ขอบพระคุณที่เข้ามาชมครับ..
วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2564
วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2564
วัดธรรมาภิรตาราม(สะพานสูง) บางซื่อ
วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2564
ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง
ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง...
ชายหนุ่ม หญิงสาวคู่หนึ่งได้พบกับท่านตาอายุเกือบเก้าสิบปี ทั้งสามพบกันโดยบังเอิญเพราะถนนด้านหน้ามีไม้ล้มขวางทาง ตอนนี้ทางการกำลังให้คนมาขนย้าย พวกเขาจึงรอที่ศาลาพูดคุยกัน
หญิงสาวเอ่ยถาม "ท่านตาอายุมากแล้ว ไฉนยังเดินทางเพียงลำพัง"
ชายชราตอบด้วยสีหน้าอ่อนโยน "ครอบครัวข้าจากไปหมดแล้ว เหลือเพียงข้าผู้เดียว"
ชายหนุ่ม "ท่านจะไปไหนหรือ ให้ข้าไปส่งดีหรือไม่"
ชายชราส่ายหน้า "ไม่ต้องหรอก ข้าเดินทางไปเรื่อยๆ ค่ำไหนนอนนั่น ไม่มีอะไรต้องห่วง ชีวิตข้าข้ามผ่านภูเขา ทะเลกว้างมาแล้ว ไม่มีอะไรต้องกังวล หวาดกลัว ที่สำคัญแม้ครอบครัวจะจากไปแล้ว แต่เดี๋ยวข้าก็ได้พบพวกเขาจะคิดมาไปทำไมกัน"
หญิงสาวได้ฟังก็รู้สึกอยากสนทนาด้วย "ท่านตา สิ่งใดที่ทำให้ท่านมีความสุขที่สุดในชีวิตหรือเจ้าคะ"
"ตราบที่ข้ายังมีประโยชน์ข้าก็มีความสุขที่สุด"
หญิงสาวแปลกใจในคำตอบจึงถามต่อ "แล้วสิ่งใดที่ทำให้ท่านเสียใจที่สุดเจ้าคะ"
"เมื่อใดที่ข้าไร้ประโยชน์ต่อโลกใบนี้ นั่นคือความเสียใจที่สุด"
ชายหนุ่มแย้งว่า "ท่านตา ท่านจะแบกโลกไว้ทั้งใบไม่ได้นะขอรับ สรรพสิ่งมีวิถีตามครรลองของมันเอง ยามนี้ท่านแก่ชราแล้ว สมควรหยุดพัก"
ชายชราหัวเราะ "พ่อหนุ่ม ยามที่เจ้าชวนข้าคุยก็เท่ากับข้าได้ทำประโยชน์แล้ว การทำประโยชน์ให้โลกใบนี้ไม่ใช่แค่การแบกหาม หรือไปเที่ยวแบกความรู้สึกของใคร แต่เป็นสิ่งที่เราสมัครใจทำ เพื่อให้การดำรงอยู่มีคุณค่ามากที่สุด"
ชายชราผายมือให้คนหนุ่มสาวได้เห็น "พวกเจ้าเห็นต้นไม้ไหม ต้นไม้อยู่กับที่แต่กลับให้คุณมากมาย พวกเขาให้ร่มเงา ให้อากาศที่บริสุทธิ์ เป็นที่พักพิงแก่เหล่าสัตว์มากมาย บ้างเป็นอาหารให้ทั้งคนและสัตว์ ขนาดพวกเขาเคลื่อนย้ายตนเองไม่ได้ ยังคงมีประโยช์มากมาย แล้วคนอย่างเราจะไม่ทำประโยชน์ให้ผู้อื่นเลยหรือ"
ชายหนุ่มพยักหน้ารับฟัง "ข้าขอถามหน่อยเถอะท่านตา แล้วในวัยของท่านตอนนี้ นอกจากพูดคุยแล้ว ท่านทำอะไรได้อีกบ้างขอรับ"
ชายชราหัวเราะร่า "เยอะแยะเลย ข้าเคยช่วยนกที่ตกน้ำให้รอดตายได้
ข้าเคยเดินผ่านครอบครัวยากจนและหยุดสอนหนังสือเด็กๆอยู่สามเดือนจนพวกเขา นับเลขได้ คิดเลขเป็น
ข้าเคยทานอาหารแล้วเห็นขอทานสองคนพ่อลูกเดินทางผ่านมา ข้าชวนพวกเขามาทานอาหารด้วย แต่เมื่อร้านไม่อนุญาต ข้าก็แค่ซื้อไก่ให้พวกเขาคนละน่อง หมั่นโถวสามลูกต่อคนและน้ำอีกหนึ่งถุงต่อคน
ข้าเคยช่วยหญิงชราวัยเดียวกันถือของกลับบ้านนาง นางแก่มากแล้ว แต่ยังต้องทำงานเลี้ยงลูกที่พิการ
ข้าเคยนั่งฟังหญิงหม้ายที่สามีทอดทิ้งและนางจะพาลูกชาย ลูกสาวมาโดดแม่น้ำตาย ข้านั่งคุยครึ่งค่อนวันจนนางยอมวางโศกเศร้าและจูงลูกๆกลับบ้าน ข้าแอบตามไปเห็นนางปาดน้ำตาทำครัวให้ลูกๆกิน และบอกลูกๆว่าต่อไปต้องช่วยนางทำสวนนะจะได้ไม่อดตาย
ข้าไม่ได้ทำการใหญ่อะไรเลย แค่ทำประโยชน์เล็กๆน้อยก็เท่านั้น แม้จะไม่ยิ่งใหญ่ แต่นกน้อยตัวนั้นก็ยังรอดชีวิต พ่อลูกคู่นั้นไม่ต้องหิวตายในวันนั้น
ครอบครัวหนึ่งสามารถคิดเลขได้เป็น ก็จะไม่โดนหลอกเวลาไปซื้อของ
หญิงชราผู้นั้น วันนั้นนางได้พักเหนื่อยหนึ่งวัน เพราะมีคนช่วยแบกของ
ข้าช่วยให้สามแม่ลูกรอดชีวิตได้ เพราะแค่นั่งฟังนางระบายความในใจ
... ก็แค่นั้นเอง ชีวิตคนเรามันก็แค่นั้นเอง"
ชายหนุ่มหญิงสาวรู้สึกประทับใจมากๆกับคำสอนของชายชรา ใช่แล้วการดำรงอยู่บนโลกใบนี้ ไม่จำเป็นต้องบริจาคทรัพย์นับล้าน หรือทำอะไรมากจนเกิดกว่าที่ตัวเราจะทำได้ ทว่าหากเพียงทำสิ่งเล็กๆในแต่ละวัน ให้คนที่อยู่ใกล้ๆเราขณะนั้นรู้สึกดี มีกำลังใจ สุขใจ หรือขอบคุณในใจได้ แค่นั้นก็มากพอแล้ว
ชายหนุ่มหญิงสาวเห็นทางการเลื่อนไม้ออกแล้ว จึงหันมาชวนชายชราให้เดินทางต่อ แต่ชายชราหายไปแล้ว พวกเขางุนงงจึงออกเดินทางไป เพียงผ่านจุดที่ต้นไม้ล้มไปเพียงไม่กี่ก้าวกลับเห็นรูปปั้นผู้เฒ่าคนนหนึ่งยืนยิ้มตระหง่านอยู่ พวกเขาถามทหารแถวนั้นว่าชายผู้นี้คือใคร
ทหารตอบว่า "เป็นพ่อเฒ่าท่านหนึ่งแซ่หู ท่านเป็นคนทางเหนือ เดินทางมาทางใต้จนลงหลักปักฐานที่นี่ ครอบครัวนี้ดีมาก มักทำบุญทำทาน ช่วยเหลือผู้คนไปทั่ว จนวันหนึ่งครอบครัวทะยอยจากไปเหลือผู้เฒ่าเพียงลำพัง ท่านผู้เฒ่ามักท่องเที่ยวไปทั่ว สร้างรอยยิ้มให้ผู้คน และสอนเรื่องดีๆ แต่ท่านจากไปได้สิบปีแล้ว ท่านเป็นที่รักของชาวบ้านแถวนี้มากๆ ทุกคนเคารพท่านเหมือนเทพประจำหมู่บ้านก็ว่าได้"
ทหารเล่าจบก็หันไปขนท่อนไม้ที่ผ่าไว้เป็นท่อนๆ ให้ออกไปพ้นทาง
ชายหนุ่มหญิงสาวยกมือไหว้ "ขอบคุณที่ชี้ทางพวกเรา การทำความดี ทำเพียงเล็กน้อย แต่ทำอย่างสม่ำเสมอก็นับว่าวิเศษแล้วจริงๆ"
*****
Cr. Fwd line