ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เชตวนาราม ทรงสอนให้พระภิกษุทั้งหลาย ให้ละกิเลสอันเป็นเสมือนตะปูที่ตอกตรึงจิต ๕ ประการ และกิเลสที่ผูกพันจิต ๕ ประการ ซึ่งหากภิกษุไม่สามารถถอนกิเลสที่เปรียบเสมือนตะปูที่ตอกตรึงจิต และกิเลสที่ผูกพันจิต รวม ๑๐ ประการนี้ได้ ก็จะไม่มีความเจริญงอกงามไพบูลย์ในพระธรรมวินัย
ตะปูตอกตรึงใจ ๕ ประการ เรียกสั้นว่า เจโตขีละ อันได้แก่มีกังขา คือ
๑.สงสัยในพระศาสดา
๒.สงสัยในพระธรรม
๓.สงสัยในพระสงฆ์
๔.สงสัยในสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
๕.มักโกรธ ขัดใจใน สพรหมจารี คือผู้ประพฤติธรรมทั้งหลาย
และกิเลสอันเป็นเครื่องผูกพันจิต ๕ ประการ คือ
๑.ความติดใจ ยินดีในกาม ทำให้จิตไม่มีสมาธิ
๒.ความติดใจ ยินดีในกายของตน มุ่งที่จะทำนุบำรุงกายให้มีความสุข จะต้องอยู่ในที่ที่มีความสุขทางกาย
๓.ความติดใจ ยินดีในรูปภายนอกต่าง ๆ มุ่งแต่จะประดับตกแต่งให้วิจิตรพิสดาร จนไม่มีเวลาปฏิบัติธรรม
๔.ความที่กินและก็นอน ไม่ได้ทำอะไรให้เป็นประโยชน์ เสียทั้งทางโลกและทางธรรม
๕.ความปรารถนาที่จะไปสวรรค์ เป็นความปรารถนาที่สวนทางกับมรรคผลนิพพาน
*****
และพระพุทธองค์ทรงสอนธรรมที่จะทำให้ไปสู่ความสำเร็จมรรคผล นิพพานคือ อิทธิบาท ๔ อันได้แก่ ฉันทะ วิริยะ จิตตะและวิมังสา และตรัสเพิ่มอีกข้อหนึ่ง คือ ขันติ อันหมายถึงความอดทน อดกลั้น ซึ่งหากภิกษุทำกิจให้สำเร็จรวม ๑๕ ข้อ ข้างต้นที่กล่าวมาแล้ว ก็จะทำให้การปฏิบัติทางสมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน ได้บรรลุถึงความสำเร็จได้....
*****
(เรียบเรียงจาก ธรรมะบรรยาย อบรมจิต ของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช และพระไตรปิฎกฉบับประชาชน)
*****
********
*******
นิวรณ์ (คลิก)
*********
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น