วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ปฏิจจสมุปบาท(๗)


....เพราะสัมผัสหรือผัสสะเป็นปัจจัย หรือว่าเพราะสัมผัสหรือผัสสะมีขึ้น เกิดขึ้น จึงเกิดเวทนา จึงมีเวทนา เพราะฉะนั้น เวทนาคือ สุข ทุกข์ หรือ มิใช่ทุกข์มิใช่สุข หรือว่าเวทนาที่จำแนกออกเป็น เวทนา ๕ ได้แก่ สุข ทุกข์ โสมนัส โทมนัส อุเบกขา ซึ่งมีอธิบายว่า สุขก็ได้แก่สุขทางกาย ทุกข์ก็ได้แก่ทุกข์ทางกาย โสมนัสสุขทางใจ โทมนัสทุกข์ทางใจ อุเบกขาก็คือความเป็นกลางๆ มิใช่ทุกข์ มิใช่สุข มิใช่โสมนัส มิใช่โทมนัส  แต่เมื่อย่อเข้าก็เป็นเวทนา ๓ ที่แสดงกันโดยมาก คือ สุข ทุกข์ และ อทุกขมสุข มิใช่ทุกข์มิใช่สุข เมื่อแสดงเวทนา ๓ ดั่งนี้ สุข ก็หมายถึงทั้งสุขทางกาย ทั้งสุขทางใจ ทุกข์ ก็หมายถึงทั้งทุกข์ทางกาย ทั้งทุกข์ทางใจ อทุกขมสุข มิใช่ทุกข์มิใช่สุข ก็หมายถึงอุเบกขาเป็นกลางๆ มิใช่ทุกข์มิใช่สุขทางกายทางใจ เพราะฉะนั้น แม้จะจำแนกเวทนาเป็น ๓ แม้จะจำแนกเวทนาเป็น ๕ ก็เป็นอันเดียวกันนั้นเอง ก็คือหมายถึงสุข ทุกข์ และ มิใช่ทุกข์มิใช่สุข เป็นกลางๆ ที่เป็นไปทางกายบ้างที่เป็นไปทางใจบ้าง  และท่านมีแสดงขยายความออกไปอีกว่า อันสุขทุกข์ทางกายนั้น ก็บังเกิดจากกายสัมผัส สัมผัสทางกาย คือสัมผัสสิ่งที่ถูกต้องทางกาย ส่วนสัมผัสทางตาที่เห็นรูปต่างๆ สัมผัสทางหูที่ได้ยินเสียงต่างๆ สัมผัสทางจมูกที่ได้ทราบกลิ่นต่างๆ สัมผัสทางลิ้นที่ได้ทราบรสต่างๆ และสัมผัสทางมโนคือใจที่ได้คิดได้รู้เรื่องต่างๆ ย่อมเป็นปัจจัยให้เกิดสุขทุกข์ทางใจ..(สมเด็จพระญาณสังวร)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น