกาศLockdown เมืองต่างๆ เค้าประกาศให้ยกเลิกการรวมตัวสังสรรค์ทั่วประเทศ ช่วงนั้นตรงกับตรุษจีนพอดีซึ่งมันคือมหกรรมการกิน กิน กินและกิน นี่เราแนะนำนะ พวกงานกินเลี้ยง หรือ ไนท์คลับอะไรพวกนี้ งดได้งดไปก่อน เพราะเราไม่รู้เลยว่าคนที่ไปร่วมโต๊ะด้วยไปไหนไปเจอใครมาบ้าง

หางโจว อยู่ในมณฑลเจ้อเจียง เป็นเมืองหนึ่งที่มีการ lockdown ซึ่งเดินทางข้ามเมืองไม่ได้ แต่ยังสามารถออกจากบ้านมาซื้อของได้นะ ซึ่งเขตที่อยู่ มีผู้ติดเชื้อค่อนข้างสูง

เราสามารถขับรถไปซื้อได้ แต่ ต้องไปกลับ ภายใน สี่ชม.  ถ้าเกินจากนี้ เขาจะเรียกตำรวจมารับเราไปสถานกักตัวซึ่งก็คือโรงแรม ที่รัฐบาลหางโจวเช่าไว้

ที่ชั้นหนึ่งของคอนโดจะมีเจ้าหน้าที่อยู่ หนึ่งครอบครัวส่งคนออกไปซื้ออาหารได้แค่ หนึ่งคน สองวันหนึ่งครั้ง วิธีการออกก็คือต้องแลกบัตรประชาชน กรอกข้อมูลลงสมุดบันทึก ก็พวกชื่อ เบอร์ติดต่อ เจ้าหน้าที่ก็จะวัดอุณหภูมิละจดลงไปด้วย เพราะถ้าขากลับมาอุณภูมิสูงขึ้นกว่าตอนออก เขาก็มีความจำเป็นที่จะต้องเรียกรถพยาบาลมา  (ตอนกรอกข้อมูลจะได้ใบสีขาวมา  ซึ่งกลับเข้ามาก็ต้องเอามายื่นด้วย ถ้าหาย ไม่ได้เข้าตึก)

อ้อ เงื่อนไขการออกไปข้างนอก เราจะต้องให้ดู healthcode ที่อยู่บนแอพมือถือด้วยนะ จะมีเป็นสี ถ้าเร่ได้สีเขียวถึงออกไปได้

health code มีสามสี:  ถ้าเราได้สีเขียวก็คือ สุขภาพดีสีเหลือง กักตัวเจ็ดวัน, สีแดง กักตัว สิบสี่วัน โดยข้อมูลต้องคอยอัพเดท ทุกสิบสี่วัน

เวลาไปถึงห้าง เขาก็จะมีเจ้าหน้าที่วัดอุณหภูมิละก็ขอเชค health code อีกรอบด้วย

จริงๆเราคิดนะอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด แต่เราไม่อยากมาเสียใจว่าวันนึงเราติดเชื้อเพราะไม่ยอมป้องกันตัวเองให้ดี ยิ่งมีอีกหนึ่งชีวิตติดแหอยู่กับเรา มันเหมือนต้องรับผิดชอบเค้าด้วย เราเป็นพวกย้ำคิดย้ำทำ ถ้าวันนึงเราติดเชื้อทั้งๆที่เราได้ทำดีที่สุดคือเรายอมรับได้ แต่เราจะรับไม่ได้เลยถ้ามันเกิดจากความประมาทของตัวเอง

เราเข้าใจความวิตกของทุกคน เพราะเราผ่านมาหมด วันไหนออกไปข้างนอก สองสามวันหลังจากนั้น จะวิตกตลอดว่า เอ๊ะเราติดเชื้อมั้ย เราจะเป็นยังไง หายใจไม่ทันหน่อยเราก็เริ่มเครียด เป็นหนักๆ นอนไม่หลับก็มี แรกๆเป็นหนักมาก เวลาไปซื้ออาหารเข้าบ้าน ยิ่งพวกซีฟู้ดเราจะไปซื้อแต่ซุปเปอร์ของนำเข้าเพราะกลัว

ตอนนั้นยังไม่มีประกาศว่าเป็นเพราะค้างคาว ทำให้เรากลัวพวกอาหารทะเลมากแต่เราเป็นคนติดอาหารทะเลก็ต้องหาทางกินให้ได้ 555

เราเครียดกว่าเพื่อนๆที่อยู่ไทยมาก เพราะเราเคยป่วยที่จีน เคยนอนโรงพยาบาลจีน เคยโคม่าที่นี่มาก่อน ซึ่งเราฝังใจ มันยิ่งทำให้เรากลัวกว่าเดิม แต่เราก็ค้นพบว่า ทุกๆครั้งที่เราออกไปข้างนอก ถ้าเราป้องกันตัวเราดีที่สุดแล้ว วันนั้นเราจะสบายใจและไม่กังวลใดๆ ดังนั้นถ้าวิตกก็ลองป้องกันตัวเองให้มากขึ้นดูนะ

ขอขอบคุณการแชร์ประสบการณ์จาก น้องน้ำเพชร (FB: nampetch limwachiranon)

วันพุธที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2563

คิดได้อย่างไร..?!

Cr.Fwd line


****

สมาธิ


ไม่ใช่ว่านักปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิเพื่อไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น แต่เพื่อสามารถคิดเฉพาะเรื่องที่ควรคิด ในเวลาที่สมควรคิด

ในเมื่อมีเรื่องที่ควรคิดพิจารณา และเป็นเวลาที่เหมาะสมแล้ว ขออย่าตระหนี่ความคิด อย่าเอาความง่ายเป็นหลัก

ถ้าง่ายก็ดี แต่บางเรื่องอย่างไรก็ไม่ง่าย ต้องยอมใช้เวลาคิดอย่างรอบคอบ ทุกแง่ทุกมุม ทบทวนหลายครั้งด้วยความไม่ประมาท ไม่คิดเข้าข้างตัวเอง

เวลาควรคิดก็ขยันคิด คิดอย่างมีเหตุผล เมื่อจบเรื่องที่จะต้องคิดแล้ว ให้พักอยู่ในความสงบ เหมือนแมงมุมพอจับแมลงได้แล้ว ก็กลับมาพักอยู่กลางใยแมงมุมอีกครั้ง

พระอาจารย์ชยสาโร
*****
Cr.https://www.facebook.com/318196051622421/posts/2627626627346007/

หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน

โปรดสละเวลา 2 นาทีอ่านข้อมูลนี้:
1. สมมุติว่าเป็นเวลา 19.25 น. คุณกำลังกลับบ้านตามลำพังคนเดียวหลังจากทำงานหนักเป็นพิเศษมาแล้วทั้งวัน
2. คุณอ่อนล้า อารมณ์ก็ไม่ดี
3. คุณรู้สึกปวดอย่างรุนแรงขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน เริ่มที่น่าอก ลามลงไปที่แขน แล้วย้อนกลับขึ้นไปที่ขากรรไกร
คุณอยู่ห่างจากโรงพยาบาลใกล้บ้านที่สุดประมาณ 5 ก.ม.
4. โชคร้ายที่คุณไม่รู้ว่าจะไปถึงหรือไม่
5. คุณผ่านการฝึกให้เป็นนักปั้มหัวใจกู้ชีพ (CPR) แต่ครูไม่ได้สอนวิธีทำกับตัวเอง
6. คุณจะเอาชีวิตรอดได้อย่างไรถ้าอยู่คนเดียว  เนื่องจากมีคนจำนวนมากที่เผชิญภาวะหัวใจล้มเหลวขณะที่อยู่ตามลำพังโดยไม่มีคนช่วย  คนที่หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะและเริ่มรู้สึกจะเป็นลมมีเวลาเพียง 10 วินาทีเท่านั้นก่อนที่จะหมดสติ
7. อย่างไรก็ตาม ผู้ตกเป็นเหยื่ออาการดังกล่าวสามารถช่วยตัวเองได้โดยไอแรงๆและถี่ๆ  ก่อนไอให้หายใจเข้ายาวๆ ลึกๆ แบบเดียวกับเวลาจะขากเสมหะหรือเสลด การหายใจเข้าแรงๆ สลับขากเสมหะต้องทำอย่างต่อเนื่องทุกสองวินาทีจนกว่าจะมีคนมาช่วยหรือเมื่อรู้สึกว่าหัวใจเต้นเป็นปกติ
8. การหายใจเข้าแรงและลึกทำให้อ็อกซิเจนเข้าไปในปอด อาการไอบีบหัวใจและช่วยกระตุ้นระบบหมุนเวียนของโลหิต การนวดห้วใจช่วยให้จังหวะเต้นของหัวใจเป็นปกติเพื่อผู้ป่วยจะได้ไปถึงโรงพยาบาลทันท่วงที
9. โปรดบอกต่อให้ทราบทั่วกัน คุณอาจช่วยชีวิตพวกเขาได้
10. แพทย์โรคหัวใจบอกว่า ใครก็ตามที่ได้รับเมล์นี้ โปรดส่งต่อให้เพื่อน 10 คน รับรองได้ว่าคุณจะช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ได้อย่างน้อย 1 ชีวิต
11. แทนที่จะส่งเรื่องขำขัน... โปรดส่งข้อมูลนี้ซึ่งสามารถช่วยชีวิตคนได้
12. ถ้าข้อมูลนี้มาถึงคุณมากกว่า 1 ครั้ง โปรดอย่าเสียอารมณ์... คุณควรมีความสุขที่คุณมีเพื่อนผู้หวังดีที่คอยพร่ำเตือนคุณว่าต้องทำอย่างไรถ้าหัวใจเกิดล้มเหลว
เพื่อนๆช่วยกันหน่อยรู้แล้วก็ช่วยแชร์ต่อ เราสามารถช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ได้เป็นกุศล ตาแฉะขอร้อง !!!
******
Cr.Fwd line

รักษาใจไว้


มีคนถามฉันว่า "ท่านไม่กังวลกับสถานการณ์โลกบ้างหรือ” ฉันตามลมหายใจแล้วจึงตอบว่า "สิ่งสำคัญที่สุดคือ อย่ายอมให้หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความวิตกกังวลต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในโลก หากหัวใจของเธอเต็มไปด้วยความวิตกกังวล เธออาจจะป่วยและเธอจะไม่สามารถช่วยอะไรได้ "มีสงคราม - ทั้งใหญ่และเล็กในหลาย ๆ พื้นที่ และนั่นอาจเป็นเหตุให้เราสูญเสียสันติสุขในตัวเรา ความวิตกกังวลคือโรคภัยในยุคสมัยของเรา เรากังวลเกี่ยวกับตัวเรา ครอบครัว เพื่อน และงานของเรา และยังกังวลกับสถานการณ์โลก ถ้าเราปล่อยให้หัวใจของเราเต็มไปด้วยความกังวล ไม่ช้าก็เร็วเราก็จะป่วย

พระอาจารย์ติช นัท ฮันห์

Someone asked me, "Aren't you worried about the state of the world?" I allowed myself to breathe and then I said, "What is most important is not to allow your anxiety about what happens in the world to fill your heart. If your heart is filled with anxiety, you will get sick, and you will not be able to help." There are wars - big and small - in many places, and that can cause us to lose our peace. Anxiety is the illness of our age. We worry about ourselves, our family, our friends, our work, and the state of the world. If we allow worry to fill our hearts, sooner or later we will get sick.

- Thich Nhat Hanh
********
Cr.https://www.facebook.com/164494073612711/posts/2975107529218004/

วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2563

ปล่อยวาง..


ธรรมะอรุณสวัสดิ์...รับวันใหม่
...................................
แนวทางของการฝึกจิตในทางของวิปัสสนา 
การฝึกจิตไม่ให้ยินดียินร้ายต่ออารมณ์ 
เจออารมณ์ดี  มีความสุขความสงบก็วางเฉย 
เจออารมณ์ร้าย  มันเป็นทุกข์  มันเดือนร้อนก็วางเฉย  แนวทางมันเป็นอย่างนั้น 
แต่เป็นความวางเฉยที่ไม่ใช่เฉยเมย 
ไม่ใช่เฉยแบบไม่รู้ไม่ชี้  เฉยแบบนั้นมันก็มีทั่วไป 
.
คนบางคนสติฟั่นเฟือนมันก็เฉย 
ไปไหนมันก็เฉยของมัน 
ใครจะมาใครจะไปมันเฉย  ไม่เดือดร้อนด้วย 
อันนี้มันเฉยแบบโมหะ 
แต่ว่าเฉยในทางวิปัสสนามันต้องเฉยอย่างผู้รู้ 
มันต้องมีความรู้ตื่นในความเฉย 
.
คำว่าเฉยในที่นี้หมายถึงไม่ยินดียินร้ายต่ออารมณ์ 
แต่พิจารณาในธรรมได้อยู่  เข้าใจในธรรม 
พิจารณาในธรรม  สอดส่องพิจารณาในสภาวธรรม 
มันมีการเปลี่ยนแปลง  มันมีความแตกดับ 
มันมีความหมดไป  มันเป็นเหตุเป็นปัจจัย 
อันนี้มันต้องมีการพิจารณา
.
ถ้าไม่พิจารณา  เฉยแบบไม่รู้ไม่ชี้ 
หรืออย่างดีก็ได้แค่สมาธิ 
ได้ความนิ่ง  ได้ความเฉย  ได้ความสงบ 
แต่ไม่มีปัญญารู้แจ้ง 
มันก็จะเป็นแค่สมถกรรมฐาน
ซึ่งมันยังไม่หลุดพ้นจากสังสารวัฏได้ 
สงบก็ชั่วระยะที่มีสมาธิ 
พอเจออารมณ์กระทบกระทั่ง 
กิเลสมันก็ฟูขึ้นมาได้อีก 
.
เราจะต้องฝึกให้เข้าถึงปัญญา
รู้แจ้งแทงตลอดในสัจธรรม 
เราจึงจะสงบจากกิเลส 
ความสงบจากกิเลสคือใจไม่วุ่นวาย  ใจไม่เศร้าหมอง 
แม้จิตใจจะต้องรับรู้อารมณ์ต่างๆ 
ต้องเห็น  ต้องได้ยิน  ต้องรู้กลิ่น 
รู้รส  รู้สัมผัส  คิดนึก 
แต่ว่าจิตไม่วุ่นวาย  จิตไม่เศร้าหมอง 
นี่เรียกว่าสงบเหมือนกัน  สงบจากกิเลส 
แต่ไม่สงบจากอารมณ์ 
เพราะยังรับอารมณ์ต่างๆ 
.
แต่ถ้าสงบจากอารมณ์นั้นมันเป็นแนวของสมถะ
คือนิ่งอยู่ในอารมณ์เดียว  ไม่รับรู้อะไรทั้งหมด 
นิ่ง  ดิ่งดับ  อย่างนี้เรียกว่าสงบจากอารมณ์ 
สมถะก็จะเป็นอย่างนั้น 
แต่วิปัสสนาไม่ใช่สงบจากอารมณ์ 
ต้องรับรู้อารมณ์ต่างๆ  แต่ว่าสงบจากกิเลสได้ 
ไม่เร่าร้อนใจ  อันนี้ถ้าเราฝึกเป็น
 เราก็เอาไปใช้กับชีวิตจริง  ชีวิตประจำวัน 
โดยที่เราตาเห็นรูป  หูฟังเสียง 
ยืน  เดิน  นั่ง  นอน  ทำการงาน 
เรามีสติรักษาจิตไม่ให้ยินดียินร้าย  ใจเราก็สงบ 
แต่ก็ยังทำงานได้อยู่  ยังคิดยังนึก 
แต่ว่าสงบจากราคะ  โทสะ  โมหะได้
.
เพราะฉะนั้น  ให้ไม่ประมาทในชีวิต 
ไม่ประมาทในความเป็นหนุ่มเป็นสาว
ว่าเรายังหนุ่มยังสาวอยู่  เรายังไม่แก่ชรา 
เรายังไม่ตายง่าย 
เมื่อประมาท  มันก็จะพลาดไปทำความชั่ว 
ทำชั่วทางกาย  ทำชั่วทางวาจา  ทำชั่วทางใจ 
ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต  ทุจริตฉ้อโกง 
ล่วงละเมิดทางเพศ  โกหกหลอกลวง 
ส่อเสียด  หยาบคาย  เพ้อเจ้อ 
พอประมาทแล้วมันจะพลาดไปทำชั่ว 
...................................

ธัมโมวาท โดยพระวิปัสสนาจารย์
#ท่านเจ้าคุณ #พระภาวนาเขมคุณ
(หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี)
เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา

................................
cr.https://www.facebook.com/545668525590453/posts/1526236644200298/

วันอังคารที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2563

เดินจิต


เดิน​จิต​คือ​อะไร ?

คำว่าเดินจิต ก็คือการเจริญสติ
จนเข้าสู่สภาวธรรมต่างๆ
จนหลุดออกจากทุกข์ทั้งปวงได้
.
วิธีของการเดินจิตมาจากพระไตรปิฎก
ก็คือเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอน
.
ลักษณะที่พระพุทธองค์ทรงสอน
จะเป็นเรื่องของการเดินสภาวธรรมต่างๆ
.
อย่างที่เรารู้จักพระสูตรหลักๆ
เช่น #อานาปานสติ16ขั้น
ก็คือการเดินเข้าสู่สภาวธรรมต่างๆ 16 ระดับ
ที่เกิดขึ้นจนหลุดออกจากทุกข์ทั้งปวง
.
หรือแม้กระทั่งใน #สติปัฏฐานสูตร
ก็เป็นบรรยายสภาวธรรม
.
หรือแม้กระทั่ง #อริยมรรคมีองค์8
สัมมาสติระลึกรู้ที่ถูกต้อง เข้าสู่
สัมมาสมาธิความตั้งมั่นที่ถูกต้อง
.
สงัดจากกามและอกุศลธรรมเข้าถึงปฐมฌาน
สภาวะของปฐมฌานในพระพุทธศาสนา
ก็คือ #ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
.
ขณะที่เราทำความรู้สึกตัวทั่วพร้อมได้
เราจะพบว่ากามและอกุศลธรรมไม่ก่อตัวขึ้น
เป็นสภาวะปกติ มีความตั้งมั่นที่ถูกต้องอยู่
.
และก็จะทรงตรัสต่อไปว่า
เมื่อวิตกวิจารระงับไป
เหลือแต่ปีติ สุข เอกัคคตา
เข้าถึงทุติยฌาน
เป็นฌานภายในที่ผ่องใส
มีธรรมอันเอกปรากฏขึ้น
.
นั่นคือ เมื่อเราทำความรู้สึกตัวทั่วพร้อมได้ดี
จนเกิดความแผ่ซ่านทั่วทั้งตัว
ความแผ่ซ่านเป็นปีติที่เรียกว่าผรณาปีติ
เกิดจากความรู้สึกทั่วกาย
ปีติจะทำให้รู้สึกได้ทั่วกาย
.
ส่วนความสุขเบาสบายเกิดจากใจ
จะมีปีติแผ่ซ่านด้วย มีความสุขเบาสบายด้วย
และธรรมอันเอกคือความตื่นรู้จะเริ่มปรากฏขึ้น
ก็จะไล่สเตปไปอย่างนี้
.
จากนั้น เข้าถึงตติยฌาน
ก็ทรงตรัสไว้ว่า มีสุขด้วยนามกาย
เป็นฌานที่พระอริยเจ้าสรรเสริญว่า
เป็นผู้มีสติ สัมปชัญญะมีอุเบกขา
.
สภาวะของฌานที่สาม
เพียงแค่เราอยู่กับความรู้สึกตัวทั่วพร้อมไปเรื่อยๆ
พอสติมีความละเอียดพอ
จะเกิดความสุขเบาสบาย
แล้วก็จะโปร่งโล่งเบาสบายขึ้นเรื่อยๆ
ความคิดปรุงแต่งหายไป
ประดุจสมองหายไป
จะเหลือแต่ความสุขเบาสบายที่ประณีตขึ้นเรื่อยๆ
.
มีแต่ดื่มด่ำกับความสุขเบาสบาย
แล้วจะรู้สึกถึงนามกายที่มันใสโปร่งเบาอยู่ภายใน
นั่นคือสภาวะของฌานที่สาม
.
ซึ่งสภาวะตรงนี้สติ สัมปชัญญะจะมีกำลังที่สูงมาก
และถ้าเราสามารถเข้าถึงจิตในจิตระดับนี้ได้
เราจะเห็นการเกิดดับของจิตในทุกๆขณะจิตได้
.
สติระดับนี้มีความละเอียดพอ
ที่จะเห็นการเกิดดับของจิตในทุกๆขณะจิตได้
.
ธรรมดาจิตมีความเกิดดับที่รวดเร็วมาก
ไม่สามารถนับได้
แต่ถ้าเราพัฒนาสติได้มีความละเอียดพอ
เราสามารถรู้เท่าทันการทำงานในทุกๆขณะจิตได้
.
แล้วจะนำไปสู่เรื่องของจิตตานุปัสสนา
รู้การทำงานของจิต ทั้งจิตตนและจิตท่าน
.
แล้วจะนำไปสู่เรื่องของวิชชาญาณต่างๆ
เรื่องของรูปนามที่เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน
รูปนามใกล้ รูปนามไกล
รูปนามหยาบ รูปนามละเอียด
ก็สามารถรู้ได้...

อย่างที่ฝึก มีเด็กเล็กๆ อายุเพียงแค่ 10 ขวบ มาฝึกด้วย
ด้วยความที่เป็นเด็ก ใจใส ฝึกง่าย
ก็ฝึกเข้าถึงสภาวะโปร่ง เบาสบายตรงนี้ ได้ดี
สติมีความละเอียด
ฝึกไม่นานก็เข้าถึงสภาวะนี้ได้อย่างรวดเร็ว
เค้าสามารถเห็นการเกิดดับของจิต
ตรงนี้เป็นสิ่งที่เรียกว่า ธรรมารมณ์
มันจะผุดมาจากใต้ลิ้นปี่
ถ้าเราเคยเรียนมา ที่เรียกว่า อภิธรรม
ที่เรียกว่าจิตเกิดที่หทัยวัตถุ
จริงๆ มันเป็นกระแสธรรมารมณ์ ที่ผุดจากใต้ลิ้นปี่ขึ้นมา

ถ้าสภาวะเรา สติมีความโปร่ง โล่ง เบาสบายได้ดี
เราจะเห็นถึงกระแสตรงนี้ ที่มันผุดออกมาได้
มันจะเป็นกระแสพลังงานที่มันผุดขึ้นมาๆๆ ในทุกๆ ขณะจิตที่เกิดขึ้นมา

ความโลภ ความโกรธ ความหลง กิเลสต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นมา จะผุดมาจากตรงนี้ทั้งสิ้น

ถ้าใครเริ่มปฏิบัติ เริ่มละเอียดขึ้น จะรู้สึกถึงกระแสการทำงานตรงนี้ได้
และตรงนี้มันสามารถในเรื่องของการเรียนรู้ ธาตุขันธ์ต่างๆ ได้ด้วย
อย่างที่สอนเด็กคนนี้ไป ก็คือ ให้เค้านำไปใช้ในการเรียน
เพราะว่า ฝึกมันสามารถดึงขันธ์ที่เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบันมาได้

เค้าก็นำไปใช้ในการสอบจริง
เวลาเค้าไปสอบจริง เค้าลืมข้อสอบ
เค้าลืมสูตร วิชาคณิตศาสตร์ที่เค้าเรียนมา
แล้วเค้าจำไม่ได้

เค้าก็อยู่ในระดับตรงนี้ เค้าสามารถเรียก ขันธ์ที่เป็นอดีต สัญญาความจำอันนั้นกลับมาใหม่ได้
ทำให้เค้าสอบได้

เพราะฉะนั้นการพัฒนาสติ เป็นประโยชน์เกื้อกูลกับชีวิตเราในทุกๆ เรื่องได้เลย

ตรงนี้ที่พระพุทธเจ้าตรัสถึง รูปนามใกล้ รูปนามไกล รูปนามหยาบ รูปนามละเอียด รูปนามอดีต รูปนามอนาคต รูปนามปัจจุบัน
มันสามารถเรียนรู้ได้ทั้งหมด

ผู้ที่พัฒนาสติเข้าถึงความละเอียดระดับนี้
นอกจากจะมีความสุขที่ประณีตมากๆ แล้ว
ก็จะมีขีดความสามารถพิเศษต่างๆ ในการรับรู้จิตตน
รับรู้จิตผู้อื่น
รับรู้กระแสพลังงานต่างๆ

มันจะเป็นสิ่งที่ดีไหม ถ้าเราสามารถรับรู้กระแสคนได้ว่า คนนี้เราควรยุ่ง หรือ ควรไม่ยุ่ง

อย่างบางทีเราดูหน้า เราไม่รู้ใจ ว่าเค้าคิดดี หรือคิดไม่ดีกับเรา
แต่กระแสมันจะฟ้องเลย

กระแสจิตมันจะเป็นคลื่นพลังงานที่ส่งออกมาก่อนเลย

เราจะรู้ได้เลยว่า คนนี้เราควรยุ่ง หรือ เราไม่ควรยุ่ง
หรือ เราควรให้ความไว้วางใจอย่างไรบ้าง

เพราะฉะนั้น สติ มันเป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง แล้วมันทำให้เราไปพัฒนาชีวิตเราได้เยอะมากในทุกๆเรื่อง

สติระดับนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่เกินวิสัย
เพียงแค่โยมทำความรู้สึกตัวทั่วพร้อมไปเรื่อยๆ
จะสามารถเข้าถึงสภาวะโปร่ง เบาสบายได้ในเวลาไม่นาน

โดย พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
พระวิปัสสนาจารย์
******
Cr.Fwd.line