วันเสาร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2566

บวชสึกๆๆ..เป็นอรหันต์ได้


 ธรรมะอรุณสวัสดิ์...รับวันใหม่ 

.............................

ในสมัยพุทธกาลมีบวชสึก บวชสึก 

สำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ 


มีนายคนหนึ่งตามวัว วัวมันหายไปทั้งวัน 

พอตามมาได้ก็หิว ก็แวะเข้าวัด 

วัดคงจะมีอาหารอะไรบ้าง 

พระก็เลยเอาอาหารที่เหลือให้กิน 

พอกินแล้วแกก็วัดนี่ดี บวชนี่ดี 

ถามพระว่า 

อาหารนี้วันนี้ท่านไปรับกิจนิมนต์มาหรือไร 


เปล่าหรอกโยม 

อาหารก็มีอย่างนี้เป็นประจำอยู่ 

เพราะพุทธศาสนามีผู้คนเลื่อมใสมากสมัยนั้น 


นายคนนี้ก็เลยคิดว่า 

เราเป็นฆราวาส เลี้ยงวัวเลี้ยงควาย 

กว่าจะได้อาหารกินยากลำบาก 

อย่ากระไรเลย เราบวชดีกว่า 

จะได้กินอาหารอิ่มหนำสำราญอย่างนี้ 

บวชมาเพื่อจะกินแท้ ๆ เลย 

พระก็บวชให้ 


พอบวชไปไม่ทันไรไม่กี่วันอ้วนท้วนขึ้น 

กินอาหารอิ่มหนำสำราญ มีเนื้อมีหนัง 

เขาก็นึกไปอีกว่า เราจะบวชไปทำไม 

เรามีกำลัง ไปทำมาหากินของเราดีกว่า 

ก็สึกเลย 

พระก็ยอม สึกก็สึก 

 

สึกไปเลี้ยงวัวควายไม่ทันไร 

ผอมอีกแล้ว อด ๆ อยาก ๆ 

มาขอบวชอีก พระก็ให้บวช 


เป็นอยู่อย่างนี้ บวช ๆ สึก ๆ อยู่ตั้ง ๖ ครั้ง 

จนพระก็เลยตั้งชื่อว่า พระจิตตหัตถะ 

ผู้ไปตามจิตตัวเอง 

อยากสึกเดี๋ยวอยากบวชอยู่อย่างนั้น 

บวชสึก สึกบวช อยู่ ๖ ครั้งไปแล้ว 

จนภรรยาก็ตั้งครรภ์ 


จนในวันหนึ่งเขากลับจากทำงานมา 

แล้วก็คิดว่าเราบวชดีกว่า 

ก็ขึ้นบ้านจะไปเอาผ้ากาสาวพัสตร์ที่เก็บไว้ในห้อง 

เห็นภรรยานอนหลับยังไม่ตื่นอยู่อย่างนั้น 

น้ำลายก็ไหล นอนกรนอยู่ 


เขาก็พิจารณาว่า 

เราเพียงยึดติดอยู่กับร่างกายของหญิงนี้ 

ซึ่งเหมือนกับซากศพ 

ต้องให้เราต้องสึก 

สึก ๆ บวช ๆ อยู่ถึง ๖ ครั้งแล้ว 

เขาก็คว้าผ้ากาสาวพัสตร์พันตัวออกจากเรือน 

แล้วก็บ่น ที่นี่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์

ที่นี่น่าเบื่อหน่าย เป็นทุกข์ 

เห็นภรรยาตัวเองนอนเหมือนศพ 

บ่นไป ไม่เที่ยง เป็นทุกข์หนอ 

ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ 


ส่วนแม่ยายซึ่งมีบ้านติด ๆ กัน 

เห็นลูกเขยผลุนผลันลงจากบ้าน บ่นไปอย่างนั้น 

มันเรื่องอะไรกัน 

ก็มาขึ้นบ้านลูกสาว เห็นลูกสาวนอนอยู่ 

ตีลูกสาว ปลุกให้ตื่นขึ้นมา 

มึงมัวมานอนอยู่ ผัวมึงไปแล้ว 

เอาผ้าจีวรไปบวชอีกแล้ว 


นางก็งัวเงียขึ้นมา 

แม่ ปล่อยเถอะ ไม่ช้าเดี๋ยวก็มาอีก 

ก็เห็นมาอยู่ตั้งหลายรอบ 


ฝ่ายนายจิตตหัตถะเดินบ่นไป 

ไม่เที่ยง เป็นทุกข์หนอ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์หนอ 

ปรากฏว่าสำเร็จเป็นโสดาบัน 

โยมจะบ่นอะไรก็บ่นเรื่องไม่เที่ยง เป็นทุกข์ 

เผื่อจะได้สำเร็จบ้าง 

บ่นไปอย่างนี้ ก็พิจารณาสังขาร เบื่อหน่ายเหลือเกิน 

สำเร็จเป็นโสดาบัน 


พอไปขอบวช พระก็ไม่อยากบวชให้แล้ว 

หัวเหมือนหินลับมีดแล้ว โกนหัวกันอยู่อย่างนี้ 

ท่านก็อ้อนวอน 

บอกขอบวชอีกสักครั้งเถอะ 

พระก็ยอมบวชให้ 


ท่านบวชแล้วท่านก็ปลีกไปปฏิบัติ 

ท่านเป็นโสดาบัน ท่านก็ไปเพียรปฏิบัติ 

ที่สุดท่านสำเร็จเป็นพระอรหันต์เลย 

เป็นถึงขั้นเป็นพระอรหันต์ 


เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้วท่านก็ไม่ได้ลาสิกขาแล้ว  

ตอนนี้พระพวก ๆ ก็มาล้อ มาถาม 

คุณจิตตหัตถะ ได้เวลาที่คุณจะสึกแล้วมัง 

ทำไมยังเฉยอยู่เล่า 

เพราะเห็นไม่กี่วันก็สึก 


ท่านก็บอกว่า 

ก่อน ๆ ที่ผมต้องสึกเพราะว่ายังข้องยังเกี่ยวอยู่ 

แต่บัดนี้ผมตัดได้แล้ว ตัดขาดแล้ว 


พูดอย่างนี้มันปฏิญาณตัวเองเป็นพระอรหันต์นี่ 

พระก็เลยนำเรื่องนี้ไปฟ้องพระพุทธเจ้า 

พระพุทธองค์ก็ประชุมสงฆ์ 

เรียกพระจิตตหัตถะมาเข้าเฝ้า 

แล้วพระองค์ก็รับรองให้ว่า 

พระจิตตหัตถะบุตรของเรานี้ 

ที่ยังไปอย่างนั้นเพราะยังข้องอยู่ 

แต่บัดนี้เป็นผู้สิ้นแล้ว สิ้นกิเลสได้แล้ว รับรอง 


พระก็คุยกันเรื่องนี้ 

คนมีบารมีที่จะเป็นพระอรหันต์ 

ทำไมต้องมาบวช ๆ สึก ๆ ถึงปานนี้ 

พระก็คุยกันวันต่อ ๆ มา 


พระพุทธเจ้าเสด็จมา เห็นพระกำลังคุยกัน 

ถาม ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอกำลังสนทนาอะไร 


ข้าพระองค์กำลังสนทนาถึงพระจิตตหัตถะพระเจ้าข้า 

ว่าบุคคลที่มีบารมีที่จะเป็นพระอรหันต์ 

แต่ทำไมต้องมาบวช ๆ สึก ๆ อยู่อย่างนี้ 

กิเลสเป็นของหยาบจริงหนอ 


พระพุทธเจ้าก็เลยตรัสว่า 

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย 

กิเลสเป็นของหยาบจริง 

อย่าว่าแต่พระจิตตหัตถะเลย 

แม้แต่บุรุษอาชาไนยอย่างเรา 

ยังบวชสึก ๆ อยู่ถึงตั้ง ๖-๗ ครั้ง 

พระองค์ก็ตรัสอย่างนั้น 


ภิกษุทั้งหลายก็สนใจ 

กราบทูลถามพระองค์เล่าเรื่องราวของพระองค์เอง 


พระองค์ก็เล่าเรื่องในอดีตชาติพระองค์ 

พระองค์ก็เคยบวช ๆ สึก ๆ มาแล้ว 

กิเลสเป็นของหยาบ 


ท่านเคยบวชเป็นดาบส 

สมัยนั้นไม่มีพุทธศาสนา 

ก็สละเพศเอง บวชเป็นดาบส 

ประพฤติวัตรปฏิบัติอยู่ในป่า ๘ เดือน 

แต่พอถึงฤดูฝนมาก็สละเพศกลับมา 

เอาลูกฟ่างลูกเดือยที่เก็บไว้ทะนานหนึ่ง 

กับจอบเหี้ยน ๆ มาขุดดิน 

โปรย ทำไร่ หว่านลูกเดือยข้าวฟ่าง 

พอถึงเวลาก็เก็บเกี่ยว 

แล้วก็เก็บลูกเดือยและข้าวฟ่างไว้ทะนานหนึ่ง กับจอบเหี้ยน ๆ 

แล้วก็ไปบวชใหม่ 


พอบวชไปได้ ถึงเวลาได้ฤดูฝน 

นึกถึงลูกเดือยข้าวฟ่างที่เก็บไว้กับจอบ 

ก็สึกออกมาอีก มาทำไร่อีก 

ก็เป็นอย่างนี้อยู่ ๖ ครั้ง 


พอครั้งที่ ๖ ผ่านไป แล้วก็มาคิดว่า 

เราต้องบวชสึก ๆ อยู่ถึง ๖ ครั้งแล้ว เพราะอะไร 

เพราะเพียงแค่ลูกเดือยและข้าวฟ่างเพียงทะนานเดียว 

กับจอบเพียงเหี้ยน ๆ เท่านี้หรือ 

ทำให้เราต้องบวช ๆ สึก ๆ มา ๖ ครั้ง 

อย่ากระนั้นเลย เอาไปทิ้งน้ำเถอะ 


ก็เลยหอบเอาลูกเดือยข้าวฟ่างห่อผ้ามัดกับจอบไปที่ริมแม่น้ำ 

หลับตา ควงจอบพ้นศีรษะแล้วก็เขวี้ยงไปในแม่น้ำ 

พอถึงได้ระยะหนึ่งค่อยลืมตา 

ที่ทำอย่างนั้นก็เพื่ออะไร 

เพื่อจะให้จำไม่ได้ว่าเขวี้ยงมันจมไปตรงไหน 

กลัวเดี๋ยวจะกลับมางมอีก ไม่ใช่อะไร 

รู้ว่ามันจมตรงไหนเดี๋ยวมางม 

หลับตาเขวี้ยงไปเลย 

ก็เลยเปล่งว่า 

ชนะแล้ว ชนะแล้ว เราชนะแล้ว


ปรากฏพระราชาซึ่งไปปราบกบฎมาหยก ๆ มาพักอยู่ ต้องการสรงน้ำ 

ได้ยินเสียงผู้มากล่าวว่าชนะ ชนะแล้ว 

พระราชาปกติใครมากล่าวอย่างนี้ไม่ได้ 

มันไม่มีใครจะมาเกินพระราชา 

เราต้องเป็นผู้ชนะฝ่ายเดียว 

ก็เลยเรียกตัวเข้าเฝ้า 

ถามว่า ท่านมากล่าวอะไรว่าชนะ 


อดีตพระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าชนะกิเลสตัวเอง  

พระองค์นั้นชนะข้าศึกภายนอก  

ชนะแล้วก็กลับแพ้ได้ 

แต่ข้าพระองค์ชนะข้าศึกภายในคือกิเลส 

แล้วก็เลยแสดงธรรม  

พระราชาเกิดศรัทธา สละบวชตาม 


พระองค์ก็นำเรื่องนี้มาเล่าว่า

กิเลสมันเป็นของหยาบ 

ขนาดพระองค์เป็นบุรุษอาชาไนย 

สั่งสมบารมีที่จะเป็นพระพุทธเจ้า 

ยังต้องบวช ๆ สึก ๆ ปานนั้น 


ฉะนั้นโยมที่มาบวช ๆ สึก ๆ ก็ไม่แปลกอะไร 

แต่ว่าเมื่อไรจะหลับตา เหวี่ยงที่เกาะติด ชนะแล้วบ้าง 

ชิตังเม ชนะแล้ว 

.............................

ธัมโมวาท โดยหลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี

เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา

*****

Cr.Fwd.line

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น