วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ตะปูตอกใจ..


       พระพุทธเจ้าทรงสอนกรรมฐานตามเจโตขีลสูตรนำสติปัฏฐาน ...
       ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เชตวนาราม  ทรงสอนให้พระภิกษุทั้งหลาย ให้ละกิเลสอันเป็นเสมือนตะปูที่ตอกตรึงจิต ๕ ประการ และกิเลสที่ผูกพันจิต ๕ ประการ ซึ่งหากภิกษุไม่สามารถถอนกิเลสที่เปรียบเสมือนตะปูที่ตอกตรึงจิต และกิเลสที่ผูกพันจิต รวม ๑๐ ประการนี้ได้  ก็จะไม่มีความเจริญงอกงามไพบูลย์ในพระธรรมวินัย
       ตะปูตอกตรึงใจ ๕ ประการ เรียกสั้นว่า เจโตขีละ อันได้แก่มีกังขา  คือ
      ๑.สงสัยในพระศาสดา
      ๒.สงสัยในพระธรรม
      ๓.สงสัยในพระสงฆ์
      ๔.สงสัยในสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
      ๕.มักโกรธ ขัดใจใน สพรหมจารี คือผู้ประพฤติธรรมทั้งหลาย
       และกิเลสอันเป็นเครื่องผูกพันจิต ๕ ประการ คือ
      ๑.ความติดใจ ยินดีในกาม ทำให้จิตไม่มีสมาธิ
      ๒.ความติดใจ ยินดีในกายของตน  มุ่งที่จะทำนุบำรุงกายให้มีความสุข จะต้องอยู่ในที่ที่มีความสุขทางกาย
      ๓.ความติดใจ ยินดีในรูปภายนอกต่าง ๆ มุ่งแต่จะประดับตกแต่งให้วิจิตรพิสดาร จนไม่มีเวลาปฏิบัติธรรม
      ๔.ความที่กินและก็นอน ไม่ได้ทำอะไรให้เป็นประโยชน์ เสียทั้งทางโลกและทางธรรม
      ๕.ความปรารถนาที่จะไปสวรรค์ เป็นความปรารถนาที่สวนทางกับมรรคผลนิพพาน
*****
       และพระพุทธองค์ทรงสอนธรรมที่จะทำให้ไปสู่ความสำเร็จมรรคผล นิพพานคือ อิทธิบาท ๔ อันได้แก่ ฉันทะ วิริยะ จิตตะและวิมังสา และตรัสเพิ่มอีกข้อหนึ่ง คือ ขันติ อันหมายถึงความอดทน อดกลั้น  ซึ่งหากภิกษุทำกิจให้สำเร็จรวม ๑๕ ข้อ ข้างต้นที่กล่าวมาแล้ว  ก็จะทำให้การปฏิบัติทางสมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน ได้บรรลุถึงความสำเร็จได้....
*****
(เรียบเรียงจาก ธรรมะบรรยาย อบรมจิต ของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช และพระไตรปิฎกฉบับประชาชน)
*****


********

*******
นิวรณ์  (คลิก)

*********

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น