...ธรรมะจากหลวงปู่..
มีพระบาลีที่ปรากฏในคัมภีร์วิสุทธิมรรคว่า ชีวิตัง พยาธิ กาโล จะ เทหะนิกเขปะนัง คะติ ปัญเจเต ชีวะโลกัสะมิง อะนิมิตตา นะ นายะเร ซึ่งแปลว่า สิ่งที่ไม่มีนิมิตรหมาย สิ่งที่ไม่มีนิมิตรไม่มีเครื่องหมาย มีอยู่ ๕ อย่าง คือ
๑.ชีวิต
๒.พยาธิ
๓.กาลเวลา
๔.ป่าช้า
๕.คติที่จะไป
อะนิมิตตา นะ นายะเร อนิมิตตาได้แก่ สิ่งที่ไม่มีเครื่องหมาย นะ นายะเร คือ รุ้ไม่ได้ สิ่งที่ไม่มีเครื่องหมายนั้น กำหนดไม่ได้มี ๕ อย่าง คือ ประการที่ ๑ ชีวิต ชีวิตคือความเป็นอยู่ของเรา จิตของเราคือความเป็นอยู่ ชีวิตคือจิตนี่แหละความเป็นอยู่ ความเป็นอยู่ของ ความรู้สึก ความนึกคิด เป็นชีวิตจิตของเรา สภาวะที่รู้เรียกว่า จิต คือชีวิตคือความเป็นอยู่ อันนี้อย่าไปประมาท ไม่แน่ เวลาชีวิตของเรานี้จะหมดไปเมื่อใด อย่าไปประมาท ถ้าหากว่า ชีวิตนี้เหมือนคล้าย ๆ ไข่ตั้งอยู่บนเข็ม กระพริบเดียว ตัวชีวิตนี้อย่าไปประมาท ถ้ามันจะไปก็ไปเลย กระพริบเดี๋ยวเดียว ชีวิตของเราจิตของเรา
ประการที่ ๒ พยาธิ พยาธินี้คือโรคของเรา จะเอาชีวิตของเราไปเมื่อใด จะเกิดเมื่อใด โรคนี้ไม่แน่นอนอย่าไปประมาท ว่าเรา เวลานี้ยังไม่พยาธิ เป็นผู้มีอาพาธน้อย เวลาเมื่อยังไม่มีเป็นโรค เมื่อยังไม่เป็นโรคนี้ ไม่อาพาธ มีโรคน้อยนี้อย่าไปประมาท จงรีบทำความดีเจริญสมณธรรม รีบทำเสีย พยาธิ อย่าไปประมาทแล้วกาลเวลาเหมือนกัน
ประการที่ ๓ กาโล เราจะได้ตายก็ดี จะได้ธรรมะก็ดี ไม่ใช่เป็นกาลเวลา เวลากาลเมื่อใดนี้ มันถึงพร้อมแล้ว อินทรีย์เราพร้อมแล้ว จะได้เมื่อใดก็ได้ ไม่แน่ การที่จะได้บรรลุธรรมนั้น อย่างพระอานนท์นั้น จะได้ในเวลาเมื่อนอน ก่อนที่ท่านจะนอนท่านมีสติท่านได้ในระหว่างที่กำลังจะนอน เพราะฉะนั้นจึงเป็นอกาลิโก พระสารีบุตร ได้ตอนที่พัด ถวายงานพัดให้พระพุทธองค์ นี้ก็ไม่แน่นอน กาลเวลาที่จะได้ธรรมะนั้นไม่แน่เหมือนกัน ขออย่าไปประมาท ขอให้ทำไป ปฏิบัติไปด้วยสติ เมื่อถึงเวลาแล้ว อินทรีย์ของเราสุก แล้วก็เหมือนผลไม้หล่นลง หล่นออกจากขั้วเลย หลุดไปเลย ไม่จำกัดกาล
ประการที่ ๔ เทหะนิกเขปนะ คือหมายความว่าร่างของเรานี้ จะไปทอดทิ้งไว้ที่ใด พระพหิยะ ก็ยังได้ปรินิพพานที่กลางถนน สถานที่ไม่แน่ว่าเราจะตายที่ไหน ไม่แน่นอน การปรินิพพานพระสารีบุตรท่านก็ได้ไปปรินิพพานที่ห้องที่ท่านเกิด ท่านก็เอาห้องที่ท่านเกิดปรินิพพานที่นั่น ได้ปรินิพพาน เพราะฉะนั้นไม่แน่ ร่างของเราจะไปทิ้งที่ใด พระพาหิยะ เป็นพระอรหันต์ ร่างเอาไปไว้อยู่ที่ถนน แต่ได้เป็นพระอรหันต์และบรรลุอรหันต์ในระหว่างหนทางบิณฑบาตของพระพุทธองค์ พระพาหิยะ ไม่แน่ การทอดทิ้งร่างของเราจะไปที่ไหน ป่าช้าใด ไม่แน่ร่างของเราจะไปป่าช้าสันย่าแบนหรือป่าช้าดอยแก้ว หรือว่าในน้ำในอากาศไม่แน่นี้เป็นความไม่แน่
และประการที่ ๕ คติ คติการไปแห่งชีวิตเวลา เวลาจะถอดชีวิตจิตจะถอด จิตของเรา มนุษย์เรานี้โดยมาก ไม่แน่ แต่ว่าผู้ปฏิบัติธรรมนี้แน่ ผู้มีอภิญญา ผู้ปฏิบัติธรรมผู้เจริญวิปัสสนานี้แน่ เธอแน่อย่างใด คือว่า ได้สัมผัสกับการสวดมนต์ ทำวัตรสวดมนต์ การเดินจงกลม นั่งสมาธิ และเจริญวิปัสสนาสติปัฏฐานทั้ง ๔ จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคะติ ปาฏิกังขา จิตเต อสังกิลิฏเฐ สุคะติ ปาฏิกังขา ว่าจิตผู้ใดเศร้าหมองไปนรกเลย จิตของผู้ใดมีความผ่องแผ้ว สัมผัสกับสติปัฏฐานทั้ง ๔ ได้เจริญวิปัสสนา ผู้ที่ได้เจริญวิปัสสนา ได้สัมผัสกับสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ แน่นอนสุคติไปเป็นที่เกิด เพราะฉะนั้นจงหาที่มั่นใจ ว่าที่อุ่นใจที่พึ่งของใจ
พระพุทธองค์ได้ตรัสอีกตอนหนี่งว่า เธอจงอยู่อย่างมีที่พึ่ง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอจงอยู่อย่างมีที่พึ่ง อย่าอยู่อย่างไม่มีที่พึ่ง อันนี้เราได้ที่พึ่งคือเราได้การปฏิบัติธรรมเจริญวิปัสสนา อันนี้คือที่พึ่งในทางใจ ในหมู่ศรัทธาญาติโยมได้ที่พึ่งแน่นอนสุคติเป็นอันต้องหวัง เพราะฉะนั้นเราอย่าไปประมาท เราจะไหว้พระฟังธรรม เดินจงกลม นั่งสมาธิ และระลึกถึงสติปัฏฐานทั้ง ๔ สติปัฏฐานทั้ง ๔ อยู่เสมอ กาย เวทนา จิต ธรรม พองหนอ ยุบหนอ อยู่เสมอ ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ จะยืน เดิน นั่ง นอน ตัวสติต้องมีสติอยู่ เรียกว่า เป็นผู้มีที่พึ่ง คนใดอยู่ไม่มีที่พึ่ง อยู่อย่างไม่มีที่พึ่ง อยู่เป็นทุกข์ เป็นคนมีความทุกข์มาก คนที่ไม่มีธรรมะ คนนั้นเป็นคนที่ยากจนที่สุด คนที่มีศรัทธา มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา มีการเจริญวิปัสสนา เป็นคนที่มั่งมี เป็นคนที่ไม่ยากจน เพราะฉะนั้นขอให้หาความมั่นใจ และภูมิใจในที่พึ่งทางใจอย่างนี้ ต่อไปเราจะได้หาที่พึ่งทางใจ คือว่าเรากราบสติปัฏฐานแล้วเดินจงกลมนั่งสมาธิต่อไป ฯ
.............
(จากหนังสือ ธรรมะจากหลวงปู่ ๑๖ พระธรรมมังคลาจารย์ ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๗ เจ้าอาวาสวัดพระธาตุศรีจอมทอง วรวิหาร)
.................
................