วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2557
ธรรมะ
...ธรรมะ คืออะไร...
"...ธรรมะ แปลว่า ทรง, รับมา ,เอามาตั้งไว้ในใจ..."
...สิ่งที่เป็น อัพยากตธรรม มี หนึ่ง ดิน น้ำ ไฟ ลม คือ รูป
สอง คือ นิพพาน นิพพาน ไม่ใช่ ทั้งกุศล และอกุศล...
"...นิพพานคืออะไรอยากทราบใหม? อยากรู้จักใหม?
...อยากสัมผัสใหม ? เดี๋ยวจะลองให้สัมผัส !!!"
"...จิตที่มีโลภ โกรธ หลง ตระหนี่ รำคาญ จิตที่มีใจใฝ่ชั่วนี่เกิดนี่ สบายใจหรือไม่สบายใจ ?.."
"..จิตที่ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง โอบอ้อม อารี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เฉลียวฉลาด มีสติปัญญามาก นี่ดีหรือไม่ดี ?"
"...ฟังให้ดีนะ..เมื่อกี้ โลภ โกรธ หลง ไม่ดี...ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง นี่ดีใช่ใหม ?"
" ...ของคุณ ตอนนี้ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ใช่ใหม ?...
แต่อนาคตโดนยั่ว จะโกรธใหม? ".......??..........
" แต่ถ้าบรรลุนิพพานจะเกิดภาวะ สิ้นโลภ สิ้นโกรธ สิ้นหลง โดยสิ้นเชิง ไม่เกิดขึ้นอีกเลย"
"นิพพานคือภาวะ สิ้นโลภ สิ้นโกรธ สิ้นหลง โดยสิ้นเชิง ไม่เกิดขึ้นอีกเลย"
" เมื่อใดที่ภาวนาเต็มที่ คิดดีเต็มที่ จนมันมั่น จนมันทรง จนมันตั้ง...ก็จะถึงภาวะ ที่สิ้นโลภ สิ้นโกรธ สิ้นโง่แล้ว คือรู้แจ้งอริยสัจสี่แล้ว ตรงนั้นก็บรรลุ นิพพาน..."
" ถ้าไม่บรรลุล่ะ...ใกล้นิพพานก็ยังดี.."
(ภิกษุณี นันทญาณี)
จิต (คลิก)
เวทนา(คลิก)
กาย (คลิก)
วันจันทร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2557
จิต
...ตอนที่ปฏิสนธิในท้องแม่ครั้งแรก...เกิด หทยรูป...จะเกิดรูปหัวใจก่อน .."หัวใจ"นี้จะเกิดพร้อม"วิญญาณ"ที่ปฏิสนธิทันทีเลย เกิดพร้อมกัน..ไม่ก่อนไม่หลังกัน..อันนี้พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วเอามาสอน...หทยรูป มีขนาดเล็กมาก หลังจากนั้น หทยรูป ก็ก่อหวอดด้วย ดิน น้ำ ไฟ ลม เติบโตขึ้นมาแล้วขยายออกไปเป็นหัว แขน ขา ประสาท ฯลฯ หทยรูปจะเป็นที่เกิดของวิญญาณต่อเนื่อง วิญญาณจะเกิดดับ ๆ ๆ....ดิน น้ำ ไฟ ลม ที่แม่บริโภคเข้าไปก็หล่อเลี้ยงให้เติบโตขึ้น...ถ้า"วิญญาณ" ดับ ดิน น้ำ ไฟ ลม นี้ก็ " เน่า " ก็เรียกว่า " แท้ง " ออกมา....
(ธรรมะบรรยาย โดย ภิกษุณี นันทญาณี)
ธรรม (คลิก)
เวทนา (คลิก)
กาย (คลิก)
วันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2557
เวทนา
******
..ความจำ เกิดจาก ความรับรู้..
..ความรู้สึก เกิดจาก ความรับรู้..
..ความคิดดี คิดชั่ว ก็เกิดจาก ความรับรู้..
..พระพุทธเจ้า จึงสอนเราว่า..
..ใครอยากมีชีวิตให้มี ความสุข ความเจริญ
ที่เรียกว่า " มงคล "..
...อันดับแรกที่ให้ปฏิบัติ คือ อเสวนา จะ พาลานัง...
(ภิกษุณี นันทญาณี)
******
กาย(คลิก)
จิต (คลิก)
ธรรม(คลิก)
วันเสาร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2557
กายในกาย
*******
...สติระลึกรู้ กายในกาย...
...กาย คือ กองดิน น้ำ ไฟ ลม...
...กองดิน น้ำ ไฟ ลม ที่สกปรก...
...ตาปัญญาไม่เกิด..มองไม่เห็น...
........
ภิกษุณี นันทญาณี
วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2557
สังขารร่างกาย
********
สังขารร่างกาย ต้องกลายเป็นผี
อยู่ในโลกนี้
ไม่มีเเก่นสาร
ทรัพย์สินเงินทอง
เป็นของสาธารณ์
ไม่ใช่ของท่าน
ลูกหลานต้องลา
อย่ามัวประมาท โอกาศยังมี
อย่าหลงโลกีย์ จะมีปัญหา
โลกนี้เเท้จริง
เป็นสิ่งมายา
เป็นสิ่งลวงตา
ใช่ว่าจีรัง
.....................
สังขารร่างกาย ไม่ใช่ตัวตน
เกิดมาเป็นคน
ไม่พ้นโดนหาม
ต้องนอนเปลือยกาย
ให้ไฟลุกลาม
เมื่อเจ้าโดนหาม
สู่เชิงตะกอน
ผู้ดีเข็ญใจ
ก็ตายเหมือนกัน
อย่าหลงสังขาร ปลงกันไว้ก่อน
ลูกหลานหญิงชาย
ส่งได้เเน่นอน
ก็เเค่กองฟอน
เเล้วย้อนกลับมา
วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2557
อาลัยเพื่อนผู้จากไป สัญชัย เป้ามาลา
*****
...ฉันรู้ว่านายต้องมา...
...๒๒ กันยายน ๕๗ อนันต์ ช.ส่งข่าวบอกเพื่อน ๆ ว่า สัญชัยจากพวกเราไปแล้ว พร้อมกับแจ้งกำหนดการส่วดพระอภิธรรม พร้อมวันเวลาฌาปนกิจศพใน ๒๕ กันยายน ๕๗...๒๓ กันยายน ๕๗ เพื่อน ๆ ร่วมกันเป็นเจ้าภาพสวดอภิธรรม
...๒๕ กันยายน ๕๗ ไปถึงวัดลาดปลาดุก ประมาณ ๑๓๓๐ พบกับเพื่อน ๆ ๐๙ ชัยวัฒน์ พ. สำเริง น. และ สุรินทร์ ล....เข้าไปเคารพศพเพื่อนบนศาลา..." ขอให้เพื่อนสู่สุขคติภพ กรรมใดที่เคยล่วงเกินกันจะด้วยรู้ตัวหรือไม่ก็ตามขอให้เพื่อนอโหสิกรรมให้ด้วย "
๑๔๐๐ ร่วมฟังพระธรรมเทศนา พอพระเทศน์จบแล้ว ก็เตรียมเคลื่อนศพลงจากศาลา ได้ร่วมขบวนแห่ศพเวียนเมรุกับคณะญาติของสัญชัยด้วย...พอเวียนรอบสุดท้ายก็มีความรู้สึกว่าได้ "กลิ่น " ซึ่งทำให้รู้ว่า เพื่อนสัญชัยรับรู้แล้วว่าเรามาพบแล้ว..จากนั้นก็ช่วยยกหีบศพขึ้นตั้งบนเมรุ...๑๖๐๐ กำหนดการประชุมเพลิง พวกเราร่วมกันวางดอกไม้จันทร์แสดงความอาลัยเพื่อนเป็นครั้งสุดท้าย...ขอให้เพื่อนสู่สุคติสัมปรายภพ เทอญ....
****
*****
*****
วันเสาร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2557
คำครูสอน...ที่สุด คือ ไม่มี
*********
ตั้งแต่มาฟังธรรมจากพระอาจารย์ ทุกข์ของข้าพเจ้าก็เบาบางลง เพราะคำชี้แนะและข้อปฏิบัติที่ท่านอาจารย์กำหนดให้ ข้าพเจ้าเริ่มรู้จักความสุขที่ไม่ต้องพึ่งพิงวัตถุกาม (คือรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสกายที่ถูกใจ) มากจนเกินไป ด้วยคำสอนที่ท่านอาจารย์ให้ท่องจนว่าขึ้นใจ " กาย คือ ก้อนสกปรก มันเป็นเพียงดิน น้ำ ลม ไฟ เอามันมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับตนเองและผู้อื่น "
ถ้ารู้จริง(ในอริยสัจ ๔ ) มาก...
...ก็ฝึกตน (ตามอริยมรรคมีองค์ ๘ ) มาก
ก็อดทน (ปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘ ) มาก...
...ก็เสียสละ(เพื่อปฏิบัติตามอริยมมรรคมีองค์ ๘ มาก
ทุกเย็น ข้าพเจ้าและเพื่อน ๆ ที่ต่างก็เป็นลูกศิษย์พระอาจารย์จะเดินออกกำลังกายด้วยกัน ในระหว่างที่เดินพวกเราจะนำหัวข้อธรรมในหนังสือ " เทคนิคเพิ่มสุข " มาท่องทบทวนกัน ท่องแล้วท่องอีก ทบทวนแล้วทบทวนอีก อะไรคือ อริยสัจ ๔ อะไรคือกรรมและผลของกรรม อะไรคือ บุญกริยาวัตถุ ๑๐ อะไรคือ ฆราวาสธรรม ๔...ฯลฯ
ผลจากการท่องธรรมและใคร่ครวญอยู่เสมอ ทำให้ข้าพเจ้าและเพื่อน ๆ มีความสุขมากขึ้น มากขึ้น สังเกตได้จากเวลาที่ต้องคิด พูด และทำ แต่ละคนจะเอาธรรมะมาเป็นหลักคิดอยู่เสมอ ลดทิฏฐิมานะ ไม่ทะเลาะ ไม่โต้แย้งกันแบบคนพาล เพื่อเอาชนะกันเท่านั้น เพราะต่างเคารพในธรรม
เมื่อก่อนข้าพเจ้ารักและดูแล"เส้นผม"เป็นอย่างดี เห็นเป็นสิ่งสวยงาม เสียเงินซื้อยาสระผม ยานวด ยาย้อม เข้าร้านทำผมเป็นประจำ แต่พระอาจารย์สอนสั้น ๆ ว่า " เธอไม่เห็นจริงหรือ หรือแกล้งทำเป็นไม่เห็นว่ามันเป็นต้นหญ้าที่งอกขึ้นมา " ข้าพเจ้ากลับมาพิจารณาแล้ว พิจารณาอีกก็เห็นว่า " เส้นผม"นี้เป็นภาระจริง
ทุกวันนี้ข้าพเจ้าตัดผมสั้น..สั้นมาก เกือบจะเป็น " สกินเฮด " ผมจึงไม่เป็นภาระและสบายขึ้นกว่าตอนไว้ผมยาว เห็นตามเป็นจริงเพิ่มว่า ถึงจะดูแลมันดีขนาดใหน ผลของมันก็คือความสกปรกนั่นแหละ
ท่านพระอาจารย์ยังสอนให้หมั่นนึกว่า กายเป็นก้อนสกปรก ข้าพเจ้าก็ท่องอีกว่า " กายคือ กองดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นถุงขี้ซึมและเป็นถุงทุกข์ ที่ต้องคอยดับทุกข์ " ทุกวันนี้จึงหมดภาระไม่ต้องไปเลือกซื้อหาเสื้อผ้าตามแฟชั่นอีก และเมื่อมีเพื่อนเอาเสื้อผ้ามาแบ่งปัน ก็เลือกใส่เพื่อให้ดูสุภาพ ไม่ต้องเหนื่อยหาเงินหาทองมาซื้อเสื้อตัวนี้ เพื่อใส่กับกางเกงตัวโน้น กระเป๋าแบบนี้ รองเท้าสีนี้อีกต่อไป สบายจังมีความสุขจริง ๆ
ท่านพระอาจารย์ทำให้ข้าพเจ้าได้เห็นและสัมผัสได้จริงว่า
สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติดีแล้ว มีอยู่
สงฆ์สาวกของพระผู่มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติตรงแล้ว มีอยู่
สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว มีอยู่
สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติสมควรแล้ว มีอยู่
"ข้าพเจ้าขอกราบไหว้บูชา น้ำใจอันประเสริฐและคุณงามความดีทั้งหลายที่มีอยู่ในครูบาอาจารย์ "
...เสียงท่านอาจารย์แว่วเตือนอยู่เสมอว่า " เราน่ะ..ไม่มี..."
มารศรี ไชยดวงศรี...
*********
จากหนังสือ คำครูสอน อารามภิกษุณี " นิโรธาราม " จอมทอง เชียงใหม่
วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2557
คำครูสอน..อภิธรรมนอกตำรา
*********
..... หลังออกพรรษา ๒๕๕๖ ข้าพเจ้าได้ติดตามพระอาจารย์ไปจาริกที่ป่าช้า บ้านแม่เตี้ย พอเลือกทำเลและกางกลดเสร็จเรียบร้อยแล้ว กะว่าจะเดินจงกลม นั่งสมาธิ...แต่ก็ไม่สำเร็จ พยายามนึกถึง "นิโรโธ"(ความดับ) ที่พระอาจารย์เคยสอน ก็นึกไม่ออก นั่งสมาธิเจริญอานาปานสติก็ไม่สงบ จึงเริ่มหงุดหงิดว่า เอ๊ะ! เราเป็นอะไร ? จนต้องเลิกภาวนา แล้วเดินออกไปที่ศาลาด้านนอกเพื่อเปลี่ยนอารมณ์...พอผ่านที่พักของอาจารย์ เห็นท่านกำลังใช้เชือกฟางมัดผ้าใบติดกับต้นไม้เพื่อใช้บังแดดอยู่ ข้าพเจ้าจึงเดินเข้าไปช่วย ขณะจะเดินกลับ พระอาจารย์ก็สอนข้าพเจ้าว่า
" เอาแค่นี้พอนะเธอ..๔ ข้อ " จากนั้นท่านก็ยกมือพร้อมชู ๔ นิ้ว
" นี่นะ จิต เจตสิก รูป ไม่เกี่ยวโยงกัน ให้ใส่ใจ แล้วตามดู ตามเห็นแค่นี้ว่า...
๑. จิตเกิดแล้ว จิตก็ดับ
๒. เจตสิก อาศัยจิตเกิด เกิดแล้วก็ดับไปพร้อมจิต
๓. รูปเกิด รูปก็ดับ เพราะจิตดับ ไม่มีจิตไปรู้รูป รูปก็ไม่ปรากฏ
ทั้งหมดนี้ คือ จิต เจตสิก รูป มันไม่เกี่ยวโยงกัน(นิพพาน คือไม่มีสิ่งเกี่ยวโยง)"
" ไป...ไปเห็นซะลูก"
"สาธุค่ะ พระอาจารย์ ขอบพระคุณค่ะ " กราบพระอาจารย์แล้วข้าพเจ้าก็เดินกลับที่พักอย่างโปร่งโล่ง สบายใจ
**********
...บางส่วนบางตอนของบทความ " อภิธรรมนอกตำรา " ของ สามเณรี จีรนุช อุตมะ ในหนังสือ คำครูสอน ของ อารามภิกษุณี นิโรธาราม จอมทอง เชียงใหม่
วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2557
คำครูสอน
*************
...พระอาจารย์ให้คำแนะนำกับลูกศิษย์อยู่เสมอ ๆ ในทุกครั้งที่มีโอกาสหรือในสถานการณ์ที่เกิดชึ้นในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญกับสิ่งที่ท้าทาย เช่น ...ในยามป่วยไข้ หรือเมื่อชีวิตต้องประสบกับความขึ้น ๆ ลง ๆ ดีบ้าง ร้ายบ้าง พระอาจารย์ก็สอนให้เรามองว่านี่เป็นเพียงลักษณธตามธรรมชาติที่ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่ อนิจจัง (ไม่เที่ยง) ทุกขัง (เป็นอยู่อย่างเดิมไม่ได้) อนัตตา (ไม่เป็นฉัน ไม่เป็นเธอ ไม่เป็นใครทั้งสิ้น) ขันธ์ห้าแปรปรวนอยู่ตลอดเวลา เป็นเพียงนามรูป ซึ่งร่างกายก็เป็นเพียง กองดิน น้ำ ไฟ ลม ที่แปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ไม่เป็นของฉัน สิ่งนั้นไม่เป็นฉัน และสิ่งนั้นไม่เป็นบุคคลของฉัน
อีกคำเตือนที่พระอาจารย์สอนอยู่บ่อย ๆ คือ การสำรวมอินทรีย์และการรักษาสมณสารูป...คำสอนเหล่านี้ล้วนเตือนถึงความจริงของธรรมชาติและคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งจะช่วยให้การศึกษาและการปฏิบัติของเราในเพศพรหมจรรย์ให้เป็นไปอย่างถูกต้อง เป็นไปโดยง่าย และมีปัญญาเพิ่มขึ้นว่าความจริงคืออะไร ในการทำที่สุดแห่งทุกข์ เพื่อให้บรรลุความหลุดพ้นอย่างแท้จริง
คำสอนของพระอาจารย์ข้อหนึ่งที่ข้าพเจ้าอยากจะแบ่งปัน(เล่าให้ฟัง) ซึ่งบางคนอาจจะมองเป็นเรื่องเล็กน้อย ธรรมดา ไม่ค่อยลึกซึ้งอะไร แต่มีประโยชน์จริง ๆ สามารถให้การประพฤติพรหมจรรย์ราบรื่นมากขึ้นซึ่งก็คือ ..คำแนะนำที่พระอาจารย์ให้ข้าพเจ้าก่อนบวช เป็นสามเณรี คือให้ข้าพเจ้าขอขมาญาติมิตรทุกคน และให้อภัยซึ่งกันและกัน ซึ่งข้าพเจ้าได้ทำตามคำแนะนำนั้นด้วยความจริงใจที่สุด ผลที่ได้รับคือ ข้าพเจ้ารู้สึกหลุดโล่ง เบากาย เบาจิตทันที การยอมรับและตระหนักรู้ซึ่งความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากความเป็นปุถุชนที่ยังมีกิเลสอยู่ ทำให้ญาติมิตรและข้าพเจ้าวางสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจระหว่างกันเนื่องจากการทำล่วงเกินซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะด้วยทางกาย ทางวาจาหรือทางใจ ทั้งที่เจตนาและไม่เจตนา ในการขอขมานั้นเราต่างได้ให้โอกาสซึ่งกันและกัน ที่จะเริ่มต้นใหม่ในฐานะมนุษย์ที่มีปัญญามากขึ้น
"การขอขมา" ทำให้ทุกฝ่ายซาบซึ้งตรึงใจ และกระตุ้นให้เกิดความคิดที่ดีงาม ทำให้เกิดจิตเมตตาและจิตกรุณาทั้งต่อตนเองและผู้อื่นและยังกระตุ้นให้เกิดความเพียรมากขึ้นที่จะเจริญปัญญา เข้าใจให้ชัดเจนมากขึ้นว่าอะไรเป็นกุศล และนี่ก็ทำให้เกิดความตั้งใจ เพิ่มพลังสติที่จะอยู่กับสิ่งที่เป็นกุศล และไม่ก้าวข้าม(ก้าวล่วง) สิ่งที่เป็นกุศล
วิธีปฏิบัติเช่นนี้(พิธีขอขมา) มีประโยชน์มากและข้าพเจ้าได้แนะนำให้เพื่อน ๆ ได้ลองทำด้วย พวกเขาก็รู้สึกว่าได้ผลดีและมีประโยชน์ แต่ต้องทำด้วยความเต็มใจและมีความเข้าใจที่ถูกต้อง
สิกขมานา บ้ว (ดร.บอง ซูเหลียง Bong Sue Lian,Ph.D.)
*************
บทความเรื่อง คำสอนถึงศิษย์ต่างแดน(แปล) จากหนังสือ คำครูสอน ของ อารามภิกษุณี นิโรธาราม จอมทอง เชียงใหม่
วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2557
เขมาเขมสรณทีปิกคาถา
มนุษย์เป็นอันมากเมื่อเกิดมีภัยคุกคามแล้ว
ก็ถือเอาภูเขาบ้าง ป่าไม้บ้าง
อารามและรุกขเจดีย์บ้าง เป็นสรณะ,
อารามและรุกขเจดีย์บ้าง เป็นสรณะ,
นั่นมิใช่สรณะอันเกษมเลย
นั่นมิใช่สรณะอันสูงสุด
เขาอาศัยสรณะนั่นแล้ว ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้
ส่วนผู้ใดถือเอาพระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์
เป็นสรณะแล้ว เห็นอริยสัจจ์
คือความจริงอันประเสริฐสี่
ด้วยปัญญาอันชอบ,
คือเห็นความทุกข์
เหตุให้เกิดทุกข์ ความ
ก้าวล่วงทุกข์เสียได้,
แหละหนทางมีองค์แปด
อันประเสริฐเป็น-
เครื่องถึงความระงับทุกข์,
นั่นแหละ
เป็นสรณะอันเกษม นั่นเป็นสรณะ
อันสูงสุด
เขาอาศัยสรณะ นั่นแล้ว ย่อมพ้น
จากทุกข์ทั้งปวงได้
..................
..................
วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2557
เก็บมาฝาก..
....เช้าวันหนึ่ง....
***********
***********
***********
***********
***********
***********
***********
วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2557
เช่นนั้นเอง...
"...อาตมา จะยืนยันเดี๋ยวนี้ว่า "เช่นนั้นเอง" แก้ปัญหาได้ในทุกกรณี..เรื่องโรคภัยไข้เจ็บก็ได้ ปัญหาปากท้องก็ได้ ทางการเมืองก็ได้..." พุทธทาส
วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2557
ติลักขณาทิคาถา
สัพเพ สังขารา อะนิจจาติ ยะทา ปัญญายะปัสสะติ
..............
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า
สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง
สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่ตนหลง
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพาน
อันเป็นธรรมหมดจด
อันเป็นธรรมหมดจด
วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2557
จิต จับโดยไม่ต้องจับ
..การจับจิต เหมือนกับการจับเงา...เวลาที่เจริญกรรมฐานใหม่ ๆ จิตของเราจะคิดถึงเรื่องอดีตบ้าง อนาคตบ้าง คิดไปถึงคนโน้น คนนี้ คิดถึงบ้าน คิดถึงเมือง คิดไปไกล ..เราไม่ต้องไปดึงจิตจากอารมณ์โน้น อารมณ์นี้ ขอให้เรามีสติรู้ทันต้นจิตว่า "คิดหนอ"....พระครูพรหมญาณวิกรม
บางส่วนบางตอนจากเทป อภิปรายเจริญวิปัสสนา 3 http://www.fungdham.com/sound/chodok....
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)