วันเสาร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2566

ความจริงแท้ของชีวิต...


 

ฉันรักประเทศไทย

Cr.fwd.lind


 

******

หมอยูมิวิ่งมาราธอนด้วยชุดไทย


 ข่าวดีจากประเทศอังกฤษ เมื่อวานนี้ (23 เมษายน 66) เมื่อ “หมอยูมิ” ทันตแพทย์หญิง ชรินญา กาญจนเสวี คุณหมอนักวิ่งชาวไทย ลงวิ่งในรายการ “ลอนดอนมาราธอน” ซึ่งเป็น 1 ใน 6 รายการวิ่งเมเจอร์ระดับโลก ในระยะมาราธอน (42.195 กิโลเมตร)


ความพิเศษของการวิ่งในครั้งนี้ อยู่ที่ หมอยูมิ เลือกที่จะแต่งชุดไทยแบบเต็มยศ มีทั้งรัดเกล้า สไบ โจงกระเบน รวมน้ำหนักประมาณ 3 กิโลกรัม พร้อมทั้งยื่นขอจดสถิติโลก Guinness World Records เป็นนักวิ่ง “Fastest Marathon dressed in Thai Traditional Dress” หรือ นักวิ่งที่แต่งชุดไทยวิ่งมาราธอนได้เร็วที่สุด


โดยคุณหมอ วิ่งในระยะมาราธอนด้วยชุดไทย ใช้เวลาไป 3 ชั่วโมง 45 นาที 34 วินาที บันทึกสถิติโลกของนักวิ่งชุดไทยได้เร็วที่สุดเป็นผลสำเร็จ


สำหรับ การวิ่งมาราธอนในครั้งนี้ หมอมิยูตั้งใจใส่ชุดไทยลงแข่งเพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมไทย ซึ่งเป็นหนึ่งใน Soft Power - แฟชั่นผ้าไทย พร้อมทั้งเป็นแรงบันดาลใจเรื่องการท่องเที่ยวไทยเชิง Sports และ Wellness Tourism ไปพร้อมกัน

https://youtu.be/S0so_EruH4c

******

ฉันรักประเทศไทย (คลิก)


วันอังคารที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2566

การเลี้ยงควาย..!?

 ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีหลายคนถามอาตมาว่า หลวงพ่อชาสื่อสารกับลูกศิษย์ต่างชาติอย่างไรในเมื่อท่านพูดภาษาต่างประเทศไม่ได้ และลูกศิษย์ต่างชาติ โดยเฉพาะช่วงมาใหม่ๆ ก็ยังพูดภาษาไทยไม่ได้  เวลามีคนถามหลวงพ่อชาแบบนี้ ท่านมักจะตอบให้ชวนขัน ว่า “เหมือนการเลี้ยงควายนั่นแหละ”  จากนั้นท่านก็อธิบายด้วยสายตาเป็นประกายว่า “ถึงจะไม่รู้ว่าเราพูดอะไร แต่ถ้าจูงไปจูงมา เดี๋ยวมันก็เป็นเอง”  ในเวลาเช่นนี้ ดูเหมือนว่าหลวงพ่อจะเห็นว่าท่านเป็นผู้ฝึกมากกว่าเป็นผู้สอน


ในปีแรกๆ ที่อาตมาอยู่กับหลวงพ่อชา มีคำพูดของท่านที่จำได้แม่นยำ ทั้งๆ ที่ไม่เกี่ยวกับธรรมะเลย  จนถึงทุกวันนี้ อาตมายังระลึกถึงคุณค่าของคำพูดนั้นได้อยู่  ตอนนั้น อาตมาเดินตามท่านไปตรวจความเรียบร้อยของกุฏิในวัดพร้อมกับพระรูปอื่นๆ  อาตมานึกอยากอวดท่านว่า มาอยู่เพียงไม่นานก็พูดภาษาไทยได้แล้ว จึงชี้ไปที่กรอบหน้าต่างบานที่ชำรุดแล้วเอ่ยชื่อเป็นภาษาไทย  หลวงพ่อตอบกลับมาช้าๆ ว่า “หน้า-ต่าง” เพื่อแก้การออกเสียงของอาตมา  อาตมารู้สึกเหมือนถูกท่านเตะปากเข้าจังๆ  เราออกเสียงผิด! น่าอายจริงๆ!  แต่ในขณะเดียวกัน อาตมาก็รู้สึกปลื้มใจอย่างน่าประหลาด 


ความคิดที่ว่า มีครูบาอาจารย์ระดับหลวงพ่อชาคอยใส่ใจแก้ไขการออกเสียงให้ แม้จะเป็นคำเล็กๆ น้อยๆ ทำให้อาตมารู้สึกตื้นตัน  ตอนนั้นเกิดความมุ่งมั่นในใจว่าจะเป็นพระที่ดีต่อไปและทำให้ท่านภูมิใจ  เรื่องนี้สร้างกำลังใจให้กับอาตมามากกว่าสิ่งอื่นๆ  แม้ท่านจะนั่งลงตรงหน้า แล้วแสดงธรรมในหัวข้อปฏิจจสมุปบาทให้ฟังอย่างลึกซึ้งเป็นเวลาสองชั่วโมงด้วยภาษาอังกฤษดีเลิศก็ตาม


ดังนั้น อาตมาจึงบอกทุกคนว่าภาษาสำคัญก็จริง แต่มีสิ่งอื่นที่อยู่เหนือภาษา


ธรรมะคำสอน โดย พระอาจารย์ชยสาโร

แปลถอดความ โดย ศิษย์ทีมสื่อดิจิทัลฯ

*****

Cr.https://www.facebook.com/100064337808864/posts/pfbid02dQAqYXXhrqTqjAxBx1S8R4rsa3TwPTDk6QED9KwL8NT2ULYoii37MsZ2nbZqKixsl/?mibextid=Nif5oz

วันจันทร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2566

ระวังแมว

 Cr.fwd.line

นิทานระวังแมว

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีหลวงปู่เจ้าอาวาสกำลังจะมรณภาพ

หลวงปู่กล่าวคำสั่งเสียให้กับพระหนุ่มที่จะขึ้นเป็นเจ้าอาวาสคนต่อไปว่า

"อย่าปล่อยให้แมวเข้ามาในชีวิตนะ"

พระทุกรูปที่มาดูใจหลวงปู่ต่างประหลาดใจกับคำสั่งเสียนี้

เจ้าอาวาสคนใหม่ตรึกตรองประโยคนี้อยู่หลายวันก็ไม่เข้าใจ จึงเข้าไปปรึกษาพระที่อาวุโสที่สุดในวัดซึ่งรู้จักหลวงปู่มานานกว่าใคร พระอาวุโสจึงได้เล่าเรื่องราวต่อไปนี้ให้ฟัง


สมัยที่หลวงปู่ยังหนุ่มๆ เขาตัดสินใจจะบวชตลอดชีวิตด้วยการบอกลาลูกเมียและออกเดินทางไปบำเพ็ญเพียรภาวนาตามป่าเขา จนกระทั่งลงหลักปักฐานอยู่ใกล้กับหมู่บ้านเล็กๆ ที่หลวงปู่ (ซึ่งตอนนั้นผู้คนยังเรียกกันว่าหลวงพี่) จะไปบิณฑบาตรได้

ชาวบ้านต่างต้อนรับขับสู้หลวงพี่เป็นอย่างดี และได้สร้างกระท่อมไม้ไผ่ไว้ให้ท่านใช้เป็นกุฏิ

วันหนึ่ง มีหนูเข้ามาในกระท่อมและกัดจีวรของท่าน แม้จะยังใช้การได้อยู่ แต่ถ้าปล่อยไปแบบนี้ท่านคงไม่เหลือจีวรให้ใส่อย่างแน่นอน ท่านจึงปรึกษาชาวบ้านว่าควรทำอย่างไรดี

"ทำไมหลวงพี่ไม่เลี้ยงแมวไว้ล่ะครับ"

หลวงพี่เห็นด้วย ชาวบ้านจึงให้แมวหลวงพี่มาเลี้ยงไว้หนึ่งตัว จากวันนั้นก็ไม่มีหนูมากัดจีวรอีกเลย

แต่ปัญหาใหม่ก็เกิดขึ้น เพราะแมวต้องกินนม หลวงพี่ต้องออกบิณฑบาตหลายครั้งกว่าจะได้นมมาพอให้แมวกิน

เมื่อเห็นปัญหาดังนี้ หลวงพี่จึงปรึกษาชาวบ้าน ชาวบ้านจึงแนะนำว่า

"ทำไมหลวงพี่ไม่เลี้ยงวัวไว้สักตัวล่ะครับ จะได้มีนมเพียงพอสำหรับทั้งแมวและหลวงพี่"

ชาวบ้านจึงบริจาควัวหนึ่งตัวมาให้หลวงพี่เลี้ยงไว้ที่ข้างกุฏิ ปัญหาแมวไม่มีนมกินจึงหมดไป

แต่วัวต้องกินหญ้าปริมาณมาก ไม่นานนักหญ้าที่ขึ้นรอบกุฏิก็โดนวัวกินจนหมด หลวงพี่เลยปรึกษาชาวบ้านอีกครั้ง

ชาวบ้านเห็นว่าให้พระบิณฑบาตหญ้านั้นดูไม่งาม จึงแนะนำหลวงพี่ว่า

"ในหมู่บ้านมีแม่หม้ายคนหนึ่งที่สามีเพิ่งตายไป เราน่าจะไปชวนเธอมาช่วยดูแลวัว ช่วยปลูกหญ้า ช่วยปลูกผักผลไม้ และอาจจะช่วยดูแลหลวงพี่ตอนหลวงพี่อาพาธได้ด้วย"

หลวงพี่คิดว่าน่าจะเป็นการดี หญิงหม้ายก็เลยได้มาดูแลวัว ดูแลแมว ทำความสะอาดกุฏิ และยังช่วยปลูกผักทำสวน

เมื่อหลวงพี่เห็นหญิงสาวต้องทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อย จึงลงไปช่วยทำสวนด้วยอีกแรง

วันเวลาผ่านไป เหตุเกิดจากความใกล้ชิดและความเห็นอกเห็นใจ หลวงพี่กับหญิงหม้ายก็รักกัน ไม่นานเธอก็ตั้งท้อง หลวงพี่ต้องสึกออกมาเพื่อทำหน้าที่อย่างฆราวาส

ระหว่างอุ้มลูก ทิดหนุ่มจึงคิดขึ้นได้ว่า "นี่มันอะไรกัน เราอุตส่าห์ทิ้งลูกทิ้งเมีย ทิ้งโลกและเดินทางไกลมาถึงที่นี่ แต่นี่เรากลับมาอยู่ทางโลกเหมือนเดิมเพียงเพราะว่าเราเริ่มเลี้ยงแมวเท่านั้นเอง"

พระอาวุโสเล่าจบ จึงกล่าวกับพระหนุ่มเจ้าอาวาสคนใหม่ว่า

"ที่หลวงปู่สอนว่าอย่าปล่อยให้แมวเข้ามาในชีวิต คืออย่าให้เรื่องเล็กน้อยค่อยๆ เข้ามามีอิทธิพลในชีวิตจนเราหลุดจากเส้นทางไปโดยไม่รู้ตัว

เวลาเราปล่อยให้ตัวเองทำสิ่งไม่ดี เราจะบอกว่าเราทำมันแค่ครั้งเดียวเท่านั้น แต่พอเรายอมให้กิเลสชนะสักครั้งหนึ่งแล้ว กิเลสก็จะเริ่มแข็งแรงและเอาชนะเราได้อีกเรื่อยๆ มารู้ตัวอีกทีเมื่อสาย เหมือนที่หลวงปู่ห่วงจีวรจนได้ลูกได้เมียใหม่นั่นแหละ"


-----

ขอบคุณนิทานจาก Words of Wisdom: The Monk and Cat Story


วันอาทิตย์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2566

ประชาธิปไตยต้องมาคู่กับปัญญา

 Cr.fwd.line

ครั้งหนึ่งมีโยมเข้าไปกราบหลวงพ่อแล้วนำเรื่องการเมืองเข้าไปสนทนาด้วย


โยม : หลวงพ่อครับผมว่ามีประชาธิปไตยก็ดีนะครับ ผู้คนจะได้เคารพในการตัดสินใจของคนหมู่มากเป็นหลัก


หลวงพ่อชา : มันก็ไม่ถูกต้องเสมอไปหรอกโยม


โยม : ไม่ถูกต้องยังไงครับ?


หลวงพ่อชา : ยกตัวอย่าง มีแมลงวัน 20 ตัว มีแมลงผึ้ง 10 ตัว  แมลงวัน 20 ตัวบอกว่าอุจจาระหอมหวานอร่อยดี แต่แมลงผึ้ง 10 ตัวบอกว่าน้ำผึ้งหอมหวานอร่อยดี ถ้าพูดตามหลักประชาธิปไตยแมลงวันชนะแมลงผึ้งเพราะคะแนนเสียงมากกว่า แมลงผึ้งแพ้เพราะคะแนนเสียงน้อยกว่า


เราเป็นมนุษย์ชื่อว่าเป็นสัตว์ประเสริฐมีปัญญามากกว่าสัตว์เหล่านั้น


เราควรจะเชื่อใครดี !


โยมก้มกราบ

สาธุ สาธุ สาธุ

หลวงพ่อคิดได้ยังไง?


หนึ่งเสียงของคนดีมันจะเท่ากับหนึ่งเสียงของคนชั่วได้ยังไง หนึ่งเสียงของคนฉลาดมันจะเท่ากับหนึ่งเสียงของคนโง่ได้ยังไง  ฉะนั้นต้องทำให้คนส่วนใหญ่เป็นคนดีและฉลาดโดยเน้นเรื่องการศึกษา.....

....ประชาธิปไตยต้องมาคู่กับปัญญา....


คำสอน

พระโพธิญาณเถร วิ.

(หลวงพ่อชา  สุภทฺโท  วัดหนองป่าพง)

*************

เสียงข้างมาก(คลิก)

อธิปไตย (คลิก)


วันเสาร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2566

How To Start Practicing Buddhism

 

เจ็บหน้าอก

 Cr.เจ็บหน้าอก Pobpad .com 

สาเหตุของอาการเจ็บหน้าอก

สาเหตุของการเจ็บหน้าอกประกอบด้วยปัจจัยหลายอย่าง ได้แก่ สาเหตุที่เกี่ยวกับหัวใจ สาเหตุจากระบบย่อยอาหาร สาเหตุจากกล้ามเนื้อและกระดูก สาเหตุเกี่ยวกับปอด และสาเหตุอื่น ๆ โดยแต่ละสาเหตุมีรายละเอียด ดังนี้

สาเหตุที่เกี่ยวกับหัวใจ

อาการเจ็บหน้าอกที่มีสาเหตุเกี่ยวกับหัวใจนั้น ประกอบด้วย

  • โรคหัวใจหรือภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (Myocardial Infarction)
    เกิดจากการที่ลิ่มเลือดอุดตัน ทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้ เมื่อเลือดไหลไปเลี้ยงหัวใจได้น้อยลงก็เป็นสาเหตุให้กล้ามเนื้อหัวใจตาย ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บปวดเหมือนถูกบีบรัดที่บริเวณตรงกลางหรือด้านซ้ายของหน้าอกขึ้นมาทันที แม้จะนอนพักอาการก็ไม่ทุเลาลง นอกจากนี้ ผู้ป่วยจะเหงื่อออก คลื่นไส้ หายใจไม่สุด หรือรู้สึกอ่อนแรงอย่างรุนแรงร่วมด้วย
  • ภาวะเจ็บหน้าอกจากหัวใจขาดเลือด (Angina)
    ภาวะนี้เป็นผลมาจากโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (Coronary Artery Disease: CAD) ที่มีคราบตะกรันหนาสะสมอยู่ภายในผนังของหลอดเลือดแดงซึ่งทำหน้าที่ลำเลียงเลือดไปเลี้ยงหัวใจ โดย คราบตะกรัน นี้จะทำให้หลอดเลือดแดงแคบลง ส่งผลให้ร่างกายลำเลียงเลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่พอ จนเกิดภาวะเจ็บหน้าอกจากหัวใจขาดเลือด ผู้ป่วยจะเกิดอาการเจ็บเหมือนถูกกดหรือบีบที่หน้าอก ซึ่งอาการนี้อาจกระจายไปที่แขน ไหล่ ขากรรไกร หรือหลัง ทั้งนี้ ผู้ป่วยมักเกิดอาการดังกล่าวเมื่อออกแรงทำกิจกรรมอย่างออกกำลังกาย ตื่นเต้น หรือรู้สึกเครียด ซึ่งอาการจะทุเลาลงเมื่อหยุดพักจากกิจกรรมดังกล่าว
  • ภาวะเลือดเซาะผนังหลอดเลือดแดงใหญ่ (Aortic Dissection)
    เกิดจากหลอดเลือดแดงที่อยู่ติดกับหัวใจหรือผนังหลอดเลือดแดงนั้นฉีกขาด หากภายในชั้นผิวของผนังหลอดเลือดนี้แยกออกจากกัน เลือดก็จะไหลทะลักเข้ามาตรงกลางชั้นผิว ทำให้ผนังหลอดเลือดแดงเกิดการฉีกขาดมากขึ้น ซึ่งถือว่าอันตรายต่อชีวิต อย่างไรก็ตาม มักเกิดได้ไม่บ่อยนัก เมื่อผู้ป่วยประสบภาวะนี้ จะเกิดอาการเจ็บหน้าอกเหมือนถูกฉีกตั้งแต่คอ หลัง ไปจนถึงท้อง
  • โรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ (Pericarditis)
    ภาวะนี้เกิดจากเยื่อหุ้มที่ล้อมรอบหัวใจนั้นเกิดอาการอักเสบ ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บแปลบตั้งแต่คอช่วงบนลงมาถึงกล้ามเนื้อไหล่ โดยอาการจะยิ่งแย่ลงเมื่อหายใจเข้าลึก ๆ กลืนอาหาร หรือนอนหงาย
  • กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบเฉียบพลัน (Myocarditis)
    นอกจากจะเกิดอาการเจ็บหน้าอกแล้ว กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบเฉียบพลันอาจก่อให้เกิดอาการเป็นไข้ ปวดเมื่อย หัวใจเต้นเร็ว และมีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ ถึงแม้จะไม่เกิดอาการหัวใจขาดเลือด แต่อาการก็จะคล้ายโรคหัวใจ
  • กล้ามเนื้อหัวใจเสื่อม (Hypertrophic Cardiomyopathy)
    ผู้ที่ป่วยโรคนี้จะมีกล้ามเนื้อหัวใจที่โตหนาผิดปกติ บางครั้งนำไปสู่ปัญหาเกี่ยวกับการลำเลียงเลือดไปเลี้ยงหัวใจ ทั้งนี้ อาจเกิดหัวใจวายได้หากกล้ามเนื้อหัวใจหนาขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อที่จะส่งเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ผู้ป่วยจะเกิดอาการเจ็บหน้าอกและหายใจไม่สุดเมื่อออกกำลังกาย  และอาจเวียนหัว วิงเวียน และเป็นลมร่วมด้วย
  • โรคลิ้นหัวใจยาว (Mitral Valve Prolapse)
    โรคนี้เป็นโรคที่ลิ้นหัวใจปิดกันไม่สนิทนอกจากจะเกิดอาการเจ็บหน้าอกแล้ว ผู้ป่วยยังรู้สึกใจสั่นและเวียนหัวด้วย





ความกตัญญูกตเวที





วันจันทร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2566

ความสุข...

 Cr.fb reel



ขอขอบคุณ คุณกรุณา บัวคำศรี
*********
"ฮุกกะ" เป็นภาษาเดนิชที่มีความหมายว่า Coziness แปลเป็นไทยได้ว่าความสบาย ความสุขแบบฮุกกะจึงเป็น ‘ความสุขแบบเรียบง่าย’ จากสิ่งเล็กๆ รอบตัว

โดยความสุขแบบฮุกกะนั้น เปรียบเสมือนศิลปะที่สร้างเพื่อผ่อนคลายจิตวิญญาณ เป็นความสุขจากสิ่งเล็กน้อยรอบตัวที่หาได้ง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน

หากให้นิยามแบบเข้าใจง่าย คงต้องบอกว่าความสุขแบบฮุกกะเป็นความสุขแบบสบายๆ ชิลๆ ที่หาได้ในทุกวัน 

ดังนั้นความสุขแบบฮุกกะจึงเป็นการสร้างไลฟ์สไตล์หรือทำสิ่งเล็กๆ น้อย เพื่อสร้างความสุขในทุกวัน เช่น ได้นั่งฟังเพลงที่ชอบแบบชิลๆ หรือดื่มกาแฟรสโดนใจในทุกเช้า ฯลฯ

"ลากอม" เป็นภาษาสวีดิช โดยว่ากันว่าคำว่า “ลากอม” เป็นคำพูดจากไวกิ้งที่ว่า Laget Om หรือ Around the team. ที่มักพูดคุยกันเมื่อส่งเหล้าให้จิบต่อๆ กันไป เป็นการย้ำเตือนให้ดื่มแต่พอดีนั่นเอง

สำหรับความสุขแบบลากอมนั้นเป็น “ความสุขแบบพอดี” ที่ไม่มากไป ไม่น้อยไป แต่ต้องพอดีๆ ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้กับการใช้ชีวิตเพื่อสร้างสุขได้ เช่น การไม่กินเยอะไปจนอึดอัด แต่ไม่กินน้อยไปจนต้องทนหิว แต่ให้กินพอดีอิ่ม เป็นต้น 

ดังนั้นความสุขแบบลากอมจึงเสมือนความสุขที่อยู่ตรงกลาง เหมือนสุภาษิตชาวสวีดิชที่ว่า Lagom ar bast มีความหมายว่า ความพอดีนั้นดีที่สุด

******

Cr.The Gen C blog


วันอังคารที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2566

นับญาติ

น้าเอิบ เป็นลูกพี่ลูกน้องกับแม่สดับ เติบโตวิ่งเล่นมาด้วยกัน
เพราะอายุใกล้เคียงกัน แม่แก่กว่าน้าเอิบ ๒ ปี
หลังจากแม่สดับเสียชีวิตแล้ว 
น้าเอิบก็ยังแวะเวียนมาเยี่ยมพวกเรา
น้าเอิบมีเรื่องเล่ามากมายมาให้พวกเราเสมอ..


 น้าเอิบ (เสื้อขาวซ้ายมือในภาพ) รุ่น ๓  
แม่สดับ (เสื้อขาวคนที่ ๓ในภาพ) รุ่น ๓
พี่อบ (เสื้อดำขวามือสุด)) รุ่น ๔ ลูกสาวป้าอาบ รุ่น ๓  
ดวงดาว สุภานันท์ รุ่น ๔ ผู้ถ่ายภาพ เมื่อ ๑๗ พ.ย.๒๕๕๙


เพื่อนนักเรียนรุ่นเดียวกับติ๋ม(ลูกชายน้าเอิบ) ไปเยี่ยม น้าเอิบ
(ในภาพ น้าเอิบ อุดม วันดี ดิเรก ทวีศักดิ์)


ในภาพ ดิเรก วันดี อุดม น้าเอิบ


สายทางยายหลง รุ่น ๒
ตายายทวด(ตาแย้ม ยายแฟง) รุ่น ๑


สายทางตากราน รุ่น ๒
ตายายทวด (ตาสุข ยายแพร) รุ่น ๑


น้าเอิบ รุ่น ๓ อายุ ๙๙ ปี 


พิธีรดน้ำศพ น้าเอิบ เมื่อ ๒ เมษายน ๒๕๖๖
................
น้าเอิบ เป็นรุ่น ๓ ที่มีอายุยืนยาวมากที่สุด ๙๙ ปี
ข้อมูล"นับญาติ" นี้ได้จากการบอกเล่าพูดคุยกับน้าเอิบ
อาจจะมีข้อบกพร่องผิดพลาด...
พวกเราลูกหลานช่วยกันรวบรวมกันต่อไป
....
๕ เมษายน ๖๖
ลูก หลาน แม่สดับ เป็นเจ้าภาพสวดพระอภิธรรม

ดวงดาว อิ๊ด โอ่ง นันทา เอก


โอ่ง ดาว เอก ดาวรรณ


นันทา
.....
โอ่ง ดาว ดาวรรณ นันทา รุ่น ๔ สายแม่สดับ
เอก(ผู้แทนทองดี รุ่น๔) รุ่น ๕ สายแม่สดับ
.......