วันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2562

เก็บมาฝากจากไลน์

Cr.Fwd.line
ถ้ามีลูกๆก็แชร์ให้พวกเขาอ่านและได้คิดตามนะครับ
SuperSun- Special
Sep 6, 2013

"เด็กที่ไม่มีร่มกาง จึงจะมีความพยายามที่จะวิ่งฝ่าสายฝน"

บทความจีนเรื่องหนึ่ง ซึ่งสื่อถึงความพยามยาม ซื่อสัตย์อดทนของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่ย่อท้อต่อความยากจนที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ไม่โทษว่าเป็นความผิดของพ่อแม่ที่ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใด ๆ ให้
ในทางกลับกัน เขากลับขอบคุณพ่อแม่ที่มอบ “ขา 1 คู่” ที่แข็งแรง เพราะเกิดในชนบทห่างไกลความเจริญ

ตอนที่พ่อเขานั่งถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยื่นมืออันสั่นเทา ส่งเงิน 4,533 หยวน ที่ไปหยิบยืมมากจากทุกสารทิศให้กับเขา เขาเข้าใจดีว่า หลังจ่ายค่าเล่าเรียนและค่าธรรมเนียมในภาคการศึกษานั้น เป็นเงิน 4,100 หยวนแล้ว เขาจะเหลือเงินเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัวและจิปาถะเพียง 433 หยวน เขาก็รู้ซึ้งแก่ใจดีว่า พ่อของเขาได้พยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว คงไม่สามารถให้เขามากไปกว่านี้ได้
"พ่อครับ พ่อไม่ต้องห่วงลูกชายของพ่อนะ ลูกยังมี 2 แขนและ 2 ขาดีอยู่"
เขายิ้มสู้กับความขมขื่น และยิ้มปลอบใจพ่อ หันตัวออกและเดินไปตามทางภูเขาที่โค้งไปมา ขณะที่เขาหันตัวออกนั้น น้ำตาเขาก็ไหลออกมา
เขาสวมใส่รองเท้าพลาสติกกึ่งใหม่เดินตามทางบนเขาไกลถึง 120 ลี้

เมื่อถึงมหาวิทยาลัย หลังจากชำระค่าเล่าเรียนแล้ว เขาเหลือเงินในมือเพียง 365 หยวน เวลา 5 เดือนกับเงิน 300 กว่าหยวน จะอยู่ได้อย่างไร
หันมองไปดูนักศึกษาอื่นรอบข้าง ที่มีเครื่อง MP3 คล้องคอ สวมใส่เสื้อผ้าแบรนด์เนม เดินไปมา และยิ้มทักทายกันอย่างรวดเร็ว
พูดถึงอาหาร เขาจะกินเพียงแค่ 2 มื้อ และแต่ละมื้อต้องไม่ให้เกิน 2 หยวน นี่คือสิ่งที่เขาตั้งจะทำเพื่อให้มีรายจ่ายน้อยที่สุด มิฉะนั้นแล้ว เขาจะไม่สามารถอยู่รอดจนถึงวันสุดท้ายของภาคการศึกษานี้ได้
คิดไปคิดมา ในที่สุด เขาก็ตัดสินใจอย่างห้าวหาญ ซื้อโทรศัพท์มือถือมือสองมา 1 เครื่องด้วยเงิน 150 หยวน

ในวันต่อมา บอร์ดที่โฟสข้อความต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยนั้น ทุกๆกระดานจะมีแผ่นกระดาษใบเล็ก ๆ เขียนข้อความด้วยลายมือติดไว้ว่า “คุณต้องการให้ช่วยบริการอะไรไหม? หากคุณไม่ต้องการไปซื้ออาหารเอง ต้มน้ำดื่มเอง จ่ายค่าโทรศัพท์เอง ฯลฯ ขอให้ติดต่อข้าพเจ้าที่เบอร์..... คุณจะได้รับการบริการในเวลาอันรวดเร็วที่สุด ค่าบริการภายในมหา’ลัยครั้งละ 1 หยวน นอกมหา’ลัยภายในรัศมีไม่เกิน 1กิโลเมตรคิดค่าบริการครั้งละ 2 หยวน”

เมื่อได้ติดแผ่นโฆษณาลงบนกระดานต่าง ๆ แล้ว เบอร์โทรของเขา กลายเป็นหมายเลขที่ “hot” ที่สุดขึ้นมาทันที เริ่มด้วยรุ่นพี่ปี 4 คณะศิลปกรรมศาสตร์เป็นคนแรกที่โทรเข้ามาบอกว่า “ฉันเป็นคนขี้เกียจ ตอนเช้าไม่อยากตื่นมาซื้ออาหาร เรื่องนี้ก็รบกวนคุณแล้วกัน”
 “ได้เลยครับ! ทุกวันเวลา 7 โมงเช้า ฉันจะไปส่งอาหารถึงห้อง(หอพัก)คุณ” พูดจบเขาก็ลงบันทึกรายการแรกของธุรกิจอย่างตื่นเต้น ก็มีเพื่อนนิสิตอีกคนส่งข้อความมาว่า “ไม่ทราบว่าจะไปซื้อรองเท้าแตะให้คู่หนึ่งได้ไหม? ส่งมาที่ห้องหมายเลข 504 รองเท้าเบอร์ 41เอาที่กันกลิ่นอับได้ด้วยนะ”

เขาเป็นเด็กฉลาด เข้ามาเรียนได้ไม่นาน ก็พบปรากฎการณ์ที่น่าสนใจ นั่นคือในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้ โดยเฉพาะนิสิตปี3และปี4 ใช้ห้องพักเป็น”ที่ซุกอาศัย” เขาให้นิยาม”ที่ซุกเอาศัย” ว่า คือกลุ่มเด็กที่มีฐานะทางครอบครัวดีหน่อย จะซุกอยู่แต่ในห้องพักทั้งวันทั้งคืน ไม่ว่าจะอ่านหนังสือ เล่นเกมคอมพิวเตอร์ แม้กระทั่งอาหารการกินก็ไม่ยอมออกลงไปซื้อที่ด้านล่าง
ในขณะที่เขาเติบโตมาจากบนดอย ผ่านการเดินบนทางภูเขาที่ขรุขระและลาดชัน ทำให้เขามีขาที่เดินได้รวดเร็ว การขึ้นบันไดไปชั้น 5 ชั้น 6 นั้น สำหรับเขา แค่กระพริบตาก็ถึงแล้ว

ในบ่ายวันเดียวกัน มีนิสิตคนหนึ่งโทรมา ขอให้เขาไปซื้ออาหารจานด่วนนอกสถาบัน ซึ่งขายในราคามาตรฐานที่ 15 หยวนต่อจาน พอวางสายปั๊บ เขาก็งบึ่งไปอย่างรวดเร็วปานลมหมุน รวมเวลาที่ไปและกลับมาส่งถึงมือคนสั่ง ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที
นี่ก็เร็วเกินไปหน่อยกระมัง! นิสิตคนนั้นรู้สึกทึ่ง และรีบส่งเงินให้ 20 หยวน เขาทอนเงินคืน 3 หยวน โดยให้เหตุผลว่า เขาบอกแล้วว่า ค่าบริการนอกสถาบันคิด 2 หยวน

การทำธุรกิจ
จากการบริการที่มีประสิทธิภาพ และความน่าเชื่อถือที่ได้รับความไว้วางใจ ทำให้ทุกห้องทุกหอ เมื่อมีสิ่งของที่จะซื้อ จะนึกถึงเขาขึ้นมา การมีธุกิจที่ร้อนฉ่าได้ขนาดนี้ ต้องถือว่าเกินความคาดหมายของเขาไปอย่างมาก มีบางครั้งที่เวลาพักจากชั่วโมงเรียน เมื่อเปิดดูข้อความในมือถือ จะพบกับรายการหลากหลายเกือบทุกชนิด ที่จะไหว้วานให้เขาไปทำให้

ในบ่ายวันหนึ่ง ฝนตกลงมาอย่างหนัก มีเสียงส่งข้อความทางโทรศัพท์ดังเข้ามา เป็นข้อความจากนิสิตหญิงคนหนึ่งแจ้งความจำนงว่า ต้องการร่ม 1 คัน ยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี พอเขาได้รับข้อความ เขาก็รีบวิ่งลุยฝนออกไป เนื้อตัวที่เปียกมะร่อกมะแร่ก เอาร่มไปส่งให้กับนิสิตสาว ทำเอาเธอประทับใจอย่างสุดซึ้ง ถึงกับโอบกอดเขาไว้ นั่นเป็นครั้งแรกที่ได้รับการโอบกอดจากสาว เขาได้แต่กล่าวคำขอบคุณ ๆ และไม่สามารถหยุดการไหลของน้ำตาได้ ….

พร้อมกับการเป็นที่รู้จักของเพื่อนๆ มากขึ้น ธุรกิจของเขาก็ยิ่งโตวันโตคืน
เวลาผ่านไปไวเหมือนพริบตา จากการที่เขาวิ่งส่งงานบริการ ภาคการศึกษาที่หนึ่งก็ได้สิ้นสุดลงแล้ว เขาได้กลับบ้านไปในช่วงฤดูหนาว

ที่บ้าน พ่อเฒ่ายังคงวิตกกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย
ในการศึกษาถัดไปของเขาอยู่ เขาเอาเงิน 1,000 หยวนออกมา ยัดเยียดใส่มือพ่อ และพูดว่า “พ่อครับ ถึงแม้ว่าพ่อจะไม่ได้ให้บ้านที่มีฐานะกับผม แต่พ่อได้ให้ขาคู่ที่สามารถวิ่งได้ดีมาก ด้วยสองขาที่พ่อให้มานี้ ผมสามารถ ‘วิ่ง'
 จนจบมหาวิทยาลัยและจะมีชื่อเสียงได้ครับ”

ปีการศึกษาต่อมา เขาไม่ได้ทำงานคนเดียวอีกต่อไป เขารับเพื่อนร่วมงานที่มาจากครอบครัวที่มีฐานะไม่ค่อยดี มาช่วยให้บริการทั้งในมหาวิทยาลัยและนอกมหาวิทยาลัย การให้บริการที่ขยายวงออกไป ทำให้ค่อย ๆ
วิ่งไป วิ่งไป วิ่งไปไม่หยุดยั้ง เขากำลังวิ่งไปสู่ทางสำเร็จ

เขาให้นิยาม “กระปุกทอง”ของเขาไว้ที่ 5 แสนหยวน
ซึ่งชื่อจริงของเขาคือ นายเจียหนัน แซ่เฮอ จากตำบลเนินเขาห่างไกลชื่อ Daxinanling ตรงเข้าสู่วิทยาลัยครูประจำจังหวัด
ปัจจุบัน นอกจากเป็นนิสิตปี 3 แล้ว ยังเป็นตัวแทนจำหน่ายในมหาวิทยาลัย แต่เขาก็ยังเป็นชายหนุ่มคนเดิม ที่เรียบง่าย ทำงานหนัก อย่างการรับต้มน้ำ 1 กา และนำส่งให้ลูกค้าในเวลาอันรวดเร็วปานลม เพื่อให้ได้เงินค่าจ้าง 1 หยวนเช่นเดิม

หากเป็นคุณ คุณจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร? จะเป็นเหมือนตัวเอกในเรื่อง หรือจะโทษความยากจนว่าเป็นความผิดของพ่อแม่ผู้ปกครองกับสังคมไหมนะ?

อ่านเสร็จ...แล้วส่งต่อให้เพื่อนๆ ด้วยครับ

วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2562

ไม้คานที่หัก


(ภาพจากอินเตอร์เนต)

เก็บมาฝากจากไลน์
.....
ไม้คานที่หัก....

 ยังจำอาแปะขายก๋วยเตี๋ยวแคะได้ไหมคะ อาแปะผู้มีอัธยาศัยดี เขย่าลวกเส้นไปยิ้มไป ใจดีแถมลูกชิ้นให้อาหมวยบ่อยๆ สั่งกินทีไร ได้ปริมาณมากกว่าคนอื่นทุกที
"อาเฮียครับ ไม่ต้องแถม กำไรไม่มาก หาบมาก็หนัก ให้อาหมวยเหมือนคนอื่นๆ ถ้าอีไม่อิ่ม ก็ซื้ออีกชาม "
 เตี่ยเอ่ยกับอาแปะ อาหมวยกำลังคีบเส้นหมี่อยู่คาปากยังส่งยิ้มพยักหน้ากับคำว่า อีกชามของเตี่ยได้ คิดในใจว่า
แห้งชาม น้ำชาม กำลังดี

  อาแปะยิ้ม บอกกับเตี่ยว่า
" อาหมวยใจดี เอาน้ำชาเย็นๆมาให้อั๊วทุกครั้ง เปิดน้ำก๊อกให้ล้างหน้าคลายร้อน อีใจดีกับอั๊ว อั๊วก็ต้องใจดีกับอี "
เตี่ยยิ้ม หันมาบอกอาหมวยว่า
" อาหมวย ขอบคุณอาแปะซิ อาแปะชมเชยลื้อ "
 อาหมวยวางชามลงบนตัก ยกมือไหว้ กล่าวขอบคุณอาแปะ

 อาหมวยคิดเอาเองว่า หาบของอาแปะนั้นต้องหนักมากๆ และเดินมาไกล
คงทั้งเหนื่อยและเมื่อย แถมเตาก็ส่ง
ไอร้อน และ มีควัน น้ำชาเย็นๆกับ
น้ำจากก๊อก คงช่วยทำให้คลายร้อน
หายเหนื่ิอยลงได้บ้าง
  ที่สำคัญ อาแปะไม่เคยร้องขอ ไม่เคยเดินไปเปิดก๊อกเองในยามที่อาหมวยไม่ว่างมาเปิดให้ อาหมวยมองว่า
อาแปะเป็นคนมีมารยาทที่ดี ไม่ถือวิสาสะ ให้ก็รับ ไม่ให้ก็ไม่เรียกร้อง
คนแบบนี้อาหมวยชอบ ชอบมาจนถึงปัจจุบัน
  หากใครเดินเข้ามาเพื่อเรียกร้อง
อาหมวยจะรู้สึกว่า น่ารังเกียจ แต่ถ้าคิดแล้วว่า สมควรให้ อาหมวยจะให้เอง

 อาแปะ มาวางหาบทีไร ก็ขายหมดทุกที
อาหมวยดีใจด้วยทุกครั้ง อาแปะจะได้ไม่ต้องเหนื่อยเดินขายอีก
  ครั้งหนึ่ง เมื่อฝนตกหนัก อาแปะถอดเสื้อยืดออกมาบิดน้ำ อาหมวยมองเห็นบ่าทั้งสองข้างของอาแปะเป็นรอยด้าน บ่งบอกถึงน้ำหนักของหาบที่แบกมานานวัน กว่าจะได้เงินแต่ละบาท
ต้องใช้ความอดทนมากเพียงใด
  แต่อาแปะก็ยังคงมีรอยยิ้มเปื้อนหน้า
ซ่อนความเหนื่อยไว้ภายใน

  ด้วยอัธยาศัยที่ดี รสชาติก๋วยเตี๋ยวแสนอร่อย ลูกค้าย่อมมากเป็นธรรมดา
แถมอาแปะยังใจดี บ้านไหนยากจน
มีลูกมาก หิ้วหม้อมาซื้อเกาเหลา อาแปะจะทำให้ในปริมาณมากเป็นพิเศษ
แต่คิดในราคาธรรมดา
  ในยุคนั้น น้ำใจไมตรี เบ่งบาน
กว่าน้ำเงินเสมอ

  แล้ววันหนึ่ง ก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดกับอาแปะ
  วันนั้น อาแปะมาวางหาบ
ที่หน้าบ้านอาหมวย ผู้คนในวันนั้น
ไม่ค่อยคึกคักเหมือนเช่นทุกวัน
 ขายได้ไม่กี่ชาม นั่งคุยกับเตี่ยอยู่ครู่หนึ่ง ก็เอ่ยลา อาแปะบอกว่า
" วันนี้เตรียมของมามากกว่าทุกวัน
ต้องรีบไปเดินขาย ต้องไปให้ทันโรงงานซอยโน้น แล้วจะเลยไปขายที่ตลาด จะได้กลับบ้านเร็วหน่อย "

  กล่าวจบ อาแปะส่งยิ้ม แบกหาบขึ้นบ่า
มือข้างหนึ่ง หิ้วถังน้ำ ออกก้าวเดินได้เพียงสามสี่ก้าว ไม้คานก็หัก ตู้ทองเหลืองทั้งสองฝั่งหล่นลงกระแทกพื้น
ถังน้ำหลุดจากมือ ร่างอาแปะทรุดลงกับพื้น
  อาหมวย กับ อาแหมะ ร้องออกมาด้วยความตกใจ เตี่ยสติดีกว่าใคร วิ่งเข้าไปประคองร่างอาแปะขึ้นนั่ง
" อาคิ้ม เปิดประตูให้กว้าง จะพาอาเฮียเข้าในบ้าน "
 พูดจบเตี่ยอุ้มอาแปะ ก้าวเข้าบ้าน วางลงบนเสื่อน้ำมัน อาแหมะเอาหมอนวางรองใต้หัวอาแปะ
 เตี่ยเอาเซียงเพียวอิ๊วทาที่จมูก ขมับ และนวดเบาๆตรงหลังหู ปากก็พร่ำเรียก
" อาเฮีย อาเฮีย ได้ยินผมไหม อาเฮีย "
 แต่อาแปะยังคงเงียบ เตี่ยหันมาสั่งอาแหมะ และ อาหมวย
" อาคิ้ม อาหมวย มานวดแขนขาให้อาแปะ เตี่ยจะไปแต่งตัว เตรียมรถ "

 บ้านใกล้เรือนเคียง ต่างมามุงดู อยู่หน้าบ้าน อาแหมะส่งเสียงออกไป
" ใครมีแรง ยกหาบมาเก็บในบ้านอั๊ว
ให้ที "
 หลายคนช่วยกัน ดีว่าตู้ทองเหลืองไม่ได้รับความเสียหายเท่าไหร่ ข้าวของยังอยู่ครบ อาจเพราะน้ำหนักมาก เวลาอาแปะหาบ อยู่สูงจากพื้นแค่คืบกว่า ความเสียหายจึงน้อยนิด
 แต่ไม้คานคงนำกลับมาใช้ไม่ได้แล้ว
ใครคนหนึ่งส่งเสียงมาว่า
" เจ้ ไม้คานหักแล้ว ทิ้งเลยนะ "
อาแหมะรีบโบกมือส่งเสียงปราม
" ไม่ได้ ไม่ได้ เก็บเข้ามาก่อน เผื่ออาเฮียแกอยากจะเก็บไว้ "

 เตี่ยเปลี่ยนชุดเรียบร้อย เดินไปที่รถ ปรัปเบาะข้างคนขับให้เอนนอน แล้วเดินกลับมาอุ้มอาแปะไปนั่งในรถ
อาหมวยเห็นเตี่ยจับที่ข้อมืออาแปะ
หันมาบอกอาแหมะ
" ชีพจรยังดี เฮียจะพาไปโรงพยาบาลใกล้ๆ ดูแลข้าวของอาแปะดีดี แล้วปิดประตูบ้านซะ "
  พอเตี่ยก้าวขึ้นรถ อาแปะก็ส่งเสียง
" อาเฮีย อาเฮีย ไม่ต้องไปโรงหมอ อั๊วไม่เป็นไร "
เตี่ยเดินอ้อมมา นั่งลงข้างตัวรถ
" อาเฮีย ตอนนี้รู้สึกยังไง เจ็บที่หลังหูมากไหม ปวดหัวหรือเปล่า "
" อั๊วมึนๆหัว ลืมตาไม่ขึ้น "
" ไปให้หมอตรวจเสียหน่อย เรื่องของไม่ต้องห่วง ให้อาคิ้มอีจัดการนะ "

 เตี่ยพูดจบ ปิดประตูรถ เดินอ้อมไปนั่งตำแหน่งคนขับ
 รถของเตี่ยเคลื่อนตัวออกไป อาแหมะหันมาสั่งอาตั่วเฮีย
" อาตั่ว ลื้อขี่จักรยานไปที่โรงงานซอยโน้น บอกคนงานว่า อาแปะก๋วยเตี๋ยวแคะ ไม้คานหัก วันนี้ขายหน้าบ้านเรา แม่ค้าคนสวยจะเขย่าก๋วยเตี๋ยวขายแทน ไปรีบๆไป "
 อาหมวยกับอาตั่วเฮีย ยิ้มขำกับคำว่า
แม่ค้าคนสวย
" อาหมวย วันนี้ขายก๋วยเตี๋ยวกัน "
" อาแหมะทำเป็นเหรอ "
" ง่ายกว่าตัดเสื้อตั้งเยอะ แต่จำไม่ได้ว่าใส่ลูกชิ้นกี่ลูก "
" ถ้าใส่ทุกอย่าง ก็อย่างละลูกค่ะ 
อาหมวยกินบ่อย จำได้ค่ะ "
" ตกลงวันนี้ลื้อช่วยอาแหมะขายของล้างถ้วยด้วยนะ "
" ได้เลยค่ะ"

พอเที่ยงๆ ชาวโรงงานก็เดินเรียงแถวกันมา อาแหมะขายไปก็เล่าเหตุการณ์ไป ดูอาแหมะจะสนุกกับการขายก๋วยเตี๋ยว อาหมวยก็สนุกไปด้วย
  เพียงชั่วโมงกว่าๆ ตู้ก๋วยเตี๋ยวก็ว่างเปล่า อาแหมะกับอาหมวย ช่วยกันเก็บล้าง
 แล้วนั่งรอการกลับมาของเตี่ย

  บ่ายแก่ๆ เตี่ยก็พาอาแปะกลับมา
เมื่อจอดรถสนิท อาแปะก้าวลงมาได้เองพร้อมรอยยิ้ม
  สายตาอาแปะมองไปที่ตู้ทองเหลือง
แววตาสลดลงทันที พูดออกมาเบาๆเหมือนรำพึงกับตัวเอง
" ข้าวของ คงเสียหายหมด "
 อาแหมะส่งยิ้มมาจากโต๊ะกินข้าว
บอกกับอาแปะว่า
" อาเฮีย มากินข้าวต้มก่อน ไปหาหมอหลายชั่วโมง คงหิวแล้ว "
เตี่ยประคองอาแปะ นั่งลงที่เก้าอี้
ปล่อยให้อาแปะนั่งกินข้าว ส่วนเตี่ย
เปิดท้ายรถ จัดเรียงข้าวของของอาแปะใส่ท้ายรถและเบาะด้านหลัง
ส่วนไม้คานที่หักทั้งสองท่อน
 เตี่ยนำมาวางไว้บนโต๊ะกินข้าว

อาแปะกินข้าวกินน้ำเสร็จแล้ว
อาแหมะยกกระป๋องสตางค์มาวางตรงหน้าอาแปะ
" อาเฮีย เงินค่าก๋วยเตี๋ยว "
อาแปะทำตาโต คงจะทั้งดีใจ ทั้งสงสัย
อาแหมะจึงบอกว่า
" ตู้ก๋วยเตี๋ยวแค่หล่นลงพื้น บุบนิดๆหน่อยๆ น่าจะซ่อมแซมได้ ส่วนก๋วยเตี๋ยวอั๊วขายให้หมดแล้ว "
อาแปะกลืนน้ำลายลงคอ ยิ้มของอาแปะมาพร้อมน้ำใสๆที่ไหลเอ่อที่ดวงตา
" อาซ้อ อาซ้อ ขอบคุณ ขอบคุณมากๆ อั๊วขอบคุณ ขอบคุณ "
" ไม่ต้องขอบคุณอั๊ว ขอบคุณคนโรงงานซอยโน้นเถอะ พวกเค้ารู้ว่าอาเฮียเจ็บ ก็เดินมาอุดหนุน ทุกๆคนเป็นห่วงอาเฮียนะ "
อาแปะยิ้ม ก้มหน้าลงดึงคอเสื้อขึ้นมาซับน้ำตา

 เสียงสะอื้น รอยยิ้ม พยักหน้าซ้ำ
อากัปกิริยาที่อาแปะทำนั้น อาหมวย
แปลออกว่า แกตื้นตันใจ
 เตี่ยลงมานั่งข้างๆอาแปะ
" อาเฮียเป็นคนมีอัธยาศัยไมตรีที่ดี
ใครๆก็อยากอยู่ใกล้ ยามเดือดร้อนก็มีแต่คนอยากช่วยเหลือ ถึงได้มีคนเปรียบเอาไว้ว่า คนดีนั้น
 ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ "
  อาแปะพยักหน้าช้าๆ ใบหน้าเปื้อนยิ้ม
เตี่ยเอาไม้คานมาวางบนตัก พลิกดูไปมา เตี่ยชี้ที่อักษรจีน ที่แกะสลักในเนื้อไม้ อ่านออกเสียงเบาๆว่า " อดทน "
" คงใช้ไม่ได้แล้วครับ หักแบบนี้ ดามแล้วคงได้แค่เก็บเป็นที่ระลึก คงรับน้ำหนักอะไรไม่ได้ "
อาแปะยื่นมือรับไม้คานจากเตี่ย
" เก่ามากแล้วอันนี้ อยู่ด้วยกันมานาน "

 เตี่ยมองอาแปะแล้วถอนหายใจ
อาแปะเล่าว่า ระยะหลังสุขภาพไม่ค่อยดี ลูกๆโตแล้ว แต่ยังไม่เป็นโล้เป็นพายแกกลัวลูกๆจะลำบาก แกจึงเพิ่มจำนวนของในแต่ละวัน เพื่อรายได้ที่มากขึ้น จะเก็บหอมรอมริบเอาไว้ให้ลูก เพราะเกรงว่า วันข้างหน้าลูกๆจะลำบาก
เตี่ยฟังจบ ถอนหายใจเป็นครั้งที่สองก่อนจะเอ่ยว่า

" อาเฮีย ไม้คานอันนี้ เป็นไม้เนื้อแข็ง ยังหักลงได้ หากน้ำหนักที่ต้องแบกนั้นมากเกินไป ร่างกายคนเราเป็นเพียงก้อนเนื้อ มีเส้นเอ็นบางๆอยู่ภายใน
วันหนึ่งต้องทรุดโทรมตามกาลเวลา
การเป็นพ่อคน ก็เปรียบเสมือนหาบคอนลูกไว้บ่นบ่า แต่เมื่อพิจารณาว่าลูกโตพอที่จะเดินเองได้ เราก็ได้แต่เฝ้ามอง ชี้ทางที่ถูกที่ีควรให้เค้า ส่วนเค้าจะแข็งแรง ก้าวเดินได้อย่างมั่นคง เค้าจะต้องมีประสบการณ์จากการเรียนรู้
ผมว่า อาเฮียควรเอาไม้คานอันนี้
เก็บไว้แบบนี้ เอาไว้สอนลูกว่า
วันหนึ่งข้างหน้า พ่อแม่ที่เคยแข็งแรง
จะต้องป่วยไข้ หมดประโยชน์ และหักโค่นลง จะได้เป็นเครื่องเตือนใจพวกเค้า ให้เก็บเกี่ยวในสิ่งดีดีที่พ่อแม่สอน
ไปดำเนินชีวิต ด้วยความอดทน ก่อความเข้มแข็ง รู้หน้าที่ตน วันที่หมดพ่อแม่จะได้ไม่ลำบาก "
 อาแปะนิ่งฟัง แล้วพยักหน้า เห็นด้วย

  เย็นวันนั้น เตี่ยขับรถไปส่งอาแปะที่บ้าน เมื่อกลับมาถึง เตี่ยเล่าว่า
ลูกๆอาแปะโตมากแล้ว ย่างเข้าวัยรุ่น
แต่ดูท่าทีไม่ค่อยสนใจห่วงใยผู้เป็นพ่อ
อาแหมะฟังแล้วส่ายหน้า ส่วนอาหมวย
เองก็รู้สึกเห็นใจอาแปะ

" คนเป็นพ่อที่ดี ก็เหมือนแบกลูกไว้บนบ่า เป็นพ่อนั้นไม่ยาก แต่เป็นพ่อที่ดีนั้นลำบากเหลือทน ต้องใส่ใจทั้งเรื่องปากท้อง ความเป็นอยู่  อบรมสั่งสอนวางอนาคตที่ดีของลูก และต้องถามตัวเองเสมอว่า
เหนื่อยคือแค่ไหน
แค่ไหนเรียกว่า... เหนื่อย "

 อาหมวย รู้เต็มอกตั้งแต่เล็กจนปัจจุบันว่า เตี่ยนั้น เหนื่อยหนักหนา เหนื่อยจนกลายเป็นความเคยชิน
  สองบ่าของเตี่ย แบกชีวิตลูกๆเอาไว้
เฉกเช่นเดียวกับพ่อที่ดีทุกคน ที่ทุ่มเทชีวิตเพื่อลูก

เขียนมาถึงตรงนี้ คิดถึง
" พ่อ "
ท่านหนึ่ง ที่เหนื่อยเพื่อลูกตลอดทั้งชีวิต
" พ่อ "
ที่แบกลูกหลายสิบล้านชีวิต
ไว้บนบ่า
" พ่อ "
ที่ดีที่สุดในโลก
" พ่อ "
ที่เป็น King of King

บทความนี้
แด่.... พ่อที่ดีทุกคนบนแผ่นดินสยาม

                     ด้วยความปรารถนาดี
          เพจ รอยทางของเตี่ย

วันพุธที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2562

เก็บมาฝากจากไลน์


1. หมู เป็นสัตว์ที่กินไม่พิจารณา ตะกละกินไม่เลือก กินแล้วนอนได้ตลอด อิ่มแล้วใจ ยังหิว ยังอยากกินอยู่ เปรียบได้กับ ความโลภ คือ โลภะ

2. งู เป็นอสรพิษร้าย มีพิษขบกัดศตรู เป็นตัว
พยาบาท เปรียบได้กับ ความโกรธ คือ โทสะ

3. ไก่ เป็นสัตว์ที่หลงตัวว่าสวยงาม มักชอบอวดความงามของตัว สำคัญตัวเองดีไปทุกอย่าง และมักชอบคุยเขี่ย เปรียบเหมือนกับการสร้าง ความปรุงแต่งอารมณ์ให้เกิดขึ้นอยู่เสมอ เปรียบได้กับความหลง คือ โมหะ
สัตว์ทั้ง 3 กัดกันเป็นวงกลม เปรียบได้กับตัวจิตที่เกิดดับอยู่ในวง ปฎิจจสมุปบาท คือ สันตติติดต่อสืบเนื่องทำให้เกิดกรรมและไปรับผลเป็นวิบากได้รับสุขทุกข์จากความโลภ โกรธ หลง

พุทธะ (วิชชาคือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน) เท่านั้นจะทำลายให้กิเลส(โลภ โกรธ หลง)ดับไปได้ และจึงออกจากวงกลมได้ พุทธะจึงชี้ทางองค์มรรค 8 อริยสัจ 4 ให้ออกไปจากวงปฎิจจสมุปบาท (นิพาน)
สมุทัย เหตุแห่งทุกข์ = กิเลส ตัณหา = โลภ โกรธ หลง
........
Cr.Fwd.line