วันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

สิบเอ็ดเหรียญ..ในซองจดหมายลาออก


(ภาพจากอินเตอร์เนต)

♡♡♡  辭職信裏的十一塊錢 。>   เงินสิบเอ็ดเหรียญในซองจดหมายลาออก  ♡♡♡

《  ลังเลไม่ได้อีกต่อไปแล้ว  จำเป็นต้องไปแล้ว  》

เขาจบสาขาการเงินการบัญชี แต่เมื่อเข้ามาในบริษัทฯแห่งนี้ กลับจับพลัดจับผลูไปเป็นเลขาฯ ของผู้อำนวยการ  เลขาฯ ผู้อำนวยการฟังแล้วดูดี แท้จริงแล้ว งานที่ทำก็คือกวาดพื้น รินน้ำ เช็ดโต๊ะ เวลาที่ยุ่งๆ เขาแทบจะกลายเป็นปลาสเตอร์รักษาสารพัดโรค ที่ไหนก็แปะ

พนักงานบริษัทฯประชุม เขาคือพนักงานทั่วไป ผู้บริหารระดับสูงประชุม เขาคือพนักงานบริการ อีกทั้งบางครั้งยังต้องไปช่วยงานในฝ่ายผลิต บรรจุสินค้าจนเหงื่อไหลไคลย้อย ทุกคนล้วนดูถูกแม้แต่ตัวเขาเองยังดูถูกตัวเอง อยู่ที่นี่เขารู้สึกว่าสุดแสนจะทุเรศ ไม่มีค่าใดๆ กับการที่มีตัวตนอยู่

มีวันหนึ่ง เจ้านายไปต่างประเทศ ต้องอีกสักระยะเวลาหนึ่งจึงจะกลับมา ดังนั้น เขาจึงทำการเขียนจดหมายลาออก มอบให้กับเลขาฯอีกคนหนึ่ง ให้เขามอบต่อให้กับเจ้านาย จากนั้น จัดเก็บของแล้วจากไป

ลาออกแล้ว เริ่มต้นหางานใหม่ ไม่ง่ายเลยแม้แต่นิดเดียว เขาไปสมัครงานกับบริษัทฯ หลายบริษัทฯ ล้วนประสบแต่ความล้มเหลว จนในที่สุดจึงหางานได้ตรงตามที่ตนเองได้ร่ำเรียนมาด้วยความยากลำบาก

ไม่คาดคิด ทำงานในบริษัทฯแห่งใหม่ได้ไม่นาน เขากลับได้รับโทรศัพท์จากเจ้านายบริษัทฯเก่ากะทันหัน เจ้านายต้องการให้เขากลับไป

กลับไป...เขายิ้มอย่างขมขื่น เป็นไปได้อย่างไร กลับไปเพื่อไปทำงานที่ต้องปรนนิบัติผู้คน เขาไม่ยอมกลับไป ดังนั้น เวลาที่เลขาฯของเจ้านายมารับเขา เขาตอบปฏิเสธอย่างนุ่มนวล ไม่คาดคิดว่าหลังจากนั้น เจ้านายกลับขับรถมารับเขาด้วยตนเอง เขายืนตะลึง เจ้านายพูดว่า " เธอกลับมา
ผมจัดสรรงานให้ที่เธอคาดคิดไม่ถึง อีกทั้งเป็นงานที่เธอใฝ่ฝันไว้ "

เขาได้เป็นหัวหน้าฝ่ายการเงินของบริษัทฯ ผู้บริหารระดับสูงที่แท้จริง เป็นแขนซ้าย~ขวาของเจ้านาย หลังจากที่เขากลับมาก้าวเดียวทะยานสู่ฟ้า ผู้คนในบริษัทฯฮือฮาไม่น้อย ความคาดเดาต่างๆ นานาล้วนมี เพราะว่า ยังไม่เคยมีพนักงานธรรมดาๆ คนหนึ่งซึ่งลาออกไป กลับได้รับเกียรติอันสูงสุดเชิญกลับมา

สิ่งที่ยิ่งทำให้ผู้คนคาดคิดไม่ถึงก็คือ เขากลับมาไม่ใช่เลขาฯ ที่เล็กจิ้บจ้อยอีกแล้ว เจ้านายแหกกฎแต่งตั้งเขาเป็นผู้บริหารระดับสูง ทั้งยังให้เขาควบคุมการเงิน ซึ่งเป็นเส้นชีวิตของบริษัทฯโดยตรง นี่ต้องเป็นสายสัมพันธ์ที่ยิ่งใหญ่ปานใด

ไม่มีใครเข้าใจสาเหตุที่แท้จริง รวมทั้งตัวเขาเอง เขาคิดที่จะถามเจ้านาย แต่ก็อดกลั้นไว้ คิดว่าเจ้านายย่อมต้องมีเหตุผลของท่านเอง

จวบจนกระทั่งหลายปีต่อมา ครั้งหนึ่งไปปฏิบัติภารกิจต่างพื้นที่ ภายในโรงแรมที่พัก เขาร่วมจิบน้ำชากับเจ้านาย เจ้านายอารมณ์ดีขึ้นมา ถามเขากะทันหันว่า " เธออยากรู้หรือไม่ว่า ปีนั้นสาเหตุที่ผมพยายามทุ่มเทสุดแรง เพื่อตามเธอกลับมาหรือไม่ ?"

เขาตอบว่า " ผมคิดอยู่ตลอดเวลา แต่ผมคิดไม่ออกจริงๆ "
" แท้จริงแล้ว เรียบง่ายมาก เป็นเพราะจดหมายลาออกของเธอ " เจ้านายพูด " ภายในซองยังแนบเงินอยู่สิบเอ็ดเหรียญ "

เขาคิดขึ้นมาได้ทันที จริงซิ ก่อนที่เขาจะลาออก ด้วยความเคยชิน เขาได้ทำการคิดบัญชีจากที่เขาไปเบิกเงินมาจากฝ่ายการเงินก่อนหน้า แล้วนำมาหักจากการไปซื้อดอกไม้ทุกวัน หักกลบลบหนี้แล้ว เขายังคงค้างบริษัทฯ อยู่สิบเอ็ดเหรียญ ดังนั้น เขาจึงนำเงินสิบเอ็ดเหรียญนั้น แนบไว้ในซองจดหมายลาออก

เจ้านายพูดว่า " ที่จริงเงินสิบเอ็ดเหรียญมันเรื่องเล็กน้อย แต่ว่า คนผู้หนึ่งที่เตรียมตัวจะจากไป กลับไม่ได้มองข้ามเงินเล็กน้อยก้อนนี้ ซึ่งเป็นเงินของบริษัทฯ ความซื่อสัตย์สุจริตเช่นนี้ ใช่ว่าคนทั่วๆ ไปล้วนมี เธอคิดดู ควบคุมการเงินของบริษัทฯ ยังมีสิ่งที่สำคัญกว่านี้หรือ ?"

做人要老实,對人要誠懇,若然假裝做人,
口不對心,口是心非,就連僅有之福德也給漏盡。

เป็นคนต้องซื่อสัตย์ ต่อผู้อื่นต้องจริงใจ ถ้าหากแกล้งปลอมเป็นคน ปากไม่ตรงกับใจ ปากอย่างใจอย่าง แม้กระทั่งโชคลาภวาสนา อานิสงส์ต่างๆ ที่มีอยู่ล้วนจะรั่วไหลจนหมดสิ้น


Cr : Niwat Rungvicha
@@@@
จาก fwd line

วันอาทิตย์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

เก็บมาฝาก.. (มีคลิป)


เก็บมาฝาก..จากรายการเจาะใจ





Cr. Fwd Line



วิถีปัจจุบัน...

 
  

@เมื่อเลิกตัดสินโลก เลิกตัดสินตัวเองได้ ก็จะพบกับโลกใหม่ ชีวิตใหม่ นี่คือหนึ่งตัวอย่าง ที่ฝึกได้ด้วย ไดอะล็อค...
» `วิถีปัจจุบัน´ ของ...ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล

บุคลิกภาพอย่างผมมันเข้ากันไม่ได้กับเศรษฐกิจฟองสบู่... มันเข้าไม่ได้กับระบบที่แข่งขันเอารัดเอาเปรียบ เพราะเราเชื่อเรื่องความสมถะสำรวม เชื่อเรื่องแบ่งปันช่วยเหลือเกื้อกูลกัน

เพราะฉะนั้น...จึงเกิดสภาพที่เรารู้สึกถูกกดดันและถูกตามล่าตามล้าง รู้สึกแปลกแยก โดดเดี่ยว คิดอะไรไม่เหมือนเพื่อนพ้องคนรอบข้าง ไม่ว่าเราจะอยู่ตรงไหนเหมือนกับว่าเราไม่เคยพบกับการต้อนรับที่ดี เราเข้ากับเขาไม่ได้

สิ่งเหล่านี้...นำพาผมมาถึงจุดที่รู้สึกเหนื่อยล้าหมดแรงอย่างยิ่ง

กระทั่งนำไปสู่ชีวิตส่วนตัวที่ล้มเหลว

:::::::::::::::

หลัง ๒๕๔๐ ไม่นาน...ผมกับภรรยาได้แยกทางเดินกัน แม้เราจะไม่ได้โกรธเกลียดกันและเพียงเปลี่ยนความสัมพันธ์จากคู่ครองมาเป็นเพื่อน แต่มันก็สั่นคลอนความรู้สึกนึกคิดของผมอย่างถึงราก

ตอนนั้นผมเริ่มเข้าสู่วัย ๕๐ กว่าแล้ว...ผมต้องถามตัวเอง ว่าจะยืนต้านกระแสหลักในสังคมแบบที่ผ่านมา แล้วสะสมความเจ็บปวดขมขื่นต่อไป หรือ ควรเปลี่ยนมุมมองและพฤติกรรมเสียใหม่เพื่อให้มีชีวิตอยู่ได้

มีหนทางไหนบ้างที่เราไม่ต้องทุกข์ทรมานขนาดนี้...ขณะเดียวกันก็ไม่ต้องยอมเป็นส่วนหนึ่งของโลกที่เราไม่เห็นด้วย

ในช่วงนี้...ผมได้ลงลึกสำรวจวิจารณ์ตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย และในที่สุดก็ค้นพบว่ามีอะไรบางอย่าง ไม่ถูกในวิธีคิดของผมเอง

:::::::::::::::

ประการที่หนึ่ง :

ที่ผ่านมาผมยึดถือในการต่อสู้และมองโลกเป็นความขัดแย้งมากเกินไป ที่ทางธรรมะเขาเรียกว่า ทวินิยม (Dualism) เห็นว่าทุกอย่างดำรงอยู่เป็นคู่ มีดีมีชั่ว มีขาว มีดำ แล้วก็ไปยืนเลือกข้างใดข้างหนึ่งอยู่ตลอดเวลา ต่อสู้กันมากก็เหนื่อยมาก ตัวผมเองทั้งถูกทำร้ายและทำร้ายผู้อื่นมาอย่างต่อเนื่อง

ประการที่สอง :

ผมเริ่มมองเห็นว่าอะไรหลายๆ อย่างที่ผมยึดถือ เป็นเรื่องที่ผมคิดไปเอง เป็นอัตวิสัย ที่โลกเขายังไม่พร้อมจะเห็นด้วย เราพยายามเอาตัวเองไปบังคับโลก เมื่อไม่ได้ ดังใจก็ผิดหวังเศร้าโศก แล้วยังโดนเขาตอบโต้มาแรงๆ

เพราะฉะนั้น `เหตุแห่งทุกข์´ จึงอยู่ในอัตตาของเราเอง ไม่ว่าจะเรียกมันว่าอุดมคติหรืออุดมการณ์อะไรก็ตาม การวิจารณ์ตัวเองใน ลักษณะนี้ได้พาผมย้ายความคิดจากทางโลกมาสู่ทางธรรมมากขึ้นแบบรู้ตัวบ้างไม่รู้ตัวบ้าง

:::::::::::::::

แต่นั่นยังไม่มีผลเปลี่ยนแปลงเท่ากับประสบการณ์ทางจิตวิญญาณที่เกิดขึ้นระยะนั้น

ประสบการณ์ดังกล่าวมีพลังมากกว่าเหตุผลและความคิดใดๆ พูดให้ชัดขึ้นก็คือ ความเจ็บปวด กับชีวิตมากทำให้ใช้วิธีตัดตัวเองออกจากอดีตและอนาคต ทำให้ผมอยู่กับปัจจุบันขณะ

ซึ่งถ้าพูดในภาษาธรรมเวลานี้ผมรู้แล้วว่ามันคือ...สมาธิ แต่ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าคืออะไร รู้แต่ว่าสบายใจ โปร่งโล่งไปหมด อยู่กับปัจจุบันขณะ

มันทำให้เราปลดแอกตัวเราออกจากภาระทางจิต ที่เราแบกมาตลอดว่าเราเป็นใคร มาจากไหน เคยผ่านอะไรมาบ้าง ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เราปลดออกหมด เรียกว่าปลดแอกจากอัตตา

:::::::::::::::

ในตอนแรก...ผมทำสิ่งนี้ไปเพื่อหาทางดับทุกข์ด้วยตัวเอง โดยไม่มีทฤษฎีอะไรชี้นำ แต่ว่าทำแล้วรู้สึกว่ามันช่วยให้อยู่รอดในช่วงที่เราอาจจะอยู่ไม่รอด...ก็เลยยึดไว้เป็นแนวทาง

พอไม่คิดว่าตัวเองเป็นใคร ความรู้สึกทุกข์ร้อนมันหายไปมาก

ข้อแรก...ไม่เดือดร้อนว่าคนอื่นจะมองเราอย่างไร
ข้อสอง...ไม่มีความเห็นว่าโลกและชีวิตควรจะเป็นอย่างไร

เราไม่มีข้อเรียกร้องทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น เช่นเดียวกับการที่เราไม่เอาอดีตมากลุ้มและเอาอนาคตมากังวล

มันทำให้เราไม่มีสิ่งที่ผิดหวัง ไม่มีสิ่งที่เสียใจ ผมทำอย่างนี้อยู่พักใหญ่ ทีแรกก็เหมือนกับหลอกตัวเองด้วยการปิดกั้นความทุกข์โศกไม่ให้มันเข้ามาในห้วงนึก

แต่พอทำไปมากขึ้น ปรากฏว่ามันเกิดการเปลี่ยนแปลงทางจิตขึ้นมาโดยไม่ได้คาดฝัน คือตื่นขึ้นมาวันหนึ่งผมรู้สึกมีความสุขอย่างไม่มีเหตุมีผล

ผมรู้สึกได้ว่าความสุขมันมาจากข้างใน มันอยู่ในตัวผม เป็นความปลื้มปีติอะไรบางอย่างที่ไม่เกี่ยวกับโลกภายนอกเลย เรื่องราวทุกข์โศกที่เคยมีมาดูเหมือนจะหายไปหมด

:::::::::::::::

จากนั้นความรู้สึกที่ผมมีต่อโลกรอบๆ ตัวก็เปลี่ยนไปด้วย ผมเริ่มไปนับญาติกับต้นไม้ จิ้งจก นก หนู กระรอก ผมพูด กับพวกเขาเหมือนเป็นคนด้วยกัน ทำร้ายเขาแบบเดิมๆ ไม่ได้

กระทั่งมดผมก็ไม่ฆ่า จิ้งจกตกไป ในโถส้วมก็คอยช่วย มดมาขึ้นชามอาหารที่ผมให้หมา ผมต้องเคาะออก ไม่เอาน้ำราดลงไป ทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ

มันรู้สึกขึ้นมาเองว่าไม่อยากทำร้ายชีวิตใดๆ ผมแปลกใจมาก เพราะว่าเดิมเป็นคนที่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมาเยอะ เป็นคนที่ทำบาปมาเยอะมาก วันดีคืนดีพบตัวเอง มีจิตใจแบบนี้ มันอธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่าเป็นไปได้อย่างไร

:::::::::::::::

แล้วที่สำคัญก็คือในความเบิกบานจากข้างในนี้ ผมเลิกรู้สึกพ่ายแพ้ขมขื่นกับชีวิตโดยสิ้นเชิง ผมไม่รู้สึกว่าตัวเองมีอะไรน่าสงสาร ไม่ทุกข์ร้อนที่เคยแพ้สงครามปฏิวัติ หรือมีปัญหาส่วนตัวอะไรทั้งสิ้น

เป็นครั้งแรก...ที่ผมมองอดีตของตัวเองได้ทุกเรื่องด้วยความรู้สึกนิ่งเฉย

สิ่งเหล่านี้มันทำให้ผมค้นพบว่า...ชีวิตทุกข์สุขขึ้นอยู่กับมุมมองมากทีเดียว และบ่อยครั้ง เรามักเอาความคิดสารพัดไปปรุงแต่งมันจนรกรุงรังไปหมด กระทั่งหาแก่นแท้ไม่เจอ

บางคนยึดติดเงื่อนไขภายนอก โดยเฉพาะเงื่อนไขทางวัตถุและการชื่นชมของสังคม ก็หลับหูหลับตาหาแต่วัตถุและการยอมรับของคนอื่น

บางคนอย่างผมไม่ยึดถือวัตถุมากเท่ากับยึดติดในอุดมคติต่างๆ ก็ทำให้เกิดอารมณ์ทางลบสูงมาก เราจะต้านทุกอย่าง ที่ไม่เป็นไปตามคิด ผูกตัวเองไว้กับตัวความคิด แล้วหลงความคิด จิตใจก็มีแต่ว้าวุ่น ฟุ้งซ่าน ทะเลาะเบาะแว้ง ทุกข์ร้อนอยู่ตลอดเวลา

:::::::::::::::

ท้ายที่สุดแล้ว...ผมคิดว่าชีวิตที่จะให้ความสงบแก่คุณได้ คือชีวิตที่ไม่มีจุดหมายกดทับ ไม่มีอุดมคติเป็นเครื่องร้อยรัด แต่เป็นชีวิตที่มีมรรควิถี

ผมเคยเขียนว่า...แต่ละก้าวที่คุณก้าวไป มันสำคัญกว่าจุดหมาย คุณเป็นหนึ่งเดียวกับ ก้าวนั้นหรือเปล่า ถ้าคุณเป็นหนึ่งเดียวกับก้าวนั้นวันนี้คุณพบตัวเองแล้ว แต่ละนาทีที่ผ่านไป ก็ครบถ้วนแล้ว

แต่ถ้าคุณขัดแย้งกับปัจจุบันขณะของคุณอยู่ตลอดเวลา ตัวทำอย่างหนึ่ง ใจอยากทำอีกอย่างหนึ่ง คุณจะมีแต่ความทุกข์ ...นั่นคือชีวิตของคนในโลกปัจจุบัน?
@@@@
Cr.Fwd  Line

ชราอย่างมีสุข...

     

     สักกี่คนที่อายุ 78 ปีแล้วจะสดชื่น เบิกบานทั้งกายใจ อย่างที่ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ดำเนินชีวิตอยู่ในเวลานี้ นอกจากชีวิตนี้จะไม่เคยมีคำว่า “เกษียณ” อุทิศตัวทำงานอาทิตย์ละ 7 วันแล้ว ในวันนี้ของ ดร.สุเมธ ยังคงแอ็กทีฟ กระฉับกระเฉง แถมยังเดินป่าไหว จนหลายๆ คนอดถามไม่ได้ถึงเคล็ดลับการใช้ชีวิต  และนี่คือ 9 เคล็ดลับดีๆ ของการ “แก่อย่างมีคุณภาพ ชราอย่างมีสุข” จาก ดร.สุเมธ

1.อย่าลืมเอาจิตไปพักผ่อนบ้าง
หลายคนเมื่อเกษียณแล้ว มักใช้เวลาหาแต่ความสุขทาง “กาย” พากายไปเที่ยว ไปพักผ่อน ไปสูดอากาศ ไปกินอาหารดีๆ แต่กลับละเลยไม่คิดที่จะเอาจิตไปพักผ่อน ทั้งที่กายกับจิตนั้นสัมพันธ์และมีอิทธิพลต่อกัน  ดร.สุเมธ บอกว่า โดยส่วนตัวทุกครั้งที่มีจังหวะได้พักผ่อนเว้นวรรคชีวิตนานๆ จึงมักถือโอกาสเอาจิตไปพักด้วยการบวช ครั้งล่าสุด บวชตอนอายุ 65 เป็นพระสายวัดป่าอยู่ที่สกลนคร

2.ใช้ชีวิต อย่างมี “สติ”
  ไม่ว่าจะเป็นการมีสติในการกิน แทนที่จะกินตามใจปาก สนองความอยากของตัวเอง แล้วต้องให้หมอจ่ายยาลดไขมัน ลดน้ำตาล ทำไมเราไม่ลองหันมาลดที่ “ปาก” ของตัวเอง ด้วยการใช้สติในการพิจารณาอย่างมีเหตุมีผลทุกครั้งในการกิน

3.น้อมนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำเนินชีวิต โดยมี “เหตุผล” เป็นเครื่องนำทาง
  เหตุผลเป็นผลผลิตของปัญญา ดังนั้น จึงต้องรักษาศีลเสียก่อน และมีสติ สมาธิ ผลสุดท้ายจะทำให้เกิดการพิจารณาโดยใช้ปัญญาเป็นที่ตั้ง เมื่อดำเนินทุกอย่างด้วยเหตุด้วยผล ก็จะเกิดความพอเพียง

4.ฝึกการให้โดยไม่หวังผลตอบแทน ด้วยหลัก “ทาน” ของทศพิธราชธรรม
  เกษียณแล้ว อย่าเอาแต่อยู่บ้านเฉยๆ แต่ให้พยายามหาเรื่องช่วยคนโน้นคนนี้ เท่าที่ร่างกายของเราจะทำได้ รักษาร่างกายให้แข็งแรง เพื่อทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น

5.ฝึกระลึกถึง “มรณานุสติ”
  ใครๆ ก็ตายได้ ไม่ว่าใครก็ต้องเจอความตายเท่าเทียมกันหมดทุกคน เมื่อมองเห็นความตายเป็นเรื่องธรรมดา จะทำให้เรานิ่งกับความตาย

6.อยู่อย่างสง่า ตายอย่างสงบ
 ตอนมีชีวิตอยู่ต้องมีความสง่างามในตัวเอง ทุกอย่างต้องช่วยเหลือตัวเองได้ ใครเห็นก็ให้ความเคารพนับถือ และเมื่อถึงเวลาตายก็ตายอย่างสงบ อย่าไปกลัวความตาย  จะยิ่งใหญ่แค่ไหน เมื่อตายแล้วเกียรติยศเงินทองสะสมไว้แค่ไหนก็ต้องส่งคืนหมด สิ่งเดียวที่เหลือไว้ คือ ความเป็นตัวตนของเรา ถ้าประกอบคุณงามความดีไว้คนก็ยังนึกถึง แต่ถ้าประกอบความชั่วไว้มาก คนก็ยังด่าทอไปจนถึงลูกหลาน

7.ร่าเริง รื่นเริง คึกคัก ครึกครื้น
คาถาที่ว่านี้  ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงรับสั่งเสมอ เพราะจิตเป็นเรื่องสำคัญ ต้องมีอารมณ์ขันอยู่ตลอดเวลา มองเห็นทุกอย่างเป็นเรื่องสนุก จึงจะสามารถทำงานได้สำเร็จรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เมื่อตัวเราร่าเริง ยิ้มแย้มแจ่มใส บรรยากาศรอบตัว คนรอบข้างที่อยู่กับเราก็รื่นเริงไปด้วย

8.อักโกธะ หรือ ความไม่โกรธ
 เป็นอีกหลักข้อหนึ่งในทศพิธราชธรรม เพราะเมื่อโกรธแล้ว มักจะเสียหายหากคุมอารมณ์ไม่อยู่ในเรื่องไร้สาระ  เมื่อไหร่ก็ตามที่มีเรื่องมากระทบใจ แค่ลองพลิกอารมณ์มองให้เห็นเป็นเรื่องสนุกๆ เท่านี้ทุกอย่างก็จบ

9.อวิโรธนะ คือ การดำรงอยู่ในความถูกต้องเสมอ
 เป็นหลักทศพิธราชธรรมที่ต้องรักษาให้มั่น หากอย่างปฏิบัติตามในหลวงรัชกาลที่ 9 โดยยึดหลักธรรมะที่ต้องมีทั้งสองอย่าง คือ ทั้งความดีและความถูกต้อง เพราะบางอย่างดีแต่ไม่ถูกต้อง บางอย่างถูกต้องแต่ไม่ดี การกระทำของเราต้องตรวจสอบอยู่ตลอดเวลา เป็นธรรมหรือเปล่า นั่นคือ ดีและถูกต้องหรือเปล่า

10.รักษากายและจิต
 ผู้สูงอายุต้องรักษากายให้ดี เพราะเงินทองไม่มีประโยชน์ เอาแค่พอเพียงต่อชีวิตความเป็นอยู่ ที่เหลือเป็นส่วนเกินที่เราไม่ได้ใช้ เรื่องจิตก็สำคัญเช่นกัน ต้องโปร่งใส อย่าไปขุ่นมัวโดยที่ไร้ประโยชน์  คำนึงไว้ว่า เวลาอยู่ในโลกนี้สั้นแล้ว ดังนั้น อย่าเสียเวลาเป็นทุกข์ แต่ให้ Enjoy last minute

11.อย่าหยุดทำงาน
  เกษียณแล้ว อย่าเอาแต่นั่งๆ นอนๆ เพราะเมื่อไหร่ที่เราหยุดทำงาน ร่างกายของเราก็จะหยุดตามลงไปด้วย เหมือนรถที่จอดเฉยๆ สตาร์ตไม่ติด  ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงมีรับสั่งว่า อย่าหยุดด้วยจิต และกายก็อย่าหยุดด้วย ทำให้ ดร.สุเมธ ยังคงทำงานทุกวัน ส่งผลให้แข็งแรงจนถึงวันนี้

12.ใช้ชีวิตโดยรักษาความเป็นธรรมดาเอาไว้
  อย่ายึดติดยศถาบรรดาศักดิ์ แต่ให้ทำชีวิตอยู่อย่างธรรมดา เรียบๆ ง่ายๆ เพราะจะยิ่งใหญ่มาจากไหน เกษียณแล้ว ทุกอย่างสูงสุดคืนสู่สามัญ  ไม่ต้องเป็นวีไอพีหรอก  เพราะจะเป็นวีไอผีอยู่แล้ว

13.ยึดถือคำว่า “ประโยชน์สุข” เป็นเป้าหมายของชีวิต
  อะไรไม่มีประโยชน์อย่าทำ อย่าคิดทำ ให้ทำแต่สิ่งที่มีประโยชน์ ผลสุดท้ายสิ่งที่เราจะได้รับคือความสุข


  แง่คิดดีๆ จาก ดร.สุเมธ ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า คุณค่าและความสุขในชีวิต ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเลขอายุ แต่อยู่ที่ไลฟ์สไตล์และหัวใจที่ไม่มีคำว่าเกษียณ
... ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “สูงวัยอย่างมีคุณค่า น้อมพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียง” ในงานประชุมวิชาการประจำปีที่ประชุมผู้บริหารองค์กรของรัฐที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติเฉพาะ (ทอพ.) “ประชารัฐร่วมใจ สู่สังคมสูงวัยอย่างมีคุณภาพ”


Cr:สสส

@@@@@@@@@@@@@@@@@@
Cr. จาก Fwd Line

วันศุกร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ความเมตตา




  (ก่อนตะวันลับฟ้า)

ผู้ทรงศีลนั่งสมาธิข้างริมน้ำ ได้ยินเสียงดิ้นรนในน้ำ
ก็ลืมตาขึ้น เห็นแมงป่องตกอยู่ในน้ำ

ท่านก็ใช้มือช้อนมันขึ้นมาขณะเดียวกันแมงป่องก็ชูหางขึ้นแล้วต่อยไปที่มือท่าน ท่านปล่อยแมงป่องลงที่ฝั่ง แล้วหลับตาทำสมาธิต่อ
ผ่านไปสักครู่ก็ได้ยินเสียงดิ้นรนในน้ำอีก ท่านลืมตาขึ้น เห็นแมงป่องตกลงไปในน้ำอีก ก็เอามือช้อนมันขึ้นมาอีก
แน่นอนแมงป่องก็ต่อยไปที่มือท่านอีก ท่านก็หลับตาทำสมาธิต่อ

ผ่านไปสักครู่เหตุการณ์ก็ได้เกิดขึ้นซ้ำอีก

ชาวประมงที่อยู่ข้างๆก็พูดขึ้น"ท่านทำไมช่างโง่จัง ไม่รู้หรือว่าแมงป่องมันต่อยคน?"

ผู้ทรงศีลตอบว่า"รู้ โดนมันต่อยสามครั้งแล้ว" ชาวประมงพูดว่า
"แล้วท่านทำไมยังจะช่วยมันอีก"

ผู้ทรงศีล:"การต่อยคนเป็นสัญชาตญาณของมัน
แต่ความเมตตาเป็นสัญชาตญาณของเรา
สัญชาตญาณของมันไม่สามารถมาเปลี่ยนสัญชาตญาณของเรา"

ขณะนั้นเองก็ได้ยินเสียงดิ้นรนในน้ำอีก แมงป่องตัวเดิมนั่นแหละ

ท่านไม่รีรอเตรียมที่จะนำมือที่บวมยื่นไปช่วยมัน

ขณะเดียวกันชาวประมงก็ยื่นกิ่งไม้ให้กับผู้ทรงศีล ท่านก็นำกิ่งไม้ช้อนแมงป่องขึ้นมา

ชาวประมงยิ้มและพูดว่า
"ความเมตตานั้นดี ในเมื่อมีความเมตตาต่อแมงป่องก็ต้องมีความเมตตาต่อตัวเองด้วย ฉะนั้นความเมตตาต้องมีวิธีการของความเมตตา"

ต้องดูแลตัวเองให้ดี ถึงจะมีสิทธิไปช่วยผู้อื่น

นิทานเรื่องนี้ผมชอบมาก
ทำให้ได้คิดถึงประโยคหนึ่งที่ผู้คนชอบพูดกัน
"เดี๋ยวนี้จะทำตัวเป็นคนดีนั้นยาก"

ใช่แล้ว สัญชาตญาณของคนดีคือทำความดี

แต่ผู้ถูกช่วยอาจจะไม่ใช่คนดี และผลของการช่วยคนก็อาจจะไม่เกิดผลที่ดี

แล้วทำไมจึงเป็นเช่นนี้?

เหมือนกับชาวประมงพูดไว้"เมตตาต้องมีวิธีการของความเมตตา"

"ความเมตตานั้นดี ในเมื่อจะเมตตาต่อแมงป่องก็ต้องเมตตาต่อตัวเองด้วย"

ในความเป็นจริงกำลังเตือนเรา

ต้องรู้จักรับผิดชอบต่อตัวเองก่อน ถึงจะสามารถรับผิดชอบต่อผู้อื่นได้อย่างแท้จริง

คนที่ไม่สามารถรับผิดชอบต่อตัวเอง แล้วจะไปรับผิดชอบต่อผู้อื่นได้ จะเป็นไปได้ไหม?

ดูแลตัวเองให้ดี ถึงจะมีสิทธิ์ไปดูแลผู้อื่น

และประโยคนี้ก็ชอบมาก
"สัญชาตญาณของแมงป่องนั้นต่อยคน แต่สัญชาตญาณของเราคือความเมตตา สัญชาตญาณของมันจะไม่สามรถมาเปลี่ยนสัญชาตญาณของเรา"

"ความเมตตานั้นดี ในเมื่อจะเมตตาต่อแมงป่องก็ต้องเมตตาต่อตัวเองด้วย และต้องมีวิธีการของความเมตตาด้วย"

จะไม่ให้ความเลวของผู้อื่นมามีอิทธิพลกับความดีของเรา
จะไม่ยอมให้การกระทำและวาจาของผู้อื่นมามีผลต่อจิตใจและการกระทำของเรา

ผู้ที่มีปัญญาสามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได.้
ผู้เขลาปัญญาอารมณ์ของตนจะขึ้นอยู่กับพฤติกรรมและวาจาของผู้อื่น

จงอย่าทอดที้งความดีของเราเพราะความเลวของผู้อื่น
@@@@@@@
CR.ขอบคุณข้อมูล จาก Fwd Line

วันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

สิ่งที่ควร

สิ่งที่ควร
-------

สิ่งที่ควรให้ความสำคัญที่สุด คือ หน้าที่
สิ่งที่ควรมีให้มากไว้ คือ ความซื่อสัตย์
สิ่งที่ควรฝึกหัดให้ดี คือ การมีระเบียบวินัย
สิ่งที่ควรเกรงใจ คือ น้ำใจแห่งมิตรไมตรี

สิ่งที่ควรหลีกหนีให้ไกล คือ คนพาล
สิ่งที่ควรต้องการทุกลมหายใจ คือ ความรู้จักพอ
สิ่งที่ควรรู้จักรอให้ได้ คือ ความหวัง
สิ่งที่ควรระวังไว้พิเศษ คือ วาจา

สิ่งที่ควรศึกษาให้ลึกซึ้งแจ่มแจ้ง คือ สัจธรรม
สิ่งที่ควรทำให้บ่อยๆ คือ บุญกุศล
สิ่งที่ควรต้องอดต้องทน คือ ความลำบาก
สิ่งที่ควรมีให้มาก คือ สติปัญญา

สิ่งที่ควรเคราศรัทธาบูชา คือ ความบริสุทธิ์
สิ่งที่ควรหยุดให้เด็ดขาด คือ  ความเห็นแก่ตัว
สิ่งที่ควรกลัวไว้ คือ ความผูกพัน
สิ่งที่ควรใฝ่ฝัน คือ ความสำเร็จ

สิ่งที่ควรเข็ดหลาบ คือ ความผิดพลาด
สิ่งที่ควรต้องฉลาดคิด ฉลาดทำ คือ การให้
สิ่งที่ควรทำใจยอมรับ คือ ปัญหา
สิ่งที่ควรเลิกรา คือ อดีตและอนาคต

สิ่งที่ควรทำให้หมดจดบริสุทธิ์ คือ ตัวเรา
สิ่งที่ควรเข้าอกเข้าใจ คือ ธรรมชาติคน
สิ่งที่ควรดิ้นรนแสวงหา คือ ความรู้
สิ่งที่ควรต่อสู้ให้ชนะ คือ กิเลสตัณหาฯ

วัดพระมหาชนก บ้านพลังเพียร
7.20.2017

วันอังคารที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

กาน้ำชา

(ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต)

" กาน้ำชา " .... เรื่องเล่าที่ต้องเตือนใจตัวเอง

ที่บ้านของชายคนหนึ่ง มีกาน้ำชาสูงค่า ....
เพราะเป็นกาที่ปั้นมาจากดินชนิดพิเศษสุด ของประเทศจีน
เลยวางไว้หัวเตียงอย่างทะนุถนอม

มีอยู่คืนหนึ่ง ... ด้วยความไม่ระวัง
มือไปปัดโดนฝากาน้ำชา  กระเด็นตกสู่พื้น
ทั้งโกรธ ทั้งเจ็บใจ เมื่อทำฝาแตกแล้ว
จะเก็บกาไว้ดู  ให้เจ็บใจเล่นทำไม ??..
คิดได้ดังนั้น เลยหยิบกาน้ำชาขว้างออกไปนอกหน้าต่าง !!.

รุ่งเช้าตื่นขึ้นมา...ลุกลงจากเตียง
เห็นฝากาน้ำชาหล่นอยู่บนรองเท้านุ่มที่ข้างเตียง
ไม่มีอะไรแตกเสียหาย กาน้ำชาก็ขว้างทิ้งไปแล้ว
ยิ่งเจ็บใจใหญ่  เลยกระทืบฝาจนแตกละเอียด

พอตอนสายเดินออกไปนอกบ้าน
ปรากฏว่ากาน้ำชาที่ขว้างออกไปเมื่อคืนนี้
คงคาอยู่บนต้นไม้ไม่มีอะไรบุบสลาย

บางครั้ง .... เรื่องบางเรื่อง
รอสักนิด ... ดูสักหน่อย ... ตรองสักพัก

เพราะเรื่องบางเรื่อง .....
อาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราเห็น เราเข้าใจ

ค ว า ม วู่ ว า ม เ ป รี ย บ เ ห มื อ น ปี ศ า จ ร้ า ย

ฝึกให้ใจเย็นไว้หน่อย..... นั่ น คื อ วิ ถี ข อ ง ค น ฉ ล า ด

หลายอย่าง บ่อยครั้งที่ ฟังกับหู ดูกับตา ทำกับมือ.  
ก็ยังไม่ใช่อย่างที่คิดเลย
---------------------------
จาก Fwd Line:  อารี อยู่อ่อน

วันจันทร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

สุขที่รอคอย...


"แสงจันทร์สามารถสาดส่อง
เข้าไปได้กระทั่งกระท่อมของยาจก
ทั้งบ้านเศรษฐี และปราสาทของพระราชา ฉันใด
ความเมตตาปราณี ก็ก่อให้เกิดความสุข
ทั้งยาจก ทั้งเศรษฐี และทั้งพระราชาฉันนั้น "

...ดังกล่าวจะเห็นว่า ความสุขที่เกิดจากความเมตตาปราณี เป็นความสุขที่สม่ำเสมอ เป็นความสุขที่ไม่เลือกชั้นวรรณะ ท่านจึงกล่าวว่า  " ความไม่เบียดเบียนเป็นสุขในโลก " ความเมตตาจึงเป็นยอดของความสุข ดังมีคำกลอนบทหนึ่งกล่าวว่า...

ชั่วหรือดีมีหรือจนคนในโลก
สุขกับโศกเศร้ากับสรวลมีถ้วนหน้า
จะสิ้นโศกโลกจะสุขทุกเวลา
ก็เพราะความกรุณาเมตตากัน

@@@@@@@@@@
(จากหนังสือ บุญญานุภาพ โดย สุทธิปภาโส ภิกขุ)


วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

อาลัยเพื่อนที่จากไป นรากร(สละ) อยู่พูล

(ขอบคุณภาพจาก อาภรณ์ ขุนแข็ง)

         ร.อ.นรากร (สละ) อยู่พูล ร.น.(นรจ.ทร.09) สมาชิก ชรท.สส. รดน้ำศพวันนี้ (13 ก.ค.) เวลา 1600 ที่วัด ปากคลอง ต.บางคู้ อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี ตั้งสวดพระอภิธรรม 13-17 ก.ค.60 ประชุมเพลิง 18 ก.ค.เวลา 1600 
นรจ.ทร.09 นย.11 และ
 ชรท.สส.เป็นเจ้าภาพ ใน 17 ก.ค. 60
เรียนเชิญเพื่อนร่วมรุ่น สมาชิกฯ
และท่านที่คุ้นเคยร่วมในพิธีดังกล่าว
(ข่าวจาก ชมรมทหารนอกราชการสัตหีบ ชลบุรี)
****************

สัมมาวาจา



ว่าด้วยฐานคำพูดของคน ๘ ฐาน
--------
คนเราเมื่อจะพูดจะกล่าวคำใดออกมาจากปาก
ย่อมออกมาจากฐานใจ ฐานใด ฐานหนึ่ง

แบ่งเป็น ๒ ชุด
ฐานอกุศลชุดหนึ่ง
ฐานกุศลชุดหนึ่ง

ฐานอกุศล คือ
ฐานที่ไม่บริสุทธิ์ เป็นบาปเป็นกรรม มี ๔ ฐาน คือ

๑.ฐานราคะ กล่าวด้วยจิตเสน่หา มีความใคร่เจือปน
๒.ฐานโลภะ กล่าวด้วยจิตปรารถนา ต้องการเพื่อได้ของเขา
๓.ฐานโทสะ กล่าวด้วยจิตโกรธ ไม่พอใจ เคียดแค้น ชิงชัง
๔.ฐานโมหะ กล่าวด้วยจิตหลง ขาดสติ บ่นเพ้อคร่ำครวญ

ฐานกุศล คือ
ฐานบริสุทธิ์ เป็นบุญเป็นกุศล มี ๔ ฐานเช่นเดียวกัน คือ
๑.ฐานเมตตา กล่าวด้วยจิตรักเมตตาปรารถนาดีอันบริสุทธิ์
๒.ฐานกรุณา กล่าวด้วยจิตคิดสงสารอยากให้พ้นทุกข์ พ้นกรรม
๓.ฐานมุทิตา กล่าวด้วยจิตที่รับรู้ ร่วมอนุโมทนา ดีใจ เต็มใจ ปลื้มใจ
๔.ฐานอุเบกขา กล่าวด้วยจิตที่ประกอบแล้วด้วยปัญญา เพื่อให้สติ
ให้ปัญญา ฯ

หมายเหตุ.-
การขีด การเขียนก็เกิดจากฐานใดฐานหนึ่งใน ๘ ฐานนี้เช่นกันฯ

วัดพระมหาชนก บ้านพลังเพียร
7.13.2017

วันอาทิตย์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ความสุข

🌸Thought of the Day🌸
       นิยามของความสุข

ยากจน..แต่ยังมีคนติดตาม..นี่คือความสุข

ป่วย..แต่ยังมีคอยดูแล..นี่คือความสุข

หนาว..แต่ยังมีคนคอยกอด..นี่คือความสุข

ร้องไห้..แต่ยังมีคนคอยปลอบใจ..นี่คือความสุข

คุณแก่..แต่ยังมีใครอยู่เป็นเพื่อน..นี่คือความสุข

คุณผิด..แต่ยังมีคนให้อภัยคุณ..นี่คือความสุข

คุณเหนื่อย..แต่ยังมีคนคอยเอาใจ..นี่คือความสุข


ความสุข..ไม่ได้อยู่ที่คุณสามารถดึงคนมารุมล้อมคุณได้กี่คน
..แต่อยู่ที่ใครสักกี่คนยินดีเข้ามารุมล้อมคุณต่างหาก

ความสุข..ไม่ได้อยู่ที่คุณขับรถหรูหราเพียงใด
..แต่อยู่ที่ยามที่คุณขับขี่คุณขับกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย

ความสุข..ไม่ได้อยู่ที่บัญชีเงินฝากของคุณมีเงินมากเท่าใด
..แต่อยู่ที่คุณเป็นอิสระทั้งกายและใจได้ทุกวัน
..ทำในสิ่งที่คุณรักด้วยความเบิกบาน

ความสุข..ไม่ได้อยู่ที่คู่ชีวิตของคุณสวยหล่อเพียงใด
..แต่อยู่ที่ยามพบหน้าคู่ชีวิตต่างก็มีรอยยิ้มพิมพ์ใจ

ความสุข..ไม่ได้อยู่ที่คุณเป็นข้าราชการตำแหน่งใหญ่โตเพียงใด
..แต่อยู่ที่ไม่ว่าคุณเดินย่างไปที่ใดใครๆก็สรรเสริญว่าคุณเป็นคนดี

ความสุข..ไม่ได้อยู่ที่อยู่ดีกินดีเพียงใด
..แต่อยู่ที่ปราศจากทุกข์ปราศจากโรคภัย

ความสุข..ไม่ได้อยู่ที่เสียงปรบมือยามคุณประสบความสำเร็จว่ากึกก้องเพียงใด
..แต่อยู่ที่ยามคุณล้มแทบมลายยังมีคนข้างๆคอยห่วงใย

ความสุข..ไม่ได้อยู่ที่คุณเคยฟังคำหวานหูมามากมายเพียงใด
..แต่อยู่ที่ยามคุณร้องไห้เสียใจ..ยังมีคนข้างๆคอยปลอบใจ..“
ไม่ต้องคิดมาก..ฉันยังอยู่เคียงข้างเธอ”

❄️❄️

สักวันหนึ่งเราจะเข้าใจ
ทรัพย์สินเงินทอง .. ไม่ใช่ที่สุดของความสุข ..

"รักษามิตรภาพ..ความสัมพันธ์อันดีต่อกันไว้
..การมีเพื่อนที่ดีก็มีความสุข"


(ขอบคุณ : เจ้าของบทความ)
@@@@
Cr.Fwd Line