วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2562

เก็บมาฝาก

  เรื่องนี้ประทับใจ...

ช่วงเทศกาลปีใหม่ของวันหนึ่ง

เด็กชายอายุประมาณ 9-10 ขวบคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้านขายปลาในตลาด เถ้าแก่สังเกตสีหน้าของเด็กน้อย ท่าทางจะมีความกังวลอะไรอยู่บางอย่าง

“เถ้าแก่ครับ ขอปลาจาระเม็ดให้ผม 2 ตัวครับ”

เถ้าแก่มองหน้าเด็กชายครู่หนึ่ง
จากนั้นก็เดินไปหยิบปลาใส่ถุงขึ้นชั่ง
เด็กชายเอามือล้วงกระเป๋าเป็นเวลานานสองนาน
จากนั้นจึงหยิบแบงค์ 500 ออกมาจากกระเป๋ากางเกงของตัวเอง

“เงินอั่งเปาละสิท่า เสียดายใช่ไหมละอาตี๋”

เถ้าแก่ถามแบบหยอกๆ
เด็กชายได้แต่ยิ้มหน้าเย๋ๆ
“ 180 บาท” เถ้าแก่บอกพร้อมกับหยิบเงินจากมือของเขาไป จากนั้นก็หยิบเงินทอนให้แก่เขา 320 บาท
เมื่อเด็กน้อยรับเงินเสร็จก็กล่าวคำขอบคุณ จากนั้นก็เดินออกจากร้านไปด้วยอาการเหมือนร้อนรน

2 วันให้หลัง เด็กชายคนเดิมเดินเข้ามาที่ร้านของเถ้าแก่อีกครั้ง
“วันนี้แม่ของผมต้องไปโรงพยาบาล” เด็กน้อยเอ่ยขึ้น
เถ้าแก่รู้สึกตกใจไปกับเด็กน้อยด้วย

“แม่ของผมป่วยหนัก วันนี้ต้องรีบผ่าตัด เมื่อวานซืนผมมาซื้อปลาจาระเม็ดที่แม่ชอบกิน จากนี้ไปแม่ของผมคงไม่ได้กินอีกแล้ว”

เด็กน้อยพูดออกไปด้วยเสียงสะอื้น

“แต่หลังจากแม่กินปลาจาระเม็ดเสร็จ แม่ก็พูดกับผมประโยคหนึ่งว่า อย่าโลภในกำไรเพียงเล็กน้อยจนสูญเสียมโนธรรมสำนึก มันไม่คุ้มค่า!”

จากนั้นเด็กน้อยก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง จากนั้นก็หยิบธนบัตรแบงค์ 500 ออกมา 1 ใบ แล้วก็ยื่นให้เถ้าแก่เจ้าของร้านขายปลา

“เถ้าแก่ครับ ผมขอโทษครับ เมื่อวานซืนผมเอาแบงค์ปลอมให้เถ้าแก่ ใบนี้ต่างหากที่เป็นของจริงครับ!”

เถ้าแก่ต้องตกใจเป็นครั้งที่2 ไม่คิดว่าเรื่องมันจะเป็นอย่างนี้
เขาคิดถึงสีหน้าของเด็กน้อยเมื่อวันก่อน ไม่น่าเชื่อว่าเด็กน้อยหน้าตาซื่อๆ จะกล้าเอาแบงค์ปลอมมาซื้อของได้ มันเป็นไปได้ยังไง?
เด็กน้อยมองเถ้าแก่ด้วยสายตาละอาย

“ขอบคุณครับคุณลุง แบงค์ปลอมใบนี้มีลูกค้าเอามาซื้อของที่ร้านผมครับ แม่เก็บมันไว้ตั้งนานไม่ยอมใช้ เพราะกลัวว่าคนอื่นได้ไปจะเสียใจเหมือนแม่ แต่ช่วงนี้แม่ของผมไม่สบาย เงินทองที่มีอยู่ก็ใช้ไปเกือบหมด ไม่ได้เปิดร้านมาหลายเดือนแล้วครับ ผมก็เลยแอบเอามาซื้อปลาที่ร้านคุณลุง จนแม่ผมจับได้ ขอบคุณคุณลุงมากครับที่ไม่เอาเรื่องผม”

เถ้าแก่ไม่รู้จะพูดอะไร ได้แต่เดินไปที่เก๊ะเงิน จากนั้นก็หยิบเอาแบงค์ 500 ใบที่เด็กน้อยนำมาซื้อของเมื่อวันก่อนออกมาคืนให้กับเด็กน้อย ความรู้สึกของเขามันบรรยายไม่ถูก ไม่รู้ว่าเสียใจหรือดีใจดี

เด็กน้อยเมื่อรับแบงค์ปลอมคืนมา ก็ยกมือไหว้และก็เดินจากไป
เถ้าแก่มองตามหลังของเด็กน้อยเป็นนานสองนาน

บ่ายของวันนั้น ตอนที่เก็บร้าน เถ้าแก่ก็ได้นำเอาปลาจาระเม็ดที่แช่ฟอร์มาลินมาอาทิตย์กว่าๆในแผงทิ้งลงถุงขยะสีดำ ไม่กล้าที่จะขายให้ใครอีกต่อไป

จากนั้นมาไม่นาน เถ้าแก่ก็ได้ข่าวว่า แม่ของเด็กชายคนนั้นได้เสียชีวิตลง ส่วนเด็กชายก็กลับไปอยู่ต่างจังหวัดพร้อมกับตายาย
แต่คำพูดของแม่เด็กชายคนนั้นและการกระทำของเด็กชายในวันนั้น เมื่อเขาคิดขึ้นมาเมื่อใด ก็รู้สึกร้อนผ่าวบนใบหน้า เขาต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษเด็กชายคนนั้น!
===========================
หิริโอตัปปะ ความละอายเกรงกลัวต่อบาป ความละอายใจตัวเองต่อการทำความชั่วความผิด ความละอายต่อการประพฤติทุจริตทั้งหลาย ถือว่าเป็นธรรมะสำคัญต่อการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันของคนในสังคม

ไม่เบียดเบียนกัน...ถือเป็นสุขอย่างยิ่ง

ขอคารวะแม่ผู้ยิ่งใหญ่ แม้เธอจะไม่ได้ร่ำรวย
แต่เธอกลับไม่เคยจนในปัญญา
คำที่เธอสอนลูกชาย ไม่เพียงแต่ทำให้ลูกชายรู้สึกละอาย แต่กลับยังสะเทือนให้ใจของเถ้าแก่รู้สึกละอายมากยิ่งกว่า !!

ฝากกดไลค์กดแชร์เพจ มูลนิธิสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร ในพระบรมราชูปถัมภ์
ที่ facebook  https://m.facebook.com/Somdetphranyanasangvarasomdetphrasangharaj/

วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2562

เก็บมาฝาก..ธรรมะจากหลวงปู่..

"..ทุกวันนี้ ญาติโยม..ไหว้พระ
ก็..ไปวุ่นวาย
แต่กับ..ดอกไม้ ธูป เทียน
...ไม่รู้ว่า ทำไมต้องวุ่นวาย กับของพวกนี้
ไม่มี..ดอกไม้
ไม่มี..ธูป มีเทียน
ก็..ไหว้ได้
กราบ..ได้
...ไหว้พระ...
...กราบพระ...
ไหว้..ที่ใจ
กราบ..ที่ใจ
...เคารพใน..คุณงาม ความดี
ของ.. พระพุทธเจ้าของ..เรา
.
พระพุทธเจ้าท่าน..ได้สอนไหม
ว่า..ไหว้พระ ต้องมีดอกไม้ ทุก..ครั้ง

ในพระไตรปิฎกก็..ไม่มี
..ไปเสียเงิน เสียทองซื้อมา.. ทำไม
...อย่าว่า แต่ญาติโยม..เลย พระ..นี้ละ
ตัว..สำคัญ
..สำคัญ อย่างไง ทุก..วันนี้
พระก็จัดดอกไม้ เป็นบ้า กับ..
-การทำบายศรี
-จับผ้า
-ตกแต่งสถานที่ให้มัน..สวยงาม
...หลง..ในความงาม
..หลง..ในความสวย
.
พระพุทธเจ้าท่านพา..ให้ละ ท่านพา..ให้อยู่อย่างสงบ
ดู..ใจตัวเอง

ในพระไตรปิฎกก็ไม่มี..ให้ทำ ท่านพา..อยู่ป่า อยู่..ที่สงบ
..อันนี้..ไม่ละ
มันเป็นบ้า..อะไรกับ..ของพวกนี้
.
บาง..วัด
เอาบายศรี ไปตั้ง..ข้างพระประธาน
...เอาไปตั้ง สูงกว่าพระพุทธรูปเสีย..อีก
..ตกแต่ง ให้..สวยงาม
มันทำ..เอาอะไร เอา..มรรคผล นิพพาน..ไหม
...พระพุทธเจ้าท่าน..สั่ง
ท่าน..สอน..มั๊ย ...ต้องทำบายศรีใหญ่ๆ
ทำ..กี่ชั้น
ถึงได้..เห็นมรรคผล นิพพาน
..ในพระวินัย ก็ไม่ได้..สั่งสอนให้พระ..ทำบายศรี จัดดอกไม้
..มันบวชมา.. ปรุงแต่ง
..มันบวชมา
เอา..กิเลส
...หลวงปู่ขาว ท่านก็..ไม่ได้สอน..นะ ว่า..ให้พระ..ทำบายศรี จัด..ดอกไม้ แทน..การภาวนา
.
หลวงปู่ฝั้น..
ท่านก็..ไม่สอน ท่านสอน..ให้ภาวนา รักษาศีล แต่..ทุกวันนี้เรื่อง..การบวชเข้ามา เพื่อ..การปฏิบัติ ตาม.. ปฏิปทาพ่อแม่ครูอาจารย์
...มันไม่มี
บอกให้..ภาวนาเหมือน..คุยกับหมา
...คุยกับหมาบางที..ยังรู้เรื่องกว่า
...หลวงปู่สอนว่า ให้ตื่น..ตี3
มา..ภาวนา
เดิน..ก็ได้
นั่ง..ก็ได้
พอ..ตี5..6โมงให้เตรียม.. บิณฑบาต
..เสร็จจาก..ฉันอาหาร
ให้..เดินจงกลมหรือ..นั่งภาวนาจนถึง..11โมงแล้วถึง..ขึ้นไปพัก
..บ่าย3 ให้ออกมา..ทำข้อวัตร
..กลางคืน ให้.. ภาวนา ถึงเที่ยงคืน หรือ สว่าง ตามแต่..กำลัง อันนี้..ไม่ ..ละ
.
ตื่น ก็..ตื่นสาย
ฉัน..เสร็จ
ก็ไปหา..พักผ่อน นอนเล่น.. โทรศัพท์
..พวกนี้ ไปอยู่กับ..หลวงปู่บัว วัดป่าหนองแซงไม่ได้..หรอก
..มันบวชมาหา..ความสบาย ไม่ได้บวชมา.. ปฏิบัติ ขัดเกลากิเลส
ไม่ได้บวชมา.. เพื่อพ้นทุกข์ในวัฏสงสาร
..เอาแต่..กิเลสตัวเอง จะ..ทำไป
.
📍พระพุทธเจ้าท่านบรรลุธรรม
ก็ด้วย..
-การปฏิบัติ
-การภาวนา
-การดูตัวเอง -ดูใจตัวเอง
...ไม่ได้บรรลุด้วย..โทรศัพท์
..ไม่ได้บรรลุ
ด้วย..การหลอกขอเงิน ญาติโยม จี้ ปล้น ญาติโยม
.
บาง..วัด
สอนให้ญาติโยม หลง..ในบุญ หลง..ในความรวย
..ขนาด ตั้งชื่อพระพุทธรูป
ก็..เอากิเลสตัวเอง..มาตั้ง
อย่าง..
-หลวงพ่อรวย
-หลวงพ่อทันใจ
-หลวงพ่อพันล้าน
..มันเอากิเลสตัวเอง..มาตั้ง
ถ้ามัน..เอากิเลสตัวเอง..มาตั้งขนาด..นี้
..ทำไม มันไม่ตั้งว่า..หลวงพ่อบอกหวย..ไปเลย
.
แทนที่..พระจะสอนญาติโยม
ว่า..พระพุทธรูปเป็น..สัญลักษณ์แทน ของ.. พระพุทธเจ้า เรานะ
เรา..กราบ
เรา..ไหว้
ให้..ระลึกถึงคุณงาม ความดี ของท่าน
ให้..ละชั่ว ทำดี ละอายต่อ..การทำบาป
ไม่..ละ
มัน..กลับไปสอนว่า..ไหว้ขอพร.. 'หลวงพ่อรวย' กราบไหว้ ซื้อดอกไม้ ธูปเทียนไป..ไหว้ แล้ว..รวย
...มันจะไปรวยอะไร ถ้ามัน..ไม่ทำงาน หาเงิน รู้จัก..เก็บ จัก..ใช้
คนที่..รวย
ก็.. พวก
ขาย..ดอกไม้ ธูป เทียน
.
ถ้ามัน..อยากได้บุญ..จริง
ไหว้พระ สวดมนต์..แล้ว
ไป..บริจาคทานให้..โรงพยาบาล ให้..สถานที่เด็กกำพร้า คนพิการ คนตกทุกข์ได้ยาก
นั้นละ..บุญ
ไม่ต้อง..ไปเสียเงินกับ..ของไร้ประโยชน์ อย่าง..ดอกไม้ ธูป เทียน
..จุดธูป..เยอะๆ​ ไม่ใช่..เรื่องดี นั้น..ละ
ตัว..มะเร็ง
จะ..ทำบุญ ทำทาน อะไรก็ช่างให้พากัน..มีสติ พิจารณาดู..ให้ดี ถึง..ความสมเหตุ สมผล
ให้ใช้..ปัญญาดีๆ
.
**..หลวงปู่ชนะ อุตตมลาโภ..**
วัดป่า...
..โนนหมากอื๋อ
อ.เมือง จ.มหาสารคาม
(ท่านเป็นศิษย์ ในองค์ท่านหลวงปู่วัน อุตตโม  และ..
หลวงปู่บัว สิริปุณโณ)

วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2562

แม่ทัพเรือที่ยิ่งใหญ่

ลอร์ด เนลสัน แม่ทัพเรือผู้ยิ่งใหญ่ เป็นคนเมาคลื่น

โฮเรชิโอ เนลสัน เป็นเด็กร่างผอมเล็ก ป่วยเป็นประจำ เมื่ออายุสิบสองขวบ พ่อจึงส่งไปเป็นลูกเรือ เนลสันใช้เวลาหลายปีไต่เต้าจนเป็นกัปตันเรือ

เมื่อ นโปเลียน โบนาปาร์ต ยาตราทัพไปทั่วยุโรป เนลสันก็เข้าสู่สงคราม สู้รบจนได้รับบาดเจ็บ ตาข้างขวาบอด และในสงครามครั้งถัดมา เขาก็เสียแขนขวา

หากเป็นกัปตันคนอื่น ก็คงเลิกประจำการไปแล้ว แต่เนลสันไม่ยอมเลิก เขาประจันหน้าทัพนโปเลียนที่อียิปต์ เอาชนะศัตรูอย่างงดงาม ในสงครามครั้งนี้ เขาบาดเจ็บที่ศีรษะ สมองถูกกระทบกระเทือน แต่เขายังคงไม่ยอมเลิก

ในสงครามใหญ่ครั้งหนึ่ง ผู้บัญชาการของเนลสันส่งสัญญาณให้เขาถอยหนีข้าศึก เนลสันหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมามองด้วยตาข้างขวา และบอกว่า "ไม่เห็นมีสัญญาณอะไรเลยนี่หว่า!"

เมื่อยืนหยัดสู้ ทัพเรือของเขาก็ชนะข้าศึก

ในสงครามครั้งสุดท้ายของเขา เนลสันต่อกรกับกองทัพเรืออันเกรียงไกรของฝรั่งเศส-สเปน เนลสันถูกศัตรูนักแม่นปืนยิงบาดเจ็บสาหัส นอนรอความความตายอยู่หลายชั่วโมง แต่เขาก็ไม่ยอมตายจนกว่าจะได้ยินว่าทัพเรือของตนชนะ

………………..

นานมาแล้ว ผมอ่านจากหนังสือเล่มหนึ่งที่สอนว่า เวลาเผชิญปัญหาใด ๆ เช่น ความป่วยไข้ ความผิดหวัง ฯลฯ ให้บอกตัวเองว่า ปัญหานั้นก็เป็นเพียง "just a little inconvenience" (ก็แค่ความไม่สะดวกเล็ก ๆ)

ปัญหาในโลกนี้แบ่งออกเป็นสองอย่าง อย่างหนึ่งคือปัญหาจริง อย่างหนึ่งคือปัญหาที่ฝันขึ้นเอง (Imaginary problem)

หากพิจารณาดูตัวปัญหาของเราให้ดี อาจพบว่าบางปัญหาเป็นเพียงจินตนาการเชิงลบเท่านั้น เช่น

"ตายแน่เลย ถ้าเราขายงานนี้ไม่ผ่าน"

หรือ "หน้าตาอย่างเรา ใครเขาจะเหลียวแล"

ฯลฯ

ที่ตลกก็คือ แม้แต่ปัญหาจริงก็ยังมีการแบ่งออกเป็นระดับต่าง  ๆ

ใบหน้ามีสิวสำหรับใครคนหนึ่ง อาจเป็นเรื่องใหญ่โตถึงขนาดจะฆ่าตัวตาย สำหรับอีกคนอาจเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่อง

การตกงานสำหรับคนหนึ่งคือความล้มเหลวเลวร้าย สำหรับอีกคนหนึ่งอาจเป็นประตูสู่ชีวิตใหม่

เมื่อพิจารณาปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน จะพบว่าส่วนหนึ่งเป็นปัญหาที่เราจินตนาการเอง และอีกส่วนหนึ่งเป็นปัญหาที่เราทำให้มันหนักหนากว่าตัวปัญหา หรือเห็นหมูเท่าช้าง

อาจเหลือปัญหาจริง ๆ ไม่ถึงหนึ่งในสิบ

ดังนั้นทัศนคติต่อปัญหา จึงสำคัญมากกว่าตัวปัญหาเอง

พูดง่าย ๆ คือ ถ้าคุณคิดว่ามันเป็นปัญหา มันก็เป็นปัญหา

ถ้าคิดว่ามันเป็นปัญหาใหญ่ มันก็เป็นปัญหาใหญ่

และถ้าคิดว่ามันเป็นเรื่องเล็ก มันก็รบกวนเราได้แค่ 'ความไม่สะดวกเล็ก ๆ'

(เขียนเมื่อตุลาคม 2547)

………………..

วินทร์ เลียววาริณ
https://www.facebook.com/winlyovarin/

วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ใจเรา...ตัวเรา

ใจเราเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเรา
หลายครั้งเรามัวปรึกษาคนอื่น
หรือหมกมุ่นกับความคิดของตัวเอง
จนเหมือนจมลงไป
ลองถอยออกมาจากเหตุการณ์
ไปดูตอนที่ทุกอย่างสำเร็จ แล้วมองกลับมา
เราจะเห็นว่าเราจะเติบโตไปเป็นใคร
และต้องทำอย่างไรระหว่างทาง

เวลาที่คุณไม่รู้จะทำอย่างไรดี
ให้คิดถึงสิ่งดีๆ ที่ทำได้ตอนนี้
เวลาที่คุณไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
ให้คิดถึงสิ่งดีๆ ที่พูดได้ตอนนี้
เวลาที่คุณไม่รู้จะคิดอย่างไรดี
ให้คิดถึงสิ่งดีๆ ที่คิดได้ตอนนี้

ลองพูดอะไรดีๆ ให้ตัวเองมีความสุขดูตอนนี้เลย

ขยายภาพความสุข ยืดไหล่ ยิ้ม
หัวเราะกว้างๆ ยืดตัวให้ตรง ตามองสูง
ให้สมองส่วนจินตนาการทำงาน
เราจะพบว่าตาสว่างขึ้น ใจโล่ง
หน้ายิ้มออก สารเคมีดีๆ หลั่ง คิดสิ่งดีๆ ออก

ลองทำดูแล้วจะรู้ได้ด้วยตัวเอง
ว่าการรู้สึกดีมันง่ายและมันยอดมากจริงๆ
เริ่มทำสิ่งดีๆ ให้ชีวิตต่อไปได้เลย
หยุดกังวลแล้วลุกขึ้นมาทำสิ่งที่ควรทำ
อย่างกล้าหาญ มีความสุข มีพลัง ดีกว่ากันเยอะเลย


----------------------------
ผู้สอนเป็นเพียงผู้บอกทาง ผู้เรียนต้องเป็นผู้ลงมือเดินทาง ทำด้วยตนเอง
...........
Cr.https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=2196282457158956&id=177844118922395

วันพฤหัสบดีที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2562

เก็บมาฝากจากไลน์...หลง..

ตัวหลงมักครอบงำใจเราอยู่บ่อย ๆ สังเกตไหม เวลากินข้าว ล้างหน้า ถูฟัน แล้วใจเผลอไปคิดถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ นั่นแหละเรียกว่า “หลง””

“หลง” คือ ลืมตัว หรือไม่รู้ตัว คนเราถ้าหลงเข้าไปในความคิดแล้วก็จะออกมาได้ยาก สาเหตุที่ผู้คนทะเลาะกันไม่ว่าในบ้าน ที่ทำงาน ในเฟซบุ๊ค นั่นเพราะหลง หลงเข้าไปในความคิด พอได้ยินหรือได้อ่านสิ่งที่คนอื่นคิดไม่เหมือนเราก็เกิดความไม่พอใจ ความยึดมั่นที่เกิดขึ้นในใจก็จะสั่งให้เราตอบโต้ วิพากษ์วิจารณ์ โจมตี จนถึงขั้นด่าทอ อันนั้นเรียกว่าทำไปเพราะอานุภาพของความหลง สังเกตไหมเวลามันสั่งให้ด่าว่าคนที่คิดไม่เหมือนเรา แม้เป็นคนรู้จักกันแต่ความเห็นต่างกัน

เวลาประชุมกันเราพยายามหักล้างความคิดที่ต่างจากเรา แตกต่างจากที่เราคิด โดยไม่สนใจว่าเราพูดอะไรออกไป บางทีก็ด่าว่าเขา ทำให้เขาเจ็บช้ำน้ำใจหรือโกรธแค้น อันนั้นเป็นความหลง บางครั้งก็หลงถึงขั้นลงมือลงไม้ ยกพวกห้ำหั่นกันในนามของลัทธิที่แตกต่างกัน ยิ่งมีความเชื่อทางการเมืองที่แตกต่างกันก็ยิ่งทำร้ายกันหนักเข้าไปใหญ่ ถึงขนาดนี้ผู้คนก็ยังไม่รู้ว่านี้คือตัวหลง ให้เรารู้จักไว้ว่านี่คือ “ตัวหลง”

เวลาจมอยู่ในความคิด หลงในอารมณ์ ใจจะเตลิดเปิดเปิงไป ยากที่จะรู้เนื้อรู้ตัวได้ ยิ่งอารมณ์ครอบงำใจด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เราเมาเหมือนกับเมากิเลส เรียกว่าเมาอารมณ์ก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นความโศกเศร้า ความเสียใจ ความโกรธ เกิดขึ้นเมื่อใด ถ้าไม่รู้ตัวใจก็จมดิ่งเข้าไปในอารมณ์นั้น เป็นการยากที่จะรู้ทันอารมณ์ถ้าเราไม่ได้ฝึกสติมาเลย

สติช่วยให้เรารู้ทันความคิดและอารมณ์ที่ครอบงำจิตอยู่ สติเป็นตัวดึงจิตออกมาจากความหลง ออกมาจากความคิดและอารมณ์ กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว ทำให้เกิดความรู้สึกตัวขึ้นมา ถ้าเราไม่ฝึกสติ สติไม่เข้มแข็งว่องไว ใจก็จะหลงจมเข้าไปในความคิดและอารมณ์ เรียกว่าดิ่งลงไปเลยก็ว่าได้ คนทั่วไปเวลาจมอยู่ในอารมณ์ กว่าจะรู้ตัวได้ ต้องอาศัยตัวช่วย

อย่างเช่น เวลาเราใจลอย ฝันกลางวัน ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่ทำให้โศกเศร้า พอมีคนเรียกชื่อเราหรือมีคนมาแตะไหล่เรา เราก็จะได้สติ จิตกลับมาอยู่กับปัจจุบัน ทำให้เกิดความรู้สึกตัวขึ้น อย่างนี้ก็เรียกว่ามีสติ แต่ได้สติเพราะมีคนเรียกชื่อเราหรือมีคนแตะตัวเรา ทำให้จิตหลุดจากความคิดฟุ้งซ่าน หลุดจากอารมณ์มาได้

เวลาที่เราโกรธ หน้ามืดจนอาจทำอะไรลงไปโดยไม่รู้ตัว เช่น ต่อว่าบุพการี ต่อว่าลูก หรือต่อว่าคนรัก บางทีขว้างปาข้าวของ ถึงแม้จะรู้ว่าข้าวของอยู่ไหน แม้จะรู้ว่าต้องพูดอย่างไรเขาถึงจะเจ็บแสบ หรือรู้ว่าขว้างอะไรจะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งไม่พอใจ ก็รู้แค่นั้น แต่ไม่รู้ตัว พออารมณ์ได้รับการปลดปล่อยหรือลดลง เพราะด่าไปแล้ว ทำลายข้าวของไปแล้ว ตอนนั้นแหละสติจะมาทำงาน รู้ตัวขึ้นมา พอรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป ก็รู้สึกเสียใจ แล้วก็หลงเข้าไปในอารมณ์อีก แต่คราวนี้เป็นอารมณ์เสียใจ รู้สึกผิด จนกว่าจะมีคนมาพูดมาเตือนจึงค่อยได้สติหรือรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง

เมื่อเรามีสติรู้ทันความคิดและอารมณ์บ่อย ๆ ต่อไปก็จะรู้ทางว่าความคิดจะมาแบบไหน อารมณ์จะมาไม้ไหน คนเราเวลาจมอยู่ในอารมณ์ อารมณ์เหล่านี้จะพยายามครองจิตครองใจให้นานที่สุด มันมีลูกไม้หลายอย่าง เช่นเวลาเราโกรธ ความโกรธจะสั่งให้จิตส่งออกนอก ไปจดจ่ออยู่กับคนที่พูดไม่ดีกับเรา ทำไม่ดีกับเรา เราก็จะโกรธแล้วก็ด่าเขากลับ หรือถึงขั้นทำร้ายร่างกายเลย อันนี้เป็นอุบายของความโกรธ มันต้องการให้จิตเราส่งออกนอก จะได้ไม่หันกลับมาดูใจจนรู้ทันว่ามีอารมณ์เกิดขึ้น
การที่เราส่งจิตออกนอกเป็นเพราะความหลง ตลอดเวลาที่ส่งจิตออกนอกนี่เราไม่รู้ตัวนะ เพราะคิดว่าเป็นการทำงาน ตัวหลงก็มาเนียน ๆ ฉวยโอกาสที่เราจดจ่ออยู่กับงานตรงหน้า

บางทีเราอ่านหนังสือหรือดูรายงานใจก็เผลอแวบไปข้างนอก ไปดูอีเมล์บ้าง ดูข้อความทางโทรศัพท์มือถือบ้าง เสร็จแล้วก็เกิดความขุ่นมัวที่เห็นข้อความไม่ถูกใจ หรืออาจจะลิงโลดดีใจกับภาพที่ปรากฏอยู่ข้างหน้า นั่นก็เป็นความหลงเหมือนกัน ไม่ใช่หลงความคิดแต่เป็นหลงอารมณ์ หลงเข้าไปในอารมณ์ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นอยู่เป็นประจำในขณะที่เราทำงาน แต่ปะปนอยู่เราจึงไม่ได้สังเกต ครั้นเรามาปฏิบัติธรรม ทำสมาธิภาวนาก็จะเห็นชัดว่ามีการส่งจิตออกนอกอยู่ทุกนาทีเลยก็ว่าได้
เวลาจมอยู่ในความคิด หลงในอารมณ์ ใจจะเตลิดเปิดเปิงไป ยากที่จะรู้เนื้อรู้ตัวได้ ยิ่งอารมณ์ครอบงำใจด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เราเมาเหมือนกับเมากิเลส เรียกว่าเมาอารมณ์ก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นความโศกเศร้า ความเสียใจ ความโกรธ เกิดขึ้นเมื่อใด ถ้าไม่รู้ตัวใจก็จมดิ่งเข้าไปในอารมณ์นั้น เป็นการยากที่จะรู้ทันอารมณ์ถ้าเราไม่ได้ฝึกสติมาเลย

พระไพศาล วิสาโล
.........
Cr.Fwd Line

วันพุธที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2562

พอเพียง....


เจ้าจำไว้นะหนุมานปู่สอนเจ้าจงจำไว้
จน" แปลว่า "มีน้อย"
แต่ไม่ได้แปลว่า "ทุกข์"
"รวย" แปลว่า "มีมาก"
แต่ไม่ได้แปลว่า "สุข"
"พอเพียง" แปลว่า "มีพอ"
ก็ไม่ได้แปลว่า "ทุกข์" หรือ "สุข" "เสนาบดี ดื่มน้ำจากขัน ที่ทำด้วยทองคำ
เปรียบเทียบกับชาวนา ที่ดื่มน้ำจากกะลามะพร้าว
หากมีความพอใจ ย่อมจะมีความสุขเท่าๆ กัน"

ฉะนั้น...
จงใช้เวลา ที่เหลือ อย่างมีความสุข กับครอบครัว
กับคนรัก และกับเพื่อนดีๆ
ย้ำ กับเพื่อนที่ดี ที่มีความซื่อสัตย์
และจริงใจกับเรา !! ให้มันคุ้มค่า อย่างเต็มที่ สาธุ

............................
Cr.https://www.facebook.com/weloveourking.tv/photos/a.309431693193/10157251128263194/?type=3&theater

วันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2562

วิธีแก้เงื่อนมีมากกว่าหนึ่งวิธี


ในอดีตกาลนานมาแล้ว กษัตริย์องค์หนึ่งนาม กอร์ดิอัส ทรงผูกเชือกขดหนึ่งเป็นเงื่อนปริศนา บรรจงผูกอย่างสลับซับซ้อนเพื่อมิให้ใครแก้มันได้ และก็ไม่มีใครในแผ่นดินที่สามารถแก้เงื่อนนี้ได้ มันเรียกว่า เงื่อนกอร์เดียน (Gordian Knot)

วันหนึ่งอเล็กซานเดอร์มหาราชเสด็จผ่านเมืองนั้น เมื่อได้ยินคำเล่าลือเรื่องเงื่อนที่แก้ไม่ได้ ก็ทรงสนพระทัยที่จะแก้เงื่อน หลังจากทอดพระเนตรเงื่อนกอร์เดียนได้ครู่หนึ่ง ก็ทรงชักดาบออกฟันฉับเดียวเข้า เงื่อนกอร์เดียนที่ไร้ผู้แก้ได้ก็สิ้นความเป็นเงื่อน ขาดเป็นท่อนๆ !

บางคนบอกว่าการแก้ปัญหาอย่างนี้ผิดกติกา เพราะโจทย์ไม่ได้ให้ใช้ดาบแก้ปัญหา แต่อเล็กซานเดอร์มหาราชมองทะลุกรอบ มองข้ามวิธีแก้ปัญหาแบบเดิมๆ ทรงเห็นว่านี่มิใช่เงื่อนธรรมดา แก้ด้วยวิธีการธรรมดาไม่ได้ จึงทรงใช้ ‘เครื่องมือใหม่’ แก้ปัญหานี้ ฉับเดียวจบ ง่าย รวบรัดชัดเจน ใครอยากบ่นว่าพระองค์ทรงแก้ปัญหาผิดกติกา ก็บ่นไป แต่หากไม่ทำ ปัญหาก็ยังคงอยู่ 

คนมีปัญญาไม่ได้มองว่าจะใช้มือหรือดาบหรือหอกหรือไม้จิ้มฟันแก้ปัญหา คนมีปัญญาแก้ปัญหาตรงจุดเลย!

ในทุกวงการ เราจะพบปัญหาที่กรอบคิดแบบเดิมและกติกาเดิมกลายเป็นเงื่อนผูกคอตัวเองอย่างนี้ตลอดเวลา

ในวงการที่เน้นการใช้ความคิดสร้างสรรค์อย่างวงการโฆษณา สิ่งแรกที่บรรดาครีเอทีฟทำคือฟันเงื่อนขาดเป็นท่อนๆ ทลายกล่องทุกใบทิ้ง มิเช่นนั้นมองไปทางไหน ก็จะได้ยินแต่ “นี่ก็ทำไม่ได้” “นั่นก็ทำไม่ได้” สำหรับคนทำงานครีเอทีฟ วลีต้องห้ามคือ “ทำไม่ได้” เพราะพวกเขาเชื่อว่าในโลกของความคิดสร้างสรรค์ ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ ตัวอย่างงานสร้างสรรค์จำนวนไม่ถ้วนในโลกพิสูจน์ว่า จะสร้างสรรค์งานดี ต้องทำลายกรอบคิดเดิมก่อน อยากได้อะไรใหม่ ต้องกล้าแหกคอก

ผมจำได้ว่าตอนเริ่มเขียนหนังสือแนวทดลองโดยผสมงานเขียนเข้ากับ กราฟิก ดีไซน์ ก็ได้ยินเสียงบ่นว่า “ผิดกฎ” และ “ผิดขนบ” อยู่เสมอ นักเขียนและศิลปินจำนวนมากก็ผ่านเสียงบ่นว่า “ผิดกฎ” และ “ผิดขนบ” เดิม

ความคิดสร้างสรรค์ไม่ใช่เครื่องมือที่นักโฆษณาหรือนักเขียนผูกขาด ใครๆ ก็สามารถนำไปใช้ได้ แม้กระทั่งวงการเมือง

วิเคราะห์ดูดีๆ ตามเนื้อผ้า การเมืองบ้านเราในรอบสิบปีนี้เต็มไปด้วยกรอบคิดที่เราสร้างขึ้นมาครอบเราเอง ทำให้ติดอยู่ในกับดักของกรอบนั้น เช่น อย่างนี้คือประชาธิปไตย อย่างนั้นคือเผด็จการ อย่างนี้คืออนุรักษ์นิยม อย่างนั้นคือเสรีนิยม ถ้าเป็นอย่างนี้ก็เป็นอย่างนั้นไม่ได้ ถ้าอยู่ค่ายนี้ก็อยู่ค่ายนั้นไม่ได้ ถ้าไม่มีการเลือกตั้งก็ไม่มีประชาธิปไตย ฯลฯ เพราะมองทุกอย่างตัดขาดกันเด็ดขาดแบบขาวกับดำ จนลืมไปว่าเป้าหมายของการเมืองคือสร้างความสุขให้ประชาชนและพัฒนาชาติ ไม่ใช่เดินตามกรอบอย่างเดีย

เพราะกรอบเปลี่ยนได้เสมอ และประวัติศาสตร์ก็มีหลักฐานยืนยันว่า กรอบเปลี่ยนเสมอ

อย่างที่เติ้งเสี่ยวผิงว่า ไม่ว่าแมวขาวหรือแมวดำ ถ้าจับหนูได้ก็คือแมวที่ดี

อาร์เธอร์ ซี. คลาร์ก ยอดนักคิดนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์จึงกล่าวว่า “นักการเมืองควรอ่านนิยายวิทยาศาสตร์”

ความหมายของคลาร์กกว้างกว่านิยายวิทยาศาสตร์จริงๆ มันหมายถึงการรู้จักมองกว้างๆ มองไกลๆ ไม่จมอยู่แต่ในความคิดว่าทุกอย่างต้องทำตามทางที่เคยเดิน เพราะนั่นเป็นกับดักความคิดที่แย่ที่สุด

มองแบบนี้ก็อาจรู้ว่าเมื่อไรควรรักษาขนบเดิม และเมื่อไรควรทลายเงื่อนกอร์เดียนด้วยความคิดนอกกรอบ

และการเมืองไทยซับซ้อนเกินกว่าที่จะมองมุมเดียว และแก้ปัญหาด้วยวิธีเดิมเสม

อับราฮัม มาสโลว์ พูดไว้ในปี 1966 ว่า ถ้าเครื่องมือเดียวที่คุณมีคือค้อน คุณก็มองทุกอย่างเป็นตะปู

ปัญหาหนึ่งของการเมืองไทยก็คือ ทุกคนมีค้อนในมือ และเชื่อว่าตัวเองเป็นธอร์ผู้ถือค้อนวิเศษ แก้ปัญหาได้หมด

ผมทำงานในวงการสร้างสรรค์มากว่าสี่สิบปี มองโลกด้วย lateral thinking มาตลอดชีวิต มิฉะนั้นไม่มีทางที่จะสร้างงานหลากหลายได้ ผมเชื่อว่าถ้าไม่สามารถมองออกนอกกล่อง ก็ไม่มีทางมองโลกอย่างเข้าใจได้จริงๆ ดังนั้นใครที่ชอบสวมป้ายทางการเมืองให้ผม หรือบ่นว่า "ผิดหวังมากที่คุณวินทร์คิดอย่างนี้" มาถึงบรรทัดนี้ ก็อาจจะเข้าใจวิธีคิดของผมดีขึ้น

สรุปให้สามข้อคือ

1 เราเป็นคนสร้างกล่องขึ้นมาเองเสมอ

2 แมวที่ดีไม่ใช่แมวสีขาวหรือสีดำ มันเป็นแมวที่จับหนูได้

3 วิธีแก้เงื่อนกอร์เดียนมีมากกว่าหนึ่งวิธี

……………….

วินทร์ เลียววาริณ
https://www.facebook.com/winlyovarin/