วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2565

แม่...

 


Cr.Fwd.line

เด็กหนุ่มดีกรีเกียรตินิยมเข้าไปสมัครงานในตำแหน่งผู้จัดการที่บริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง เขาผ่านการสอบสัมภาษณ์ในรอบแรกแล้ว เหลือแต่สอบสัมภาษณ์กับผู้จัดการใหญ่อีกหนึ่งด่าน 

เมื่อผู้จัดการใหญ่ได้อ่านประวัติของเด็กหนุ่ม ก็ต้องประหลาดใจ เพราะเด็กคนนี้มีประวัติการเรียนที่ดีมาก เขาได้อันดับหนึ่งมาตลอดตั้งแต่มัธยมจนถึงปริญญาโท 

ผู้จัดการใหญ่ถามเด็กหนุ่มว่า 

“คุณได้รับทุนเรียนฟรีหรือเปลา?”

“เปล่าครับ!” เด็กหนุ่มตอบ

“พ่อของคุณเป็นคนจ่ายค่าเทอมให้ใช่หรือเปล่า?” ผู้จัดการใหญ่ถาม

“พ่อผมเสียตั้งแต่ผมอายุได้ขวบเศษ แม่ผมต่างหากที่เป็นคนจ่ายท่าเทอม” เด็กหนุ่มบอก

“แม่ของคุณทำงานในบริษัทอะไรถึงมีรายได้ส่งเสียคุณเรียนสูงขนาดนี้?” ผู้จัดการใหญ่ถามต่อ

“แม่ผมรับจ้างซักผ้าครับ” เมื่อผู้จัดการใหญ่ได้ฟัง ก็ขอให้เขายื่นมือทั้ง2ข้างออกมา จึงเห็นมือที่สะอาดสะอ้านของเด็กหนุ่มคนนั้น 

“คุณเคยซักผ้าให้แม่ของคุณหรือเปล่า?”

“ไม่เคยครับ! แม่บอกให้ผมตั้งใจเรียน และแม่ผมก็ซักผ้าได้เร็วกว่าผมมาก!” ผู้จัดการใหญ่จึงบอกแก่เด็กหนุ่มว่า

“ผมมีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่ง วันนี้เมื่อคุณกลับถึงบ้าน ขอให้คุณล้างมือให้แม่ของคุณสักครั้ง แล้วพรุ่งนี้ค่อยกลับมาหาผม” เด็กหนุ่มรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะพรุ่งนี้เขาจะได้งานที่ดีทำแล้ว

เมื่อกลับถึงบ้าน เขาเห็นแม่กำลังง่วนอยู่กับการซักผ้ากองโต ซึ่งเป็นภาพที่ชินตา เขาเอ่ยขอล้างมือให้แม่ ผู้เป็นแม่รู้สึกกระดากใจแต่ก็ยื่นสองมือให้ลูกล้าง

เมื่อเด็กหนุ่มเห็นมือของแม่ก็รู้สึกตกใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นมือของแม่ที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของบาดแผล เขาก้มหน้าและจับมือของแม่ไว้แน่น พลันน้ำตาก็หยดลงมา เมื่อเขาเอามือของแม่จุ่มลงไปในถังน้ำ แม่ก็สะดุ้งชักมือขึ้นไปจังหวะหนึ่ง เมื่อเขาพิจารณาดู ก็เห็นมือของแม่มีบาดแผลอยู่หนึ่งที่ๆยังไม่หายสนิท แม่ใช้มือที่เต็มไปด้วยรอยแผลนี้รับจ้างซักเสื้อผ้าส่งเสียเขาเรียนจนจบมหาวิทยาลัย เพราะสองมือของแม่นี้ที่ทำให้เขาได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง

เมื่อเขาล้างมือให้แม่เสร็จ เขาก็ทำการซักเสื้อผ้ากองโตของลูกค้าแทนแม่ 

ค่ำวันนั้น สองแม่ลูกต่างย้อนอดีตเรื่องราวเรื่องแล้วเรื่องเล่าถูกนำมาพูดคุยกันเป็นเวลานาน

วันรุ่งขึ้น เด็กหนุ่มก็เดินทางไปพบผู้จัดการใหญ่ตามที่นัดไว้ 

เมื่อผู้จัดการใหญ่เห็นดวงตาที่บวมปูดของเด็กหนุ่ม ก็เอ่ยถามขึ้นว่า

“เกิดอะไรขึ้นกับคุณ?”

“ผมได้ล้างมือให้คุณแม่ และก็ได้ซักเสื้อผ้าของลูกค้าที่แม่ซักค้างไว้จนเสร็จ” เด็กหนุ่มตอบ

“เล่าความรู้สึกของคุณให้ผมฟังได้ไหม?” 

เด็กหนุ่มตอบออกไปว่า

“1.ผมเข้าใจคำว่าสำนึกคุณ เพราะหากไม่มีแม่ ผมคงไม่มีวันนี้

2.เมื่อผมได้ทำงานของแม่ ผมจึงรู้ว่าแม่ลำบากเพียงใด

3.ผมรู้ว่าความรักความผูกพันในครอบครัวเป็นสิ่งที่สำคัญและมันล้ำค่ามาก”

เมื่อผู้จัดการใหญ่ได้ฟัง ก็เอ่ยขึ้นว่า

“ผมต้องการผู้จัดการที่รู้จักคุณคน เข้าใจความทุกข์ของคนอื่น ไม่ใช่คนที่เห็นเงินเป็นพระเจ้า ยินดีด้วย คุณคือผู้จัดการคนใหม่ของบริษัทเรา ”

***

เด็กคนหนึ่ง หากถูกตามใจตั้งแต่เล็ก มีแต่คนล้อมหน้าล้อมหลังเอาใจ อะไรๆก็ “หนูก่อน....” โดยไม่รับรู้ว่าพ่อแม่ลำบากอย่างไร เมื่อเขาต้องไปทำงานในสังคม เขาก็คิดว่าเพื่อนร่วมงานต้องฟังเขา เอาใจเขา คนประเภทนี้ แม้ผลการเรียนจะดีเยี่ยม แม้จะได้รับการเชิดชูว่าเป็นเด็กเรียนดี แต่คนประเภทนี้ไม่อาจเจริญได้ในสังคม เขาจะอยู่กับคนอื่นอย่างไม่มีความสุข เขาจะมีแต่ความล้มเหลว หากเป็นอย่างนี้ คุณเป็นพ่อแม่ที่รักลูกหรือทำร้ายลูกกันแน่?

คุณอาจตามใจลูกให้มีที่อยู่ดีๆ กินอาหารดีๆ มีของเล่นของใช้ดีๆ แต่ในเวลาที่คุณตัดหญ้าในสนาม คุณควรให้ลูกเรียนรู้ที่จะเผชิญกับแดดอันร้อนระอุ หลังจากทานอาหารเสร็จ คุณควรให้ลูกได้ล้างถ้วยชาม ไม่ใช่เพราะคุณไม่มีเงินจ้างคนงาน แต่เป็นเพราะคุณรักลูกของคุณนั่นเอง! 


><

*******

Cr.Fwd.line

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น