.....ต่อจาก กลิ่นชั้นสูง (๑)......
ท้าวสักกะเสด็จออกจากเรือน ทรงไหว้พระเถระแล้วเอาพระหัตถ์ทั้งสองยันพระชานุ ถอนพระทัย เสด็จลุกขึ้นย่อพระองค์ลงหน่อยหนึ่ง พลางตรัสว่า
" พระผู้เป็นเจ้าเป็นพระเถระรูปไหนหนอ ? ตาของกระผมฝ้าฟางเสียแล้ว "ดังนี้แล้วทรงป้องหน้าดู เมื่อเห็นชัดจึงตรัสว่า
" โอ้ ! พระผู้เป็นเจ้าพระมหากัสสปะของเรานั่นเอง นาน ๆ มายังประตูกระท่อมของพวกเราครั้งหนึ่ง มีอะไรอยู่ในเรือนบ้างไหมหนอ "
สุชาดาทำกุลีกุจออยู่หน่อยหนึ่ง ขึงให้คำตอบออกมาว่า " มี ตา "
ท้าวสักกะจึงตรัสกับพระเถระว่า " ขอพระคุณเจ้าอย่าได้คิดว่าทานนี้เศร้าหมองหรือปราณีตเลย โปรดทำการสงเคราะห์กระผมทั้งสองด้วยเถิด " ดังนี้แล้วทรงรับบาตของพระเถระ
ฝ่ายพระเถระก็คิดจะสงเคราะห์เขาจริง ๆ ว่า " จะเป็นผักดองหรือรำกำหนึ่งก็ตาม เราจะรับบิณฑบาตเพื่อสงเคราะห์คนชราทั้งสองนี้ " ดังนี้แล้วได้มอบบาตให้
ท้าวสักกะเสด็จเข้าไปในเรือน ทรงคดข้าวสุกออกจากหม้อใส่ให้เต็มบาต มอบถวายแด่พระเถระ บิณฑบาตนั้นมีแกงและกับมากมาย
พระเถระพิจารณาว่า " ชายผู้นี้มีศักดิ์น้อย แต่บิณฑบาตเขาเหมือนคนมั่งคั่ง เขาเป็นใครหนอ ? " พิจารณาไปจึงรู้ว่าเป็นท้าวสักกะ จึงต่อว่า "พระองค์ทรงแย่งสมบัติของคนยากจน เป็นกรรมหนัก เพราะใคร ๆ ก็ตามเป็นเข็ญใจที่ถวายบิณฑบาตแก่อาตมาในวันนี้พึงได้ตำแหน่งและสมบัติ "
" พระคุณเจ้า ข้าพเจ้าเป็นคนเข็ญใจเหมือนกัน ใคร ๆ อื่นจะเข็ญใจยิ่งกว่าข้าพเจ้ามิได้มี " ท้าวสักกะว่า
พระเถระจึงกล่าวว่า "พระองค์เสวยสิริทิพยสมบัติในเทวโลก จะเรียกว่าเป็นคนเข็ญใจได้อย่างไร ตั้งแต่นี้ต่อไปท่านอย่าทำอย่างนี้อีก "
" เมื่อข้าพเจ้าลวงท่านถวายทาน กุศลจักเกิดมีแก่ข้าพเจ้าหรือไม่ ? "
" มี พระองค์ " พระเถระตอบ
" เมื่อเป็นเช่นนี้ การทำบุญย่อมเป็นหน้าที่ของข้าพเจ้า "
ท้าวสักกะตรัสดังนี้แล้ว ทรงไหว้พระเถระ พาสุชาดากระทำประทักษิณแล้วเหาะขึ้นสู่เวหาส พลางเปล่งอุทานว่า
" โอ ! ทานเป็นทานอันเยี่ยม เราได้ถวายดีแล้วแก่พระมหากัสสปะ " ดังนี้ ๓ ครั้ง
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในพระวิหาร ณ เวฬุวนาราม ทรงสดับเสียงท้าวสักกะแล้ว จึงตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า
" ฟังเถิดภิกษุทั้งหลาย ฟังเสียงอุทานของท้าวสักกะผู้ถวายบิณฑบาตแก่กัสสปะบุตรของเราแล้ว ภิกษุทั้งหลาย ทั้งเทพยดาและมนุษย์ก็ย่อมพอใจภิกษุผู้ถือบิณฑบาตเป็นวัตร เช่นกัสสปะบุตรของเรา " ดังนี้แล้วทรงเปล่งพระอุทานเหมือนกันว่า
" เทวดาและมนุษย์ย่อมพอใจภิกษุผู้ถือบิณฑบาตเป็นวัตร ผู้เลี้ยงเฉพาะตน ไม่เลี้ยงผู้อื่น ผู้มั่นคง ผู้สงบ มีสติทุกเมื่อ "
" ภิกษุทั้งหลาย ท้าวสักกะจอมเทพเสด็จมาถวายบิณฑบาตแก่บุตรของเรา เพราะกลิ่นศีลโดยแท้ " ดังนี้แล้วจึงตรัสพุทธพจน์ว่า
" กลิ่นกฤษณาและกลิ่นจันทร์ เป็นกลิ่นเล็กน้อย ส่วนกลิ่นของผู้มีศีลเป็นกลิ่นสูงสุด ย่อมฟุ้งไปแม้ในหมู่เทพ " (ขุ. ธ.๒๕/๑๔/๒๒)
********
(จากหนังสือ โลกสงบร่มเย็นด้วยศีล สมเด็จพระวันรัต(จุนท์ พฺรหฺมคุตฺโต) วัดบวรนิเวศ )
********