วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2564

นิพพาน

 ชีวิตหลังความตายมีจริงหรือไม่



มากันสองคนแต่มีคำถามเดียว
ชีวิตกับความตายอยู่คู่กันเสมอในทุกๆ ขณะ
ชีวิตไม่ใช่แต่สิ่งที่อยู่ก่อนหน้าความตายเท่านั้น
และ.....ชีวิตไม่อาจแยกขาดจากความตาย
ที่ไหนมีชีวิตที่นั่นมีความตายดำรงอยู่ด้วยกัน
ที่ไหนมีความตายชีวิตจะอยู่ที่นั่นด้วยเสมอ
การภาวนาจะช่วยให้เราเข้าใจในเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน
ในพุทธศาสนาเรียกว่า"เป็นดั่งกันและกัน"
หรือ Inter-being
เธอไม่สามารถจะดำรงอยู่อย่างแยกขาดจากสรรพสิ่งรอบตัว
เธอต้องเป็นดั่งกันและกันกับสิ่งรอบตัว
เช่น ซ้ายกับขวาต้องอยู่คู่กัน
ถ้าไม่มีขวาซ้ายก็อยู่ไม่ได้
หากไม่มีซ้าย ขวาก็จะมีไม่ได้
ไม่มีใครสามารถแยกซ้ายไปจากขวา
หรือแยกขวาไปจากซ้าย
ถ้าอาตมาให้ใครสักคนช่วยเอาซ้ายไปไว้ที่ Lower Hamlet
แล้วให้อีกคนเอาขวาไปที่ New Hamlet
นั่นย่อมเป็นไปไม่ได้
ซ้ายกับขวาต้องการอยู่ด้วยกัน
เพราะถ้าใครไปอีกฝ่ายก็อยู่ไม่ได้
นั่นชัดเจนมาก
เช่นเดียวกับบนและล่าง
ข้างบนดำรงอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีข้างล่าง
พุทธศาสนาเรียกสิ่งนี้ว่า"เป็นดั่งกันและกัน"
สรรพสิ่งต้องดำรงอยู่ร่วมกันในทุกๆขณะ
เมื่อพระเจ้าบอกว่า"แสงสว่างจงปรากฏ"
แสงสว่างตอบว่า"เดี๋ยวๆรอก่อน"
พระเจ้าถามว่า"เจ้ารออะไร"
แสงสว่างตอบ
"ฉันต้องรอความมืดมาถึงก่อน เราต้องปรากฏตัวพร้อมกัน"
เพราะแสงสว่างกับความืดเป็นดั่งกันและกัน
"แต่ความมืดมาถึงแล้วนะ"พระเจ้าบอก
"ถ้างั้นฉันก็พร้อมแล้ว"แสงสว่างตอบทันที
ความดีกับความชั่วก็เหมือนกัน
ก่อนกับหลัง
ที่นี่กับที่นั่น  ฉันกับเธอ
ฉันอยู่ไม่ได้ถ้าขาดเธอ
ดอกบัวอยู่ไม่ได้ถ้าขาดโคลนตม
ถ้าไม่มีโคลนตมดอกบัวย่อมไม่มี
สุขมีไม่ได้ถ้าปราศจากทุกข์
ชีวิตมีไม่ได้ถ้าปราศจากความตาย
และเมือนักชีววิทยาศึกษาร่างกายของมนุษย์
เขาพบว่าชีวิตและความตายดำรงอยู่ร่วมกันในร่างกายนี้
ณ ปัจจุบันขณะ เซลล์หลายพันเซลล์กำลังจบชีวิตลง
เมื่อเธอเกาผิวหนังเศษซากเซลล์จำนวนมากหลุดร่วงไป
เซลล์ที่ตายแล้ว
เซลล์จำนวนมากในร่างกายกำลังตายอยู่ทุกขณะ
เพราะเธอยุ่งมาก เธอจึงไม่เห็นว่าเธอกำลังตายด้วย
เซลล์ตายก็คือเธอตาย
เธอคิดว่าเธอยังไม่ตายง่ายๆ
ต้องรออีกตั้ง ๕๐ หรือ ๗๐ ปีใช่ไหม นั่นไม่ใช่ความจริง
ความตายไม่ใช่สิ่งที่รอเราอยู่ในอนาคต
แต่อยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้
ความตายอยู่ที่นี่ เดี๋ยวนี้ในทุกๆ ขณะ
เพราะเซลล์เก่าๆ ตายลงนั่นเอง 
เซลล์ใหม่ๆจึงมีโอกาสเกิดขึ้นแทนที่
เซลล์จำนวนมากกำลังเกิดขึ้นในขณะนี้
มากจนไม่มีเวลาพอจะจัดงานวันเกิดให้พวกมันได้ทัน
ดังนั้น ความจริงทางวิทยาศาสตร์ก็คือ
เราพบการเกิดกละการตายอยู่ตลอดเวลาในปัจจุบันขณะ
และเพราะเซลล์เก่าตายไป เซลล์ใหม่ๆจึงเกิดขึ้น
เพราะเซลล์ใหม่ๆเกิดขึ้นมา เซลล์เก่าๆ จึงจะตายได้
พวกมันพึ่งพากันและกันในการดำรงอยู่
เธออยู่กับทั้งตายและเกิดในทุกๆขณะ
อย่าคิดว่าตัวเธอเกิดขึ้นในเวลาใดเวลาหนึ่่ง ตามสูติบัตร
นั่นเป็นแค่ขณะหนึ่งที่ถูกบันทึกไว้
ไม่ใช่ขณะแรกที่สุดที่เธอเกิดขึ้นมา
เพราะก่อนหน้านั้น"เธอ"ก็ดำรงอยู่แล้ว
ก่อนจะมีใครรับรู้ว่าเธออยู่ในมดลูกของแม่
เธอดำรงอยู่ในร่างกายของทั้งพ่อและแม่มาแล้ว
แต่อยู่ในรูปที่ต่างออกไป
แท้จริงแล้วจึงไม่มีการเกิดไม่มีทั้งจุดเริ่มต้นและสิ้นสุด
เมื่อเรารู้ว่าทั้งการเกิดและการตายอยู่คู่กันเสมอ
เราจึงไม่กลัวตายอีกต่อไป
เพราะในขณะแห่งความตายก็มีบางสิ่งเกิดขึ้นด้วย
ทั้งเกิดและตายมาคู่กัน ไม่อาจแยกจากกัน
นี่เป็นผลจากการภาวนาอย่างลึกซึ้ง
การใช้สมองคิดอย่างเดียวไม่พอ เธอต้องเฝ้าดูชีวิต
ในชีวิตประจำวัน
เฝ้าดูการเกิดและตาย ดูสรรพสิ่งที่เป็นดั่งกันและกัน
ในพืชและสัตว์ ในดินฟ้าอากาศ ในสสารและพลังงาน
นักวิทยาศาสตร์ยืนยันแล้วว่า
ที่จริงไม่มีการเกิดและการตาย มีแต่การแปรสภาพ
การแปรสภาพเท่านั้นที่เป็นจริง
การเกิดและการตายไม่ใช่ความจริง
สิ่งที่เธอเรียกว่าเกิดและตาย
ที่จริงคือการแปรสภาพเปลี่ยนรูปไป
หากเธอทำการทดลอง
โดยเอาสารสองชนิดขึ้นไปมาทำปฏิกิริยาต่อกัน
สิ่งที่เกิดขึ้นคือการแปรสภาพ
ซึ่งอาจจะคิดว่าสารตั้งต้นแต่ละชนิดสูญหายไป สาบสูญไป
แต่หากมองอย่างลึกซึ้งจะพบว่า สารตั้งต้นยังคงอยู่
แต่อยู่ในสภาพที่ต่างไปจากเดิม
ในวันที่ฟ้าปลอดโปร่งเธออาจมองไม่เห็นก้อนเมฆ
แล้วคิดว่าก้อนเมฆตายไปแล้ว
แต่ที่จริงก้อนเมฆยังคงอยู่เสมอเพียงแต่แปรสภาพ
ไปเป็นฝนหรือสิ่งอื่น
เกิดและตายจึงเป็นแค่เปลือกนอก
ลึกลงไปแล้วไม่มีทั้งเกิดและตาย มีแต่ความสืบเนื่อง
เมื่อเธอได้สัมผัสถึงความสืบเนื่อง
ถึงธรรมชาติอันปราศจากการเกิดและตาย
เธอก็ไม่กลัวตายอีกต่อไป
ไม่ได้มีแต่ชาวพุทธเท่านั้นที่บอกว่าเกิดและตายไม่มีอยู่จริง
วิทยาศาสตร์กำลังบอกสิ่งเดียวกัน
ศาสตร์ทั้งสองสามารถแลกเปลี่ยนความรู้กันซึ่งจะน่าสนใจมาก
นี่คือคำเชิญชวนให้พวกเราใช้ชีวิตอย่างพินิจพิจารณา
เพื่อสัมผัสชีวิตอันแท้จริงของเราที่ไม่มีทั้งการเกิดและการตาย
การชักชวนให้ลงมือปฏิบัติ
ให้ใช้ชีวิตด้วยสติและสมาธิ
 เพื่อให้เธอสัมผัสด้วนตนเองถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันขณะ
เพื่อให้สัมผัสเดิมแท้ของสัจจธรรม อันไม่มีทั้งเกิดและตาย
ในพุทธศาสนาเราเรียกสิ่งนี้ว่า นิพพาน
นิพพานคือไม่เกิดและไม่ตาย
ศาสนาคริสต์อาจเรียกว่า สิ่งสูงสุดหรือพระเจ้า
พระเจ้าคือธรรมชาติเดิมแท้ที่ไม่เกิดไม่ตาย
เราไม่จำเป็นต้องต้องแสวงหาพระเจ้าจากที่ใด
เพราะพระเจ้าคือเราทุกคน
เหมือนกับเกลียวคลื่น
ที่หลงคิดว่าตนเองต้องเกิดแล้วก็ตาย
ดังนั้น ทุกครั้งที่ทะยานขึ้นและเริ่มม้วนตัวลง
เธอก็กังวลถึงความตาย เป็นเกลียวคลื่นที่กลัวตาย
แต่หากเธอตระหนักว่าตัวเธอก็คือน้ำ 
เธอจะไม่กลัวอีกต่อไป
เมื่อทะยานขึ้นเธอคือน้ำ เมื่อม้วนตัวลงเธอก็ยังคงเป็นน้ำ
แม้หลังคลื่นสลายไปแล้วเธอก็ยังคงเป็นน้ำอยู่เช่นเดิม
ไม่มีสิ่งใดตาย
การฝึกภาวนาจึงสำคัญมากสำหรับเกลียวคลื่น
เพื่อจะได้ตระหนักว่าแม้เธอเป็นคลื่น
เธอก็เป็นน้ำด้วยในขณะเดียวกัน
เมื่อรู้ชัดว่าเธอเองก็คือน้ำ เธอจะไม่กลัวตายอีกต่อไป
เธอจะม้วนตัวขึ้นอย่างมีความสุข ม้วนตัวลงอย่างมีความสุข
เธอเป็นอิสระจากความกลัว
ก่อนเมฆทั้งหลายก็เช่นกัน ก้อนเมฆไม่กลัวตาย
เพราะรู้ว่าหากเปลี่ยนสภาพจากเมฆแล้วเธอจะดำรงอยู่ต่อไปในรูปแบบอื่น
ที่งดงามไม่แพ้กัน เป็นสายฝนเป็นละอองหิมะ
เมื่อเกลียวคลื่นไม่ต้องออกเดินทางเพื่อแสวงหาผืนน้ำ
ไม่ต้องเฝ้าหาผืนน้ำเพราะเธอเองก็เป็นน้ำ ที่นี่เดี๋ยวนี้แล้ว
การแสวงหาพระเจ้าก็เช่นกัน
เธอไม่จำเป็นต้อง เฝ้าค้นหาพระเจ้า
เราคือพระเจ้า พระเจ้าคือธรรมชาติเดิมแท้ในตัวเรา
และเธอก็ไม้ต้องค้นหานิพพาน
เพราะนิพพานมีอยู่แล้วในตัวเธอ
นี่คือคำสอนของพระพุทธองค์
พวกเราบางคนตระหนักถึงความจริงนี้ได้แล้ว
เราจึงสงบอยู่ในปัจจุบันขณะ
และรู้ชัดว่าเราจะไม่มีวันตาย

***************




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น