วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2556

สัมมาทิฏฐิสูตร(๒๓)


 .....ท่านแสดงถึงญาณคือความหยั่งรู้ของพระพุทธเจ้าในราตรีที่ตรัสรู้ คือตั้งแต่ก่อนตรัสรู้ ทรงได้พระญาณ ๓ โดยลำดับ ในปฐมยามทรงได้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ความรู้ระลึกขันธ์เป็นที่อาศัยอยู่ในปางก่อนได้ คือระลึกชาติหนหลังได้ ทรงระลึกชาติหนหลังได้ไปมากมาย พร้อมทั้งความเป็นไปในชาตินั้นๆ ตลอดจนถึงชื่อโคตร สุขทุกข์ทั้งหลายเป็นต้นในชาตินั้นๆ ทรงระลึกได้สืบต่อกันมาโดยลำดับ จากชาตินั้น ก็มาสู่ชาตินั้น มาสู่ชาตินั้น เรื่อยมาจนถึงสู่ชาติปัจจุบัน และก็ย้อนหลังไปได้มากมาย ในมัชฌิมยามทรงได้จุตูปปาตญาณ คือความรู้ในจุติความเคลื่อน อุปบัติเข้าถึง ชาตินั้นๆ ของสัตว์ทั้งหลาย ว่าเป็นไปตามกรรม ทำกรรมชั่วไว้ก็ไปสู่ชาติที่ชั่วมีทุกข์ ทำกรรมดีไว้ก็ไปสู่ชาติที่ดีมีสุข ในปัจฉิมยามทรงได้อาสวักขยญาณ ความรู้เป็นเหตุสิ้นอาสวะ คือกิเลสที่ดองจิตสันดานทั้งหลาย ก็คือทรงหยั่งรู้ในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ อวิชชาดับไปหมด วิชชาบังเกิดขึ้น หรือวิชชาบังเกิดขึ้น อวิชชาดับไปหมด เหมือนอย่างความสว่างบังเกิดขึ้น ความมืดก็หายไป ตามพระญาณทั้ง ๓ ที่ท่านแสดงไว้นี้ ก็เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า เมื่อทรงได้พระญาณที่ ๑ ที่ ๒ ก็ยังมิได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ยังมีอวิชชาอยู่ คือแม้ว่าจะทรงระลึกชาติหนหลังได้เป็นอันมาก เรียกว่ารู้อดีตชาติ และทรงรู้ความเคลื่อนและความเข้าถึงชาตินั้นๆของสัตว์ทั้งหลาย ว่าเป็นไปตามกรรม ด้วยพระญาณที่ ๒ ก็ยังมีอวิชชาอยู่ จนถึงทรงได้ญาณที่ ๓ คือตรัสรู้ในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ อาสวะกิเลสที่ดองจิตสันดานสิ้นไป อวิชชาดับ วิชชาเกิดขึ้น จึงทรงดับอวิชชาได้ด้วยพระญาณที่ ๓ นี้....

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น