วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ปฏิจจสมุปบาท(๘)

...ตัณหาเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน คือเมื่อมีตัณหาความดิ้นรนทะยานอยาก ก็ย่อมมีอุปาทานคือความยึดถือ และอุปาทานนั้นท่านพระเถระก็ได้แยกออกเป็นอุปาทาน ๔ คือ กามุปาทาน ยึดถือกาม ทิฏฐุปาทาน ยึดถือทิฏฐิคือความเห็น สีลัพพตุปาทาน ยึดถือศีลและพรต อัตตวาทุปาทาน ยึดถือวาทะว่าตน ซึ่งอุปาทาน ๔ นี้ก็ได้แสดงอธิบายแล้ว เมื่อได้แสดงมาถึงลำดับของอุปาทาน เพราะมีตัณหาคือความดิ้นรนทะยานอยาก จึงมีอุปาทานคือความยึดถือ คือเพราะอยากจึงยึด ถ้าหากว่าไม่มีอยากซึ่งเป็นตัวตัณหา ก็ย่อมไม่มียึดซึ่งเป็นอุปาทาน..
....เพราะมีความยึดถืออยู่ดั่งนี้ จึงมี มัจฉริยะ ที่แปลกันว่าความตระหนี่เหนียวแน่น หวงแหน และเพราะมีมัจฉริยะคือความตระหนี่เหนียวแน่นหวงแหน จึงมีอารักขา คือการรักษาด้วยวิธีรักษาต่างๆ เป็นต้นว่า ต้องมีการถือกระบอง ถือท่อนไม้ ต้องมีการถือศัสตราวุธ ต้องมีการทะเลาะกัน ต้องมีการแก่งแย่งกัน ต้องมีการวิวาทกัน ต้องมีการกล่าวหากัน ว่าท่านนั่นแหละ ท่านนั่นแหละ หรือว่าเจ้านั่นแหละ เจ้านั่นแหละ ต้องมีการกล่าวส่อเสียด ต้องมีการกล่าวคำเท็จต่างๆ และก็จะต้องมีบาปอกุศลธรรมต่างๆ มากมาย บังเกิดขึ้นสืบต่อกันไปดั่งนี้...(สมเด็จพระญาณสังวร)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น