วันศุกร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2566

มรรคองค์แปด

ธรรมะอรุณสวัสดิ์...รับวันใหม่ 

............................. 

ตอนที่พระพุทธเจ้าบำเพ็ญทุกรกิริยา 

ทรมานตนเองด้วยประการต่าง ๆ 

ที่เขาดงคสิริ อุรุเวลาเสนานิคม 

บำเพ็ญทุกรกิริยากลั้นลมหายใจบ้าง 

การไม่นุ่งห่ม 

การทรมานตัวเองด้วยการอดอาหารบ้าง 

ทำสารพัดอย่างที่ในสมัยนั้นเขาทำกัน 

ปัญจวัคคีย์จึงไปช่วยดูแลรับใช้อุปัฏฐาก 

ก็คิดว่าพระองค์ตรัสรู้แล้ว 

ก็จะได้แสดงธรรมให้กับเราได้ฟัง ได้เห็นธรรม 


พระองค์บำเพ็ญทุกรกิริยาอยู่ ๖ ปีด้วยวิธีการต่าง ๆ 

จนกระทั่งอดอาหารจนผอมชนิดที่เรียกว่า 

เอาพระหัตถ์แตะที่ท้องก็กระทบกระดูกสันหลัง 

แตะกระดูกสันหลังก็กระทบหน้าท้อง 

แสดงว่าผอม ท้องแฟบติดกระดูกสันหลัง 

ซี่โครงขึ้นเป็นเหมือนกลอนเรือน 

หนังพระเศียรเหี่ยวย่นเหมือนผลน้ำเต้าอ่อนตัดมาโดนแดดเหี่ยวย่น 

สะโพกแหลมเหมือนเท้าอูฐ ความผอม 

ดวงตาลึกลงไปเหมือนดวงดาวในน้ำ 

พอพระหัตถ์ลูบพระวรกาย โลมาขนก็หลุดร่วง เพราะขาดอาหาร 

แต่พระองค์ก็ทรงตั้งมั่นเด็ดเดี่ยวบำเพ็ญทุกรกิริยาอยู่ จนกระทั่งสลบไป 


พอได้ฟื้น พระองค์ก็เห็นว่า 

การทรมานตนเองเป็นการนำมาซึ่งความทุกข์ 

ก็ไม่สามารถจะบรรลุธรรมได้ ไม่สามารถจะตรัสรู้ได้ 

เป็นทุกข์เปล่า ๆ 

ก็นึกถึงการบำเพ็ญทางจิตใจที่จะต้องเจริญสมาธิภาวนา 

ร่างกายที่อ่อนแออย่างนี้ จะเจริญภาวนาเห็นจะไปไม่ได้ 

ต้องทำร่างกายให้แข็งแรงขึ้นมา 

พระองค์ก็เริ่มเสวยพระกระยาหารหยาบขึ้น 

ให้ร่างกายฟื้นตัวกลับคืนมา 

ทำให้ปัญจวัคคีย์หนีไป 

เข้าใจว่าพระองค์คลายความเพียร หันมาเป็นคนมักมาก 

หนีไปปฏิบัติอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี 


เมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้ว 

พระองค์ก็เห็นว่าปัญจวัคคีย์เป็นบุคคลที่สมควรจะโปรดก่อน 

พระองค์ก็เสด็จไป 


ฉะนั้นการแสดงธรรม พระองค์จึงต้องชี้ถึงทางสุดโต่ง 

ทางปฏิบัติที่สุดโต่ง 

ที่สุดของการปฏิบัติ ๒ อย่างที่ไม่ใช่ข้อปฏิบัติที่จะทำให้พ้นทุกข์ได้ คือ 


๑. กามสุขัลลิกานุโยค 

การประกอบตนพัวพันด้วยความใคร่ในกามทั้งหลาย 

พระองค์ตรัสว่า 

หีโน … เป็นของต่ำทราม 

คัมโม … เป็นของชาวบ้าน 

โปถุชชะนิโก … เป็นของคนชั้นปุถุชน 

อะนะริโย … ไม่ใช่ข้อปฏิบัติของพระอริยะ 

อะมัตถะสัญหิโต  … ไม่ประกอบด้วยประโยชน์เลย 

บรรพชิตไม่ควรเข้าไปข้องแวะ 

ในการพัวพันด้วยอำนาจความใคร่ในกามทั้งหลาย 


แล้วพระองค์ก็ได้ตรัสทางสุดโต่งข้อที่ ๒ คือ 

๒. อัตตกิลมถานุโยค 

การประกอบตนทรมานตนให้ลำบาก 

ทุกโข … เป็นสิ่งนำมาซึ่งความทุกข์

อะนะริโย … ไม่ใช่ข้อปฏิบัติของพระอริยะ 

อะมัตถะสัญหิโต … ไม่ประกอบด้วยประโยชน์เลย 


แล้วพระองค์ก็ได้แสดงทางสายกลาง 

ที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา ว่า 

ภิกษุทั้งหลาย 

มัชฌิมาปฏิปทา หนทางสายกลางนี้ 

เป็นข้อปฏิบัติที่ตถาคตตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้ว 

เป็นข้อปฏิบัติที่ทำให้เกิดจักษุ ทำให้เกิดญาณ 

เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความรู้พร้อม 

เป็นไปพร้อมเพื่อพระนิพพาน 

ข้อปฏิบัติอันประเสริฐประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ 


๑. สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ 

คือเกิดความรู้เห็นในทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ 


๒. สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ 

ดำริออกจากกาม ดำริออกจากการเบียดเบียน ดำริออกจากการพยาบาท 


๓. สัมมาวาจา เจรจาชอบ 

เป็นการพูดที่เว้นจากวจีทุจริตทั้ง ๔ 

เว้นพูดเท็จ เว้นพูดส่อเสียด เว้นพูดหยาบคาย เว้นพูดเพ้อเจ้อ 


๔. สัมมากัมมันตะ ทำการงานชอบ 

คือการงานที่เว้นจากทุจริตทั้ง ๓ 

เว้นฆ่าสัตว์ เว้นลักทรัพย์ เว้นประพฤติผิดในกาม 


๕. สัมมาอาชีวะ ประกอบอาชีพชอบ สุจริต 

เป็นอาชีพที่เว้นจากกายทุจริต วจีทุจริต 


๖. สัมมาวายามะ เพียรชอบ 

เป็นความเพียรที่ละบาปที่เกิดขึ้น เพียรระวังไม่ให้บาปใหม่เกิด 

เพียรเจริญกุศล เพียรรักษากุศลให้เจริญขึ้น 


๗. สัมมาสติ ความระลึกชอบ 

คือความระลึกเป็นไปในสติปัฏฐานทั้ง ๔ 

กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม 


๘. สัมมาสมาธิ ตั้งมั่นชอบ 

ซึ่งเป็นความที่จิตตั้งมั่น แน่วแน่ เป็นสมาธิ 

ปราศจากนิวรณ์ ปราศจากอกุศลธรรม 


นี่แหละภิกษุทั้งหลาย 

มัชฌิมาปฏิปทา หนทางสายกลาง 

คือมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ 

ที่ตถาคตได้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้ว 

เพื่อความสงบ ทำให้เกิดจักษุ ทำให้เกิดญาณ 

เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความรู้พร้อม เป็นไปพร้อมเพื่อพระนิพพาน 

มัชฌิมาปฏิปทา เจริญมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการนี้ 

............................. 

ธัมโมวาท โดยหลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี 

เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา

*****

Cr.https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid0VYVdSHzjsFwn17m8z9xiUGP4NUeS5MQH47tC4U4zLhycYJgmMYHF8VAJ5mt2KUtUl&id=100050180992815&mibextid=Nif5oz

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น