วันพุธที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2564

อาทิตย์อัสดง

 


 ลีกาซิง                                   อภิมหาเศรษฐีของฮ่องกง  นักธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์ ร่ำรวยอันดับ ๑ ของฮ่องกง ต่อเนื่องยาวนาน. 

        ตลอดชีวิตที่ผ่านมา. เขาป็นมนุษย์บ้างานอย่างหนัก. จวบจนเข้าสู่ปัจฉิมวัย อายุ ๙๒ ปี จึงประกาศวางมือ เกษียณจากหน้าที่การงาน ไปเมื่อปี พ.ศ. 2561  ท่ามกลางสุขภาพย่ำแย่ และป่วยหนัก

       ขณะที่พักรักษาตัวในห้องคนป่วย. ได้เขียนบทกวีจีน ในหัวข้อว่า “夕陽謠。”อาทิตย์ อัสดง”

         เพื่อเตือนสติแก่บรรดาผู้เกษียณอายุทั้งหลายและบุคคลทั่วไปให้สำนึกก่อนสายเกินแก้.  ไม่ต้องโทษตัวเองว่า 

  รู้ งี้ จะละสิ่งนี้  จะไม่ทำสิ่งนั้น เป็นต้น. 

      ในบทกวีนิพนธ์ เขียนไว้รวม ๑๕ ข้อ ดังต่อไปนี้ .-

     ๑. ลิขิตฟ้ากำหนดมา.  ชีวิตทุกคนมาจากศูนย์ 

ดำเนินไปในทิศทางใด

ยากดี. มีจน. รุ่งเรืองหรือรุ่งริ่ง. สุดท้ายต่างจบลงที่เลขศูนย์

     ๒. ยามแก่ชรา เวลาเหลือน้อย.  อย่าคาดหวังร่ำรวยเงินทอง   แม้ชีวิตยังเหลืออยู่. หรือหลัง.  ความตาย  สมบัติพัสถาน

จะยังมีสิ่งใดเป็นของเจ้าล่ะ ?  ต้องตระหนักรู้สัจธรรมความจริง. อย่าได้หลงผิด. หลอกตัวเอง

     ๓.รู้จักเพียงพอ. ย่อมเกิดสุข. ชีวิตวัยชราต้องสงบสุข. ไม่ตื่นเต้น ดีใจกับความร่ำรวย ไม่เศร้าสร้อย เสียใจเพราะยากจน. ยอมรับตามสภาพที่แท้จริง

     ๔. ไม่มักใหญ่ใฝ่สูง. ก่อศึกแย่งชิง. ชีวิตคนนั้นแสนสั้น.  ดั่งความฝัน. เหมือนปุยเมฆ หมอกควัน

ล่องลอยจางหาย.  ลับไป

     ๕. ดวงตะวัน ดวงจันทร์.   กาลเวลา และกระแสน้ำ หมุนเวียน ผันแปรไปตลอดกาล

เคหะสถาน ที่ดิน ไร่นา 

ล้วนสลับ.  สับเปลี่ยนเจ้าของถือครอง. เป็นมาตราบนิจนิรันดร์

      ๖. สายใยรัก ความรักความเอื้ออาทรที่มีต่อกัน

เมื่อสิ้นใจ ก็สิ้นสลาย หายเข้าไปในปล่องควัน เมรุเผาศพ. เงินทองมากเพียงใดก็นำไปไม่ได้

     ๗. ชื่อเสียง. ดีงาม หรือ เลวร้าย  ชัยชนะ หรือพ่ายแพ้ ผลได้หรือผลเสีย . ต่างสะดุดหยุดลง. เมื่อชีวิตปิดฉากจบลงที่ปลายทาง

     ๘. ยศฐาบรรดาศักดิ์.  

อำนาจวาสนา บุญบารมี

ไม่มีใครยึดครองได้ตลอดไป. .สุดท้าย รวยก็จบ. จนก็จบ. ต้องตระหนักรู้ตัวตนที่แท้จริง  ชีวิตก็เป็นเพียงเช่นนี้นั่นเอง

     ๙. ฤดูวสันต์ผันผ่านตามด้วย คิมหันต์  ถึงสารท. และเหมันต์.          . ฤดูกาล ทั้ง ๔

อีกทั้ง นำ้ขึ้นนำ้ลง  หมุนเวียน เปลี่ยนผ่านไม่จบสิ้น. มองทะลุ ทุกมิติชีวิตคน.  ทุกๆ ครัวเรือนต่างมีปัญหาที่แตกต่างกันไป  ต้องยอมรับ และอย่าทุกข์ระทมขมขื่น. ผูกเจ็บฝังใจ. ไว้ทำไย ? 

     ๑๐. การมีบุตรชาย - หญิง. เป็นภาระหน้าที่ของพ่อแม่. เลี้ยงดูอุ้มชูในอ้อมกอด. ย่อมเป็นสุข

ลูกหลานต่างมีบุญวาสนาของตน. อย่าควบคุมบังคับเหมือนใส่กรง. ยามแก่มีสุขภาพดีก็สุขแล้ว 

     ๑๑. ชีวิตมนุษย์เสมือนผึ้งน้อย. เช้าโน่น. เย็นนี่ 

ตระเวนดูดนำ้หวานจากเกสรดอกไม้. สร้างสมเป็นนำ้ผึ้ง.  เหนื่อยยากมาทั้งชีวิตเพื่อใคร ?  วาระสุดท้ายกลับสูญเปล่าไร้ค่าส่วนตน.  มองเห็นธาตุแท้. รู้เช่นเห็นชาติ.  ควรผ่อนคลายการขับเคี่ยว. ลดละแย่งชิง ทะนุถนอม รักษากายใจ. เพื่อความสุขสมบูรณ์ในวัยชรา ดั่งใจปอง

     ๑๒. มองจากไกลเห็นโรงพยาบาลคล้ายสวรรค์

มองเข้าใกล้ เหมือนธนาคาร.   ดึงดูดกอบโกยทรัพย์  นับไม่ถ้วน. เข้าไปเหมือนห้องขัง. ต้องป้องกันอย่าเข้าใกล้โดยเด็ดขาด

     ๑๓. สุขภาพดีเป็นสินทรัพย์นับไม่ถ้วน. สุขภาพดีเหมือนออมทรัพย์. โรคภัยไข้เจ็บ

คือการกู้เงิน- ใช้หนี้. ป่วยหนักอาจล้มละลายหมดตัว ไม่ใช่พูดล้อเล่น เดี๋ยวจะสายเกินแก้

     ๑๔. ลุกขึ้นปกป้องสุขภาพ ไม่นอนรอให้ใครมาหลอกเอาเงินไป. ไม่ดูแลสุขภาพ.  เท่ากับเลี้ยงดูหมอ. ช่วยเหลือโรงพยาบาล   มองการณ์ไกล รักครอบครัว ต้องรักษาตัวตนก่อน

     ๑๕. ชีวิตนั้นแสนสั้น. อย่ามัว วุ่นวายกับการหาเงินหาทอง  แม้มีมากเพียงใด ก็ใช้ห้าม ตะวันตกดินไม่ได้. เงินทองซื้อสุขภาพไม่ได้  ความเป็นความตาย เป็นดวงชะตากรรม. มั่งคั่งร่ำรวยเป็นลิขิตฟ้า 

ยากจะฝ่าฝืน นำพา  แม้บุญไม่มาดิ้นไปก็ไร้ผล

       ลูกหลานต่างมีบุญมาวาสนาเกิด. อย่าเป็นวัวเป็นควาย.  ฝ่าฟันเพื่อลูกหลาน. ต้องวิเคราะห์เจาะลึก รู้ซึ้งสิ่งใด. หนัก - เบา.  ลาภยศสรรเสริญ เป็นเพียงปุยเมฆลอยผ่าน

มั่งมีศรีสุข เป็นแค่งานเลี้ยงเฉลิมฉลอง. แค่พริบตาเดียว เส้นผมขาวโพนเต็มศรีษะ.  เรื่องราวทั้งหลายผ่านไปราวหมอกควัน

ไม่ควรเอาเป็นเอาตาย ทุกเรื่องราว. รกจิต หมองใจ. ทรมานกาย เปล่าๆ. 

      ขอมอบเคล็ดลับ ๑๐ สิ่งให้ชื่นใจ

 ๑.ใจเปิดกว้าง.  ๒.คิดให้ตก.  ๓.ทิ้งให้ได้.   ๔.วางให้ลง.  ๕.ยอมถอย. ๖.ให้อภัย. ๗.เห็นใจ.  ๘.ละทิ้ง. ๙.ยินยอม ๑๐ มีคุณธรรม

    

           ธำรง แปล

Cr. Fwd. Line

โขคดี มีลาภ

ใคร ๆ ก็อยากมีโชค มีลาภ 

บางคนอยาก ถูกหวย 

บางคนอยาก ร่ำอยากรวย 

บางคนอยาก ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน 


พอได้สิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น

ก็เข้าใจว่า.. ตนโชคดี


หรือพอเห็นคนอื่นประสบความสำเร็จในชีวิต

ก็คิดว่า.. คนนั้นโชคดี 


แต่โชคดีเหล่านั้น 

ยังต้องเจอกับความทุกข์ในวัฏสงสารอีกมาก 

ยังต้องถูกไฟแห่งราคะ ไฟแห่งโทสะ ไฟแห่งโมหะ 

แผดเผาให้เร่าร้อนทุกข์ทรมานอีกมาก 

.. ยังไม่ใช่ผู้ที่โชคดีที่แท้จริง 


ความโชคดีที่แท้จริง ก็คือ 

ได้พ้นแล้วจากเครื่องร้อยรัดทั้งปวง 

จาก ความทุกข์ทั้งปวง 

จาก ความทรมานต่าง ๆ 

จาก เภทภัยในวัฏสงสารทั้งปวง 

นั่นคือ.. ผู้ที่โชคดีที่สุด 


ได้พบแล้วซึ่งความสงบสุขที่แท้จริง 

คือ พระนิพพาน 

นั่นคือ.. ผู้ที่โชคดีที่สุด 


ใครพบก่อน 

โชคดีก่อน

.

.


โดย พระมหาวรพรต กิตฺติวโร

1 มิถุนายน 2564

Cr. https://www.facebook.com/707600716067818/posts/1885013348326543/


 

วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2564

โลกอีกใบ

 

เราต่างล้วนมีที่ว่าง ระยะห่าง และโลกอีกใบ พื้นที่เล็ก ๆ ที่เราปล่อยวางตัวตนทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ เพื่อพาตัวเองไปสู่อิสระ และเรียนรู้ความไม่คุ้นชินของชีวิต

.
เราให้โอกาสตัวเองได้พัก ลดความเข้มงวด และออกห่างจากกฏเกณฑ์บางอย่าง
.
เราใส่ใจดูแลตัวเองให้แข็งแรงทั้งกายและใจ เป็นผู้ให้ที่ฝึกให้ความสำคัญกับใจของตัวเอง
.
เราพักจากภาระหน้าที่ เว้นระยะห่างจากเป้าหมาย เปลี่ยนเวลางาน มาให้เวลากับคนที่รัก
.
เรารับรู้ความรู้สึกความคิดเกี่ยวกับชีวิต ค่อยเป็นค่อยไป สังเกตความว่าง มองเห็นความธรรมดาอย่างลึกซึ้ง มีความหมาย ด้วยใจที่เบาสบาย
.
เราลดช่องว่างของระยะห่างหรือพื้นที่ว่างลงบ้างเล็กน้อย ให้ตัวเองได้เข้าไปมีส่วนร่วมรับรู้ความรู้สึกบางห้วงเวลา
.
เราลองปล่อยตัวเองให้เผชิญหน้ากับความท้าทาย ความเปลี่ยนแปลง และความไม่แน่นอนของชีวิตที่ในบางครั้งเราก็ไม่ได้เตรียมรับมือไว้
.
เราให้พื้นที่ว่างกับใครสักคน แบ่งปันความทุกข์ ลดกำแพงภาพของความสุข และปล่อยน้ำตาให้เป็นอิสระ
.
เรามองเห็นมุมที่อ่อนโยนจากที่ว่างในใจ และฝึกส่งต่อพลังงานความอ่อนโยนนั้นออกไปให้คนใกล้ตัว
.
เราปลุกตัวให้ตื่นจากความหลับใหล ให้เวลาว่างกับงานที่สำคัญ งานที่รัก และงานที่มีคุณค่า
.
ไม่ว่าเวลาจะเปลี่ยนไปอย่างไร ชีวิตก็ต้องมีความว่าง ระยะห่าง และโลกอีกใบที่ทำให้เราได้เห็นมุมของชีวิตที่มีความหมายในแบบที่แตกต่างกัน
.

Cr.https://www.facebook.com/supamonta.s

วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2564

เก็บมาฝาก..😭

 🎎❤️🎎❤️🎎❤️🎎❤️🎎

   อ่านกี่รอบก็ชอบทุกครั้ง



เรื่องเล่า....

    จะขอเล่าเรื่อง ของเด็กเกาหลี 2 พี่น้อง( พี่สาว กับ น้องชาย ) ที่เกิดมา ในตระกูลคนยากจน แบบสุดๆ แต่พี่น้องสองคนนี้  กลับกลายเป็น ผู้สร้างประวัติศาสตร์ ให้กับประเทศเกาหลี เขาชื่อ ลี เบียงชอล ครับ ลองอ่านดู แต่ขอเตือนว่า อ่านแล้ว ห้ามร้องไห้นะครับ...


   สวัสดี ฉันเกิด ในหมู่บ้านบนภูเขา ที่ห่างไกลผู้คน

แต่ละวัน พ่อแม่ของฉัน ต้องพรวนดินในไร่ ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ


   ฉันมีน้องชาย อยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี

วันหนึ่ง ฉันขโมยเงินของพ่อ เพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้า ที่เพื่อนๆ ของฉันมีกัน จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง

พ่อให้ฉันกับน้อง  คุกเข่าหันหน้า เข้าหากำแพง

โดยที่ในมือพ่อ มีก้านไม่ไผ่ อยู่หนึ่งก้าน


'ใครขโมยเงินไป'  พ่อตวาด  ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉัน ก็เช่นกัน  พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า

" ก็ได้ ในเมื่อไม่มี คนรับสารภาพ ก็ต้องโดนลงโทษ ทั้งคู่นั่นล่ะ " พ่อชูก้านไม้ไผ่ ในมือขึ้น


   ทันใดนั้น น้องชายของฉัน ก็ลุกขึ้นคว้า ข้อมือของพ่อไว้....แล้วพูดว่า 

     " ผมขโมยเองครับ "


   ก้านไม้ไผ่ก้านนั้น ได้กระหน่ำลง บนหลังของน้อง ของฉันอย่างต่อเนื่อง

พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉัน ไม่หยุด  จนพ่อหอบ ด้วยความเหนื่อย  พ่อนั่งลงบนเก้าอี้ และด่าว่า น้องชายของฉัน

   "  ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ ต่อไปแกจะทำชั่ว อะไรอีก  แกน่าจะโดนตีให้ตาย  หัวขโมย "


   คืนนั้น ฉันกับแม่ กอดน้องชายของฉันไว้. หลังของน้อง มีแผลเต็มไปหมด

แต่เขาไม่ได้ ร้องไห้แม้แต่น้อย

   กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก  น้องเอามือเล็กๆ ของเขา มาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า

   " พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะ มันผ่านไปแล้ว "   แต่ถึงยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้ที่ไม่มีความกล้า จะบอกความจริงกับพ่อ


     หลายปีผ่านไป

แต่เหมือนกับว่า เหตุการณ์มันเพิ่งเกิด เมื่อวานนี้เอง

ฉันไม่อาจลืมคำพูด ของน้องชาย ตอนที่เขาปกป้องฉัน ได้เลย  ตอนนั้น น้องของฉันอายุ 8 ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี...


  เมื่อตอนที่ น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น  เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน

ม.ปลาย ว่า เขาสอบได้ ในขณะที่ฉันใกล้จบ ม.ปลาย

ก็ได้รับการตอบรับ จากมหาวิทยาลัย ของจังหวัดเช่นกัน


   คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่ อยู่ที่สวนหลังบ้าน  ฉันแอบได้ยิน พ่อพูดว่า 


    " ลูกเราทั้งคู่เรียนดีมากนะ "

   แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตา อยู่ข้างๆ พ่อ  และพูดขึ้นว่า


   " แล้วเราจะส่งเสีย ลูกทั้งคู่ได้อย่างไร ในเมื่อเรา ก็ไม่ค่อยมีเงิน "


   ทันใดนั้น น้องชายของฉัน ได้เดินเข้าไปหาพ่อแล้วพูดว่า


   " ผมไม่ต้องการ เรียนต่อผมอ่านหนังสือ มามากพอแล้ว "


พ่อเหวี่ยงมือ ตบลงที่แก้ม ของน้องของฉัน ฉาดใหญ่


  " ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้

ต่อให้พ่อ ต้องไปเป็นขอทาน ข้างถนน พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่ เรียนจนจบให้ได้ "


คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไป ตามบ้านต่างๆทั่วทั้งหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเงิน


ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า ต้องให้น้อง ได้เรียนต่อ ไม่เช่นนั้น เขาคงไม่อาจหลุดพ้น ชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้ แต่ในขณะเดียวกันฉันก็ไม่อาจ ล้มเลิกความคิด อยากจะเรียนต่อไปได้


     ใครจะรู้ได้ .......

วันต่อมา ในตอนเช้ามืด

น้องชายของฉัน ได้ออกจากบ้านไป พร้อมทั้งเสื้อผ้า ติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น และถั่ว เพียงเล็กน้อย เพื่อประทังความหิว   ก่อนไป เขาได้ทิ้งข้อความ ไว้ใต้หมอนของฉัน ขณะฉันกำลังหลับ


' พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ....ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะส่งเงินมาให้พี่'


ฉันนั่งอยู่บนเตียง อ่านข้อความ ของน้องชาย ด้วยน้ำตานองหน้า .......ฉันร้องไห้ จนเสียงแหบแห้งไป  ตอนนั้น น้องของฉันอายุ 17 ปี ส่วนฉันอายุ 20 ปี .....


ด้วยเงินที่พ่อ ยืมมาจากคนในหมู่บ้าน รวมกับเงิน ที่น้องชายของฉัน ได้รับเป็นค่าจ้าง มาจากการทำงาน เป็นกรรมกรแบกหาม ที่ไซต์ก่อสร้างท่าเรือ ......

ฉันจึงสามารถ เข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้ จนถึงปี 3


วันหนึ่ง ขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสือ อยู่ในห้องพัก

เพื่อนร่วมห้องของฉัน ได้เข้ามาบอกว่า 


'มีชาวบ้าน มาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ'


ทำไมชาวบ้าน ถึงมาหาฉันล่ะ ???


ฉันเดินออกไป แล้วมองเห็นน้องชาย ของฉันยืนอยู่

ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูน และทราย จากงานก่อสร้าง  ฉันถามเขาว่า


'ทำไมไม่บอก เพื่อนพี่ไปว่า เป็นน้องชายพี่ล่ะ'


น้องชายของฉัน ตอบยิ้มๆ ว่า


'ก็ดูผมสิ สกปรกมอมแมม ออกอย่างนี้...ขืนบอกว่า เป็นน้องพี่ เพื่อนๆ ก็ได้หัวเราะเยาะพี่ กันพอดี'


ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทา ไปปัดฝุ่นให้น้อง

และพยายามพูด แต่ด้วยเสียงเครือๆ ในลำคอ


' พี่ไม่สนใจว่า ใครจะพูดยังไง 

เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดู เป็นอย่างไรก็ตาม'


จากนั้น น้องของฉัน ได้ล้วงบางอย่างออกมา จากกระเป๋ากางเกง

เป็นกิ๊บหนีบผม รูปผีเสื้อ  เขาติดกิ๊บให้ฉัน แล้วพูดว่า


'ผมเห็นสาวๆ ในเมือง เค้าติดกัน ผมเลยอยากให้ พี่ติดบ้าง'


ฉันหมดเรี่ยวแรง ลงในทันใด  ดึงน้องชาย เข้ามาสวมกอด และร้องไห้ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นเวลานาน

ตอนนั้น น้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี 


วันที่ฉัน พาแฟนหนุ่มของฉัน มาที่บ้านเป็นครั้งแรก

ฉันสังเกตเห็นว่า หน้าต่างบ้าน ที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อม เรียบร้อยแล้ว


เมื่อเข้าไปในบ้าน ก็เห็นว่า บ้านสะอาดขึ้นมาก

หลังจากที่แฟนของฉัน กลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า


'แม่ไม่ต้องเสียเงิน เพื่อทำความสะอาดบ้าน กับซ่อมกระจก  เพียงเพราะหนู จะพาแฟน มาที่บ้านหรอกนะคะ'


แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า 


' แม่ไม่ได้จ้างหรอก...น้องชายลูกต่างหาก

วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็ว เพื่อกลับมา ทำความสะอาดบ้าน  ลูกยังไม่เห็น มือน้องหรอกเหรอ น้องโดนกระจกบาด ตอนกำลังเปลี่ยน กระจกบานใหม่น่ะ'


ฉันรีบเข้าไปหาน้อง ที่ห้องนอนของเขา   ฉันรู้สึกเหมือน ถูกเข็มนับร้อยเล่ม ทิ่มลงกลางใจ เมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ  ฉันจับมือน้องเอาไว้ อย่างเบามือที่สุด 

   'เจ็บมากไหม'

ฉันถาม


'ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ

มีหินตกมาใส่เท้าผม เต็มไปหมด แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผม คิดเลิกทำงานหรอกนะ และ...'


น้องชายของฉัน ยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด  เพราะฉันหันหน้าหนีเขาน้ำตาไหล อาบหน้าของฉัน อีกครั้ง


'เพราะพี่ เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ'   ตอนนั้น น้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี... 


หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงาน และย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง


หลายครั้ง ที่สามีของฉัน ชักชวนให้พ่อแม่ของฉัน ย้ายเข้ามาอยู่ในเมือง ด้วยกัน...


แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ ท่านบอกว่า ท่านเคยย้าย ออกจากหมู่บ้าน ครั้งหนึ่ง แต่เมื่อออกไปแล้ว ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี

จึงได้ย้ายกลับเข้ามา ใช้ชีวิตในหมู่บ้าน ตามเดิม


น้องชายของฉัน ก็ไม่เห็นด้วย กับการที่จะให้เขา และพ่อแม่ย้ายออกไป ...เขาบอกกับฉันว่า


'พี่คอยอยู่ดูแล พ่อและแม่ของสามีพี่ ทางนั้นเถอะ ผมจะดูแลพ่อและแม่ ทางนี้เอง'


สามีฉัน ได้ขึ้นเป็นประธาน ของบริษัทของ ครอบครัว

เราทั้งคู่ อยากให้น้องชายของฉัน เข้ามารับตำแหน่ง ผู้จัดการบริษัท แต่น้องชายของฉัน ก็ไม่รับตำแหน่งนี้

เขาขอเข้าทำงาน ในตำแหน่ง พนักงานธรรมดา


วันหนึ่ง น้องชายของฉัน ต้องปีนบันได ขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล  และตกลงมา เพราะโดนไฟดูดเขาถูกรีบหาม ส่งโรงพยาบาล


ฉันและสามี รีบไปเยี่ยมเขา ที่โรงพยาบาล  น้องชายของฉัน ขาหัก ต้องเข้าเฝือกที่ขา

... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า


' ทำไมถึงไม่ยอม รับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!

ถ้าเป็นผู้จัดการ ก็จะได้ไม่ต้อง มาทำงานเสี่ยงๆ อย่างนี้ ดูตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึง ไม่ยอมฟังพี่บ้าง'


คำตอบจากปาก น้องของฉัน รวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด ยังยืนยัน ความคิดเดิมของเขา


'พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขย เพิ่งจะได้เป็นประธาน

ส่วนผม มันการศึกษาต่ำ ถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ

คงจะมีเสียง นินทาว่าร้าย เต็มไปหมด'


น้ำตาปริ่มดวงตาของฉัน รวมทั้งสามีของฉันด้วย .....ฉันบอกกับน้องว่า


'แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อ ก็เพราะพี่...'


'ทำไมต้องพูด ถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้ว ด้วยล่ะครับ'

น้องชายของฉัน จับมือฉันไว้

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี... 


เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี  เขาได้แต่งงาน กับผู้หญิงในที่ทำงานเดียวกัน

ในงานแต่งงาน ประธานในงาน ได้ถามน้องชายของฉัน ว่า


' ใครคือคนที่คุณ รักที่สุดในชีวิตนี้'


น้องชายของฉัน ตอบอย่างไม่ลังเล

   

   " พี่สาวของผมครับ " .....


และเขาก็เล่าเรื่องราว ที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้


'ตอนผมอยู่ โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีก หมู่บ้านหนึ่ง. เราสองคนพี่น้อง ต้องใช้เวลาถึง 2 ชม.

เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้าน  วันหนึ่ง หิมะตกหนัก ผมทำถุงมือหาย ไปข้างหนึ่ง  พี่สาวผม จึงได้ให้ถุงมือของเธอ ข้างหนึ่ง  และเธอ ก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียว เดินเป็นระยะทางไกล  เมื่อเรากลับถึงบ้าน มือเธอบวมแดง เพราะอากาศหนาว

เธอไม่สามารถ จับช้อนทานข้าวได้ ด้วยซ้ำ .......นับจากวันนั้น

ผมสาบานกับตัวเองว่า ตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแล พี่สาวของผมให้ดี และจะทำดีกับเธอ'


เสียงปรบมือ ดังกึกก้องไปทั่ว  สายตาทุกคู่ ของแขกเหรื่อ หันมาจับจ้องที่ฉัน

คำพูดจากปากฉัน ออกมาอย่าง ยากลำบาก ....... 


'ในโลกใบนี้ คนเดียวที่ฉัน รู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ'


ในวาระ ที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้   น้ำตาได้รินไหล ออกมาจากสองตาของฉัน อีกครั้ง...


จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ วัน ในชีวิตของคุณและเขา. คุณอาจจะคิดว่า สิ่งที่คุณทำให้ใครสักคน เป็นเพียงสิ่งเล็กๆ น้อยๆ แต่สำหรับคนคนนั้น อาจจะมีความหมายมาก อย่างคาดไม่ถึง .. ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน หรือแม้คนที่ คุณไม่รู้จัก ก็ตาม 


   .....จบบริบูรณ์....


ปล. ปัจจุบัน ผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปี ดำรงตำแหน่งเป็น ผู้บริหารใหญ่บริษัทฮุนได และบริษัทในเครือ กว่า 20 บริษัท  


น้องชาย อายุ 83 ปี เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ ที่มีชื่อ เป็นภาษาเกาหลีว่า


       " ซัมซุง "

*****

Cr. Fwd. Line

วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2564

การเดินทางของเราสั้นนัก

 


Cr. Fwd line

ชอบๆ ชอบมาก เก็บมาฝาก

ไม่รู้ใครเขียน มีคนส่งต่อมา อ่านแล้วชอบ ขอแปะไว้เตือนใจอยู่เสมอ ชีวิตมันสั้น ทุกวินาทีในชีวิตมีค่า ใช้มันให้อยู่กับความสุข ดีกว่าจมอยู่กับความทุกข์


..การเดินทางนี้ช่างสั้นนัก..


หญิงชราคนหนึ่งก้าวขึ้นรถประจำทางแล้วนั่งลง ป้ายต่อมามีหญิงสาวสีหน้าบูดบึ้งแข็งแรงก้าวขึ้นรถ และนั่งลงข้างหญิงชรา ถุงกระเป๋าพะรุงพะรังกระแทกถูกหญิงชรา เมื่อเห็นหญิงชรายังคงนั่งเงียบ หญิงสาวถามว่าทำไมไม่โวยเมื่อถูกถุงของตนกระแทกใส่?


หญิงชราตอบด้วยรอยยิ้มว่า "ไม่มีความจำเป็นต้องหยาบคายหรือไปเถียงในเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นนี้ เพราะการเดินทางที่ฉันจะอยู่ข้างคุณนี้สั้นมาก ป้ายหน้าฉันก็ลงแล้ว"


คำตอบนี้คู่ควรจะจารึกด้วยอักษรสีทอง "ไม่มีความจำเป็นที่จะถกเถียงเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างนี้ เพราะ...การเดินทางด้วยกันของเรานั้นแสนสั้น"


เราแต่ละคนต้องเข้าใจว่า เวลาของเราบนโลกนี้สั้นนัก การทำให้มันดำมืดลงด้วยการถกเถียงที่ไร้ประโยชน์ ความอิจฉาริษยา การไม่ให้อภัยคนอื่น การไม่พอใจกับอะไรเลย และทัศนคติเลวร้าย ล้วนเป็นการสูญเสียเวลากับพลังงานอย่างน่าขัน 


มีคนหักอกคุณหรือ? คงความสงบไว้ เพราะ...การเดินทางนี้สั้นนัก !


มีคนทรยศคุณ คุกคามคุณ โกงหรือหมิ่นคุณหรือ? ผ่อนคลาย อย่าเครียด เพราะ...

การเดินทางนี้สั้นนัก !


มีคนเหยียดหยามคุณอย่างไร้เหตุผลหรือ? นิ่ง ไม่ต้องสนใจ เพราะ...การเดินทางนี้สั้นนัก !


เพื่อนบ้านวิจารณ์สิ่งซึ่งคุณไม่ชอบหรือ? สงบ ไม่ต้องสนใจ ให้อภัยไป เพราะ...

การเดินทางนี้สั้นนัก !


ไม่ว่าปัญหาใดๆ ที่มีคนนำมาให้เรา จำไว้ว่า การเดินทางร่วมกันของเรานี้สั้นมาก


ไม่มีใครรู้ระยะทางการเดินทางของเรา ไม่มีใครรู้ว่ามันจะไปถึงจุดสุดท้ายเมื่อใด เพราะ...การเดินทางด้วยกันของเรานั้นสั้นมาก


* ขอให้เราขอบคุณมิตรและครอบครัวของเรา

* ขอให้เรามีความนับถือ ความกรุณา และให้อภัยกัน เพราะการเดินทางร่วมกันของเรานั้นสั้นแสนสั้น


🥰🥰🥰ยิ้มให้ทุกคนนะ เพราะ...💝💝💝


การเดินทางของเรานั้นสั้นนักเพื่อน !!***

Cr. Fwd. Line👍

*****

งูกับเลื่อย(คลิก)

*****

วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2564

วัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร

 



      วัดเฉลิมพระเกียรติวรวริหาร ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาทางทิศตะวันตก หมู่ที่ ๓ บ้านท่าน้ำนนท์ ต.บางศรีเมือง อ.เมือง จ.นนทบุรี  เป็นวัดที่สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทรงสร้างเป็นวัดสุดท้าย ก่อนที่พระองค์จะเสด็จสวรรคต เริ่มสร้างเมื่อ ปี พ.ศ.๒๓๙๐ ณ บริเวณนิวาศสถานเดิมของพระอัยยา(ตา)พระอัยกี(ยาย)และสมเด็จพระศรีสุลาลัยพระบรมราชชนนี้ เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติแด่ทั้ง ๓ พระองค์ และพระราชทานนามว่า"วัดเฉลิมพระเกียรติ"และโปรดเกล้าฯ ให้สร้างกำแพงแก้ว และป้อมปราการทั้งสี่มุมดูสง่างดงาม เพราะในอดีตพื้นที่นี้เคยเป็นที่ตั้งของป้อมปราการเก่าแก่มาก่อน



  วัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร มีชื่อเสียงด้านสถาปัตยกรรมไทยผสมจีนตามแบบพระราชนิยมในสมัยนั้น ได้แก่ โบสถ วิหารหลวง พระพุทธรูปที่สำคัญคือ "พระศิลาขาว" และพระพุทธปฏิมาชัยวัฒน์ ซึ่งประดิษฐานภายในโบสถ และวิหารหลวง นอกจากนี้ยังมีเจดีย์ทรงลังกาสีขาว มีความสูงจากฐานถึงยอดประมาณ ๔๔ เมตร ภายในบรรจุพระบรมธาตุ




  



ขอบคุุณที่เข้ามาอ่านครับ














วันอังคารที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2564

เก็บมาฝาก...จากคุณหมอ




รักษาโรคด้วยตัวเองเมื่อเป็นโรคหัวใจขาดเลือด


การฟื้นฟูหลังป่วยหนัก

Cr. https://www.youtube.com/watch?v=tqKqTjH3PWc


สรุป
๑.เลือกสถานที่ฟื้นฟูที่ดี
๒.ขยันออกกำลังกายทุกวัน
๓.อาหารพืชเป็นหลัก ที่หลากหลายใกล้เคียงธรรมชาติ
๔.ฟื้นฟูจิตใจ
*สถานการณ์ของชีวิต
*การใช้ชีวิตในปัจจุบันกับลมหายใจ
๕.ยอมรับแพทย์ทางเลือก
๖.ทำอาชีวะบำบัด

**************
Cr.https://www.youtube.com/watch?v=pNSK25WvTrk

คุณภาพชีวิตผู้สูงวัย


*************
อาการหัวใจขาดเลือด


************