วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2561

ความสุข

มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ได้แนะนำ การสร้างนิสัยแห่งความสุข 20 ประการ ปี 2018 ไว้ ..

1. Be Grateful
..สำนึกบุญคุณคนที่ดีต่อเรา

2. Choose Your Friends Wisely
 ..เลือกเพื่อนอย่างชาญฉลาด

3. Cultivate  Compassion
.. ให้ความเห็นอกเห็นใจ แก่คนอื่น

4. Keep Learning
..หมั่นเรียนรู้

5. Become a Problem Solver
 .. เป็นผู้แก้ปัญหาได้

6. Do What You Love
 ..ทำในสิ่งที่คุณรัก

7. Live in the Present
 ..อยู่กับปัจจุบัน

8. Laugh often
 ..หัวเราะบ่อยๆ

9. Practice Forgiveness
 ..ฝึกการให้อภัย

10. Say Thanks often
..กล่าวขอบคุณเสมอ

11. Create Deeper Connections
..สร้างความสัมพันธ์ลึกล้ำ

12. Keep Your Agreement
 ..รักษาสัญญา คำพูด

13. Meditate
 ..ทำสมาธิ

14. Focus on What You're Doing
 ..ตั้งมั่นในสิ่งที่กำลังทำ

15. Be Optimistic
 ..มองโลกในแง่ดี

16. Love Unconditionally
 ..รักอย่างไม่มีเงื่อนไข

17. Don't Give up
 ..อย่ายอมแพ้

18. Do Your Best and then Let it Go
 ..ทำดีที่สุดแล้วอย่ายึดติด

19. Take Care of Yourself
  ..ดูแลตัวเอง

20. Give back to society
 ..ตอบแทนสังคม

ทบทวนเรื่องราวดีๆแล้ว
ส่งต่อให้เพื่อน ที่คุณรัก
ก่อนปีใหม่ 2019 กำลัง
จะมาถึงนะคะ🌹
.......................
Cr.Fwd Line

วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2561

เก็บมาฝาก

คุยกันวันนี้
—————
นักภาวนา หรือนักปฏิบัติธรรม หรือคนที่ชอบนั่งสมาธินั้น มีอยู่ ๒ ประเภท

ประเภทแรก คือ นักภาวนาแบบตัณหา เป็นพวกทำเพื่อยึด พวกทำเอา มีความมุ่งหวังตั้งเอา อยากได้ อยากสำเร็จสูง มีศรัทธาแรง ทำเพื่อหวังผล รอผล เพราะเชื่อว่า เมื่อทำตามวิธีนี้แล้ว ก็จะได้สิ่งนี้สิ่งนั้นมา ต้องทำสิ่งนี้ก่อน สิ่งนั้นมันก็จะเกิดตามมา ทำแล้วจะได้สภาวะนี้ เห็นอย่างนี้ รู้อย่างนี้

ผู้สอนการภาวนา จะสอนกันแบบสอนวิชาคณิตศาสตร์ ให้ไปหาผลลัพธ์มาเอง ได้ผลลัพธ์มาแล้วก็เอามาส่งครู ครูจะเป็นผู้ให้โจทย์ ผู้ตรวจว่าถูกหรือผิด จะมีระบบครูอาจารย์ มีเจ้าสำนัก ต้องส่งงาน ส่งการบ้าน ครูจะเป็นผู้ให้คะแนน จะมีการตั้งตัวเป็นอาจารย์ จะมีชื่อ จะมียี่ห้อ มีความเป็นครู เป็นอาจารย์ เป็นลูกศิษย์ ลามมาเป็นสายนั่น สายนี้ สำนักนั่น สำนักนี้  ระดับพระอรหันต์จะมีมาก ผู้สำเร็จขั้นนั่นขั่นนี้จะมีมาก บางสำนักมีใบประกาศให้ พยากรณ์ให้ด้วย ความวิเศษศักดิ์สิทธิ์อภินิหารจะมีเต็มสำนัก

มักจะเปรียบการภาวนา เหมือนการปลูกไม้ดอกไม้ผล เหมือนการขุดบ่อน้ำ เหมือนการเอาไม้มาสีไฟ ถึงเวลาผล ดอก น้ำ ไฟ ก็จะเกิดขึ้น มีขึ้นเอง จะได้ จะรู้เอง เห็นเอง

ประเภทนี้ จะทำภาวนากันอย่างเคร่งเครียด ทำเอาเป็นเอาตาย เพราะอยากได้ อยากเป็น อยากสำเร็จ ประเภทนี้จะมีความเพียรสูง มีความพยายามมาก หาตัวจับยาก น่าศรัทธา เรียกศรัทธาได้

นักภาวนาประเภทนี้ กว่าเขาจะหลุด จะพ้น จะผ่านจุดนี้ไปได้ จนได้ผล เห็นผล ก็คางเหลือง ก็เกือบตาย ไม่ตายก็เพี้ยน เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต  ทำภาวนากันเหมือนการกลิ้งครกขึ้นภูเขา เป็นประเภท ทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ปฏิบัติลำบากทั้งรู้ได้ช้า เพราะกำลังของความอยาก ความยึด มันไปกั้นตัวรู้ไว้ ส่วนมากจะหลุดออกยาก เพราะมันกลายเป็นวิบากทิฎฐิล็อคจิตไว้แล้ว และยังถูกควบคุมด้วยครู ด้วยลูกศิษย์ จะไม่มีความอิสระในตัว เพราะจะต้องอยู่ในกรอบ ในแบบที่วางไว้ ส่วนที่ได้ผลจากภาวนาจริงๆก็มีเหมือนกัน ไม่ใช่ไม่มี แต่ส่วนมากแล้วที่ไม่ได้ผลจะมีมากกว่า 

จะได้กันแค่รูปแบบ ได้แค่ยี่ห้อของสำนัก จะยึดติดรูปแบบ ยึดติดอาจารย์ ยึดติดสำนักมาก ลักษณะที่เห็นได้ชัด คือ จะแสดงตัวเป็นผู้รู้ มีมานะถือตัวถือตน มีทิฎฐิแรง อัตตาสูง ศรัทธาจัด ตัวชอบ ตัวชังจะมีอยู่มาก ใครจะแตะไม่ได้ มักจะยึดกันว่า ต้องวิธีนี้เท่านั้นถึงจะถูกต้อง วิธีอื่นผิดหมด วิธีอื่นไม่ได้ผล กินยาตัวนี้เท่านั้น ห้ามกินยาตัวอื่น ของโรงพยาบาลอื่นเด็ดขาด 

คำพูดที่ว่า “กรรมฐานขี้โกรธ สันโดษขี้ขอ วิปัสสนาร่ำรวย” มาจากนักภาวนาวิธีทั้งนั้น พลังกดข่มแรง แสดงท่าแสดงทางได้ดี ทุกอย่างจะไม่เป็นธรรมชาติ ไม่เป็นปกติ ก็จากผลของการทำเอาทั้งสิ้น

วิธีที่สอง คือ ภาวนาแบบฉันทะ เป็นการทำภาวนาด้วยความพอใจ มีตัวฉันทะความพอใจเป็นกำลังช่วย ทำแบบไม่ต้องรอผล หวังผล

เพราะรู้ชัด เข้าใจชัด เห็นชัดแล้วว่า ผลมันเกิดขึ้นแล้ว มันได้แล้วในขณะที่ทำภาวนาอยู่ในขณะนั้นๆเอง เป็นประเภท  สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ปฏิบัติสะดวกทั้งรู้ได้เร็ว เพราะตัวอยาก  ตัวเอา มันไม่มี ไม่ต้องหา ไม่ต้องรอ ไม่ต้องหวัง มันจบ มันวาง มันปลง มันดับในขณะที่ทำภาวนาอยู่แล้ว ไม่ต้องไปจบ วาง ปลง ดับที่ไหน

เปรียบเหมือนการเก็บดอกไม้ผลไม้ในป่า ตักน้ำจากแม่น้ำ เอาไฟจากไฟป่า มันมีอยู่ตามธรรมชาติในป่าอยู่แล้ว

เราแค่รู้วิธีเก็บมากิน รู้วิธีตักดื่ม รู้วิธีเอามาใช้ รู้ว่าเราจะต้องทำอย่างไรกับมันแค่นั้น เก็บมาแล้ว ตักมาแล้ว ก่อไฟได้แล้ว ก็ไม่มีความต้องการเอาติดตัวกลับบ้าน เพราะเห็นว่ามันเป็นภาระจะมัวหอบหิ้วเอาไปทำไม

ตัวกาย เวทนา จิต ธรรม อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มันมีอยู่แล้ว เหมือนผลไม้ในป่า น้ำในแม่น้ำ ไฟป่า เราแค่ตามรู้ ตามดู ตามความเป็นจริงของมันที่มีอยู่แล้ว มีอยู่แล้วเท่านั้นพอ ไม่ต้องไปทำอะไรให้ยุ่งยาก ลำบากกาย ลำบากใจ ปฏิบัติเหมือนไม่ปฏิบัติ

ประเภทนี้ จะภาวนากันอย่างมีความสุข จะไม่ค่อยยึดติดอะไรมาก เพราะรูปแบบการภาวนา ไม่ได้ทำเพื่อเอา ทำเพื่อได้โน่นนี่นั่น ทำเพื่อทิ้ง เพื่อวาง จะอิสระในการปฏิบัติ จะไม่มีระบบครูอาจารย์ มีแต่สหายธรรม ช่วยกันจบ ช่วยกันวาง ไม่มียี่ห้อ ไม่มีกฎเกณฑ์อะไรมากมาย มีแต่การสมมติใช้ อุปโลกน์ใช้ ให้ถูกตามกาละเทศะ สถานที่ บุคคล ชุมชน เพื่อเป็นตัวช่วยแค่นั้น แล้วจะเอาอะไรมายึด มาปรุง มันไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา อยู่แล้ว อยู่แล้ว เพราะเป้าหมายของการทำภาวนาวิธีนี้ ก็เพื่อจบ เพื่อวาง เพื่อปลง เพื่อดับ ตัวอยาก ตัวยึด ตัวกลัว ตัวสงสัยอยู่ในตัวเองมันอยู่แล้ว

ประเภทนี้จะไม่พูดถึงความขลังศักดิ์สิทธิ์อภินิหาร เห็นนั่น เห็นนี่ ได้ขั้นนั่น ขั้นนี่ บรรลุขั้นนั้นขั้นนี้ จะไม่ให้ความสำคัญ จะคอยตรวจดูสภาพจิตใจของตน ไม่ต้องส่งการบ้าน รายงานผลใคร ใช้ระบบปัจจัตตัง สรุปจบ สรุปวาง สรุปปลง สรุปดับเอง

ความขลังความศักดิ์สิทธิ์สูงสุด คือ การปล่อยวางได้ อยู่เหนือตัวชอบ ตัวชังได้

ผลที่เกิดในขณะภาวนา และหลังจากภาวนาแล้วนั้น ก็จะมีแต่ความปลอดโปร่ง โล่งใจ สว่างไสว คลี่คลาย เบากาย เบาจิต อิสระ รู้ ตื่น เบิกบาน สุขสงบเย็น ไร้ตัว ไร้ตน ไร้อกุศลไร้ความขัดแย้ง ไร้อคติ ไร้ทิฎฐิ ไร้มายา ครอบงำ จะมีมาก มีน้อย ก็ขึ้นอยู่ตามกำลังของสติ สมาธิ ปัญญาที่ฝึกฝนได้แล้วฯ

สรุปแล้ว ดีกว่าไม่ปฏิบัติ ไม่ทำ ไม่สนใจ ไม่มีใครถูก ไม่มีใครผิด เพราะกุศลอกุศล ถูกผิด มันยึดไม่ได้อยู่แล้ว สมมติโลก สมมติเขา อุปาทานโลก อุปทานเขา วิบากโลก  วิบากเขา ธรรมชาติโลก ธรรมชาติเขา ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไร้ตัวไร้ตน ไร้สัตว์ ไร้บุคคล เรา เขา มันยึดไม่ได้อยู่แล้ว สรุปจบ สรุปวาง สรุปปลง สรุปดับ รู้แล้วทิ้ง รู้แล้ววาง ล้างวิบากทิฎฐิทิ้งเสีย วิบากใคร วิบากมัน ตัณหาใคร ตัณหามัน ทิฎฐิใครทิฎฐิมัน ภพภูมิใคร ภพภูมิมัน รู้แล้วก็จบที่จิต โสทิ้งจบฯ

วัดพระมหาชนก บ้านพลังเพียร
12.2.2018

วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

วันเพ็ญเดือน สิบสอง


พระสารีบุตรปรินิพพาน ในวันลอยกระทง

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

วันลอยกระทง ตรงกับวันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 ซึ่งในวันนี้มีเหตุการณ์สำคัญในอดีตที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาดังนี้

พระสารีบุตรปรินิพพาน       
     พระสารีบุตร พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญท่านไว้เป็นอันมาก  ดังเช่นที่พระองค์ตรัสไว้ว่า สารีบุตรอยู่ที่ทิศหรือสถานที่ใด  ทิศหรือสถานที่นั้นก็เหมือนมีพระพุทธเจ้าเพราะ  พระสารีบุตรมีปัญญามาก  และพระสารีบุตรยังมีพระคุณที่ทำให้เราได้มีโอกาสศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าด้วย  ในพระธรรมที่มี 84,000 พระธรรมขันธ์  2,000 พระธรรมขันธ์  เป็นคำที่พระสารีบุตรกล่าวไว้

พระอานนท์กล่าวไว้ว่า               
      ธรรมเหล่าใด  ที่ขึ้นปากขึ้นใจข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเรียนธรรมเหล่านั้นจากพระพุทธเจ้า ๘๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์  เรียนจากภิกษุ ๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ รวม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์.

      ท่านพระสารีบุตรพิจารณาคุณธรรมและปัญญาของท่านเอง  ก็หาที่สิ้นสุดไม่ได้ เม็ดทรายในแม่น้ำคงคายังนับได้แต่ปัญญาของพระสารีบุตรนั้นนับไม่ได้

      วันเพ็ญเดือน ๑๒ (ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒) เป็นวันปริพนิพพานของพระสารีบุตรเถระพระอัครสาวกเบื้องขวาผู้เลิศด้วยปัญญา พระอัครสาวกทั้งสอง (ท่านพระสารีบุตรเถระ,พระมหาโมคคัลลานะ) ย่อมปรินิพพานก่อนพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวคือท่านพระสารีบุตร   ปรินิพพาน ในวันเพ็ญเดือน ๑๒   ต่อจากนั้นอีก ๖ เดือนพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้เสด็จดับขันธปรินิพพาน (และ ท่านพระสารีบุตรปรินิพพานก่อนท่านพระมหาโมคคัลลานะ ๑๕ วัน)  ดังนั้น เมื่อถึงวันเพ็ญเดือน ๑๒   แทนที่จะนึกถึง  คิดถึงอย่างอื่น  ก็ควรที่จะได้น้อมระลึกถึงพระรัตนตรัย พร้อมทั้งน้อมระลึกถึงพระคุณของท่านพระสารีบุตร  ที่ท่านได้กระทำไว้ต่อพุทธบริษัท  ครับ

      พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้าที่ ๔๔๕   

     ก็  บรรดาพระอัครสาวกทั้งสองนั้น  พระธรรมเสนาบดี  ปรินิพพานในวันเพ็ญเดือนสิบสอง จากนั้นล่วงมาครึ่งเดือน     ในวันอุโบสถแห่งกาฬปักข์กึ่งเดือนนั้น  พระมหาโมคคัลลานะจึงปรินิพพาน.
..........
Cr.Fwd Line

วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

เก็บมาฝาก...

เรื่องเล่าน้ำตาไหล 💙💦

ต้นทุนชีวิตที่ไม่เท่ากัน 

ณ โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
คุณยายท่านหนึ่ง มาหาหมอ
หลังจากคุณหมอตรวจเรียบร้อยแล้ว
และสั่งจ่ายยา คุณยายรอรับยา 

ห้องเก็บเงิน เรียกชื่อยาย เพื่อจ่ายเงินค่ายา 
คุณยาย ควักเงินแบงค์ 20 มา 1 ใบ 
พนักงานเก็บเงิน แจ้งค่ายา จำนวน 55 บาท
ยายบอกไม่มีเงินเลย ยายมีแบงค์ 20 ใบเดียว !!

พระสงฆ์รูปหนึ่ง นั่งอยู่หน้าห้องจ่ายยาพอดี
ซึ่งกำลังรอรับยาเหมือนกัน ได้ยินทุกอย่าง 
เลยถามพนักงานว่ายายเป็นอะไรละโยม  

พนักงานบอกว่า ... ยายไม่มีเงินจ่ายค่ายาคะ 
พระเลยช่วยยาย จ่ายค่ายาให้ยาย จำนวน 55 บาท

ยาย กราบขอบคุณพระสงฆ์รูปนั้น 
หลังจากนั้น ยายกลับมานั่งที่เก้าอี้ 
ยายเดินด้วยความลำบากมาก
เพราะยายปวดหลัง  

ยายใช้ไม้เท้า เดินมานั่งข้างๆ พระ 
พระเลยถามยาย ระหว่างยายรอรับยา

#บทสนทนา
ระหว่างพระสงฆ์กับยาย

#พระสงฆ์‍  : ️ยายมากับใครละ
#ยาย  :  ยายมากับเพื่อนบ้าน เขามาเอายา 
ยายเลยมากับเขา จะได้ไม่ต้องเสียค่ารถ

#พระสงฆ์  :  ทำไมลูกๆ หลานๆ ของยาย ไม่มาด้วย 
ยายเดินแทบไม่ไหวแล้วนะ 
#ยาย  :️  ลูกของยาย ไม่ได้มาสนใจอะไรยายหรอก 
เราไม่มีเงินให้เขา แล้วเขาไม่สนใจยายหรอก 

ยายมีตังค์ 120 บาท
ยายบอกยายจะไปหาหมอ 
มันยังเอาของยายไป 100 บาท
ยายเลยเหลือ 20 บาท นี้แหล่ะ 

เงินคนแก่ออก (เงินผู้สูงอายุ) 
ลูกก็มาเอาไปหมด
เหลือไว้ให้ยาย 20 บาท
(พระอึ้งเลย ถึงกับหน้าซีด)

#พระสงฆ์ : เกือบ 10 โมงแล้ว
ถามยายว่า ยายกินข้าวหรือยัง
#ยาย  :  ยายยังไม่ได้กินข้าวเลยตั้งแต่เช้า
ยายมาตั้งแต่เช้ารีบมารอคิว เพราะคิวยาว 
กว่าหมอจะมาจากคลินิคที่บ้าน  
เพื่อมาเข้าเวรที่โรงพยาบาล ยายก็รอจนหิว

#พระสงฆ์  :️  แล้วยายหิวไหมละ
#ยาย  :  ยายก็หิวอยู่ แต่ยายจะไปกินที่บ้าน 
ยายไม่มีตังค์ซื้อข้าวกินหรอก 

#พระสงฆ์  :  งั้น อาตมา พายายไปกินข้าวนะ
ยายจะได้ไม่หิว

หลังจากยายรับยาแล้ว 
พระสงฆ์ ก็พายายไปกินข้าว 
ยายกินราดหน้า 1 จาน กับน้ำ 1 ขวด  

หลังจากกินข้าวเสร็จ 
ยายมานั่งรอเพื่อนบ้านเพื่อจะกลับ 
เพื่อนบ้านยายยังไม่เสร็จจากการพบหมอ 
เพราะหมอมาช้ามาก 
คนป่วยต้องมารอหมอก่อนเวลาตลอด  

#ที่พระสงฆ์บรรยายมาทั้งหมดนี้
ไม่ได้ต้องการอะไร 

แค่อยากบอกลูกๆ หลานๆ ทุกคนว่า ...

" #แม่ไม่มีทั้งหมดที่จะให้ 
แต่ลูกๆ หลานๆ #จะได้ทั้งหมดที่แม่มี " 

อยากให้ลูกๆ หลานๆ 
หันกลับมาดูแลท่านสักนิด 
ก่อนที่ท่านจะไม่อยู่กับคุณ ในวันที่คุณคิดได้
#ฝากกดไลค์​กดติดตามเพจด้วยน้า

Cr.พระวาสิฏฐีตโร สิงห์โหมุณี
#ฝากแชร์เจริญ​พร

วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2561

เพื่อน..


จาก Fwd.Line
.....
เพื่อนรักของช่างทำเก้าอี้...!!!

อาเฟยเดินถือเก้าอี้มาฝากภรรยาซึ่งมีฐานะระดับเศรษฐี

คุณดูสิผมบังเอิญไปเจอเพื่อนรักสมัยเด็กเป็นช่างทำเก้าอี้ในตลาด แถมผมสามารถต่อรองราคาเหลือเพียงครึ่งเดียวโดยจ่ายเพียงสิบห้าหยวนเท่านั้น ดูงานนี่สิฝีมือประณีตมาก เพื่อนผมเค๊าตั้งใจมากทำได้แค่วันละตัวเองนะ

ภรรยาของอาเฟยเปลี่ยนสีหน้าจากยิ้มแย้มเป็นดูหดหู่ แล้วถามว่า

เพื่อนรักกันเลยใช่มั้ย...

สามีตอบใช่แถมหัวเราะร่าสายตาก็ชื่นชมแต่ความงามของเก้าอี้...

ภรรยาจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่นิ่ง...สงบ...

พี่ไปทำร้ายเพื่อนพี่ทำไม เค้าทำเก้าอี้ได้แค่วันละตัว สามสิบหยวนตรงนั้นคงไม่ได้ทำให้เค้าร่ำรวยอยู่สุขสบาย แต่เค้าถูกเพื่อนรักเอาเงินไปครึ่งนึงเค้าจะมีความสุขเยี่ยงไร...

สามีได้ฟังถึงกับจุกว่าสิ่งที่เค๊าทำลงไปเป็นการทำร้ายเพื่อนแบบไม่ได้ตั้งใจ...

ทำไมเค้าถึงเอาเปรียบคนที่ด้อยกว่าเพียงเพราะความเป็นเพื่อน...อาเฟยน้ำตาซึมขึ้นมาทันที...

วันรุ่งขึ้นอาเฟยเดินไปหาเพื่อนเก่าพร้อมภรรยาและสั่งเก้าอี้เพิ่มอีกสิบตัวโดยอ้างว่าขอปรับแบบนิดนึงเพื่อให้นั่งสบายขึ้นแต่จะจ่ายเพิ่มให้ในราคาตัวละสี่สิบหยวนจากราคาเดิมสามสิบหยวนแทน...

ภรรยาหันไปมองหน้าสามีแล้วยิ้มให้อย่างมีความสุข...

#การเป็นเพื่อนคือการส่งเสริมมิใช่การเอาเปรียบ...!!!

Cr : line

วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ภาวนา...


คุยกันวันนี้
————-

เข้าใจกันมาว่า…รู้กันมาว่า
ถูกสอนกันมาว่า…เชื่อกันมาว่า…
ศึกษากันมาว่า…ฟังกันมาว่า…
แล้วก็ทำตามๆกันมา…แล้วก็สอนต่อๆกันมา…
นี่คือระบบการภาวนาที่ทำกันอยู่
ปฏิบัติกันอยู่ส่วนมากในโลกแห่งการภาวนา

ได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง
ต่างพากันก้มหน้าก้มตาทำกันไป
อ้างคัมภีร์ อ้างตำรา อ้างครูอาจารย์
สอนกันไป ผิดทาง ถูกทางไม่รู้ ทำจนเป็นรูปแบบ
ทำจนเกิดเป็นลัทธิวิธีการ จนเป็นแบบยึด
แบบนั่น แบบนี่ สายนั่น สายนี่เต็มไปหมด

นักภาวนาทุกคนที่ลงมือปฏิบัติตาม
ต่างก็รอคอยวันสว่างไสว วันสำเร็จ
ต่างรอคอยวันหมดกิเลส สิ้นกิเลส
ต่างรอคอยวันได้ดวงตาเห็นธรรม
ต่างรอผลที่จะเกิดขึ้นจากการภาวนา
ตามความรู้ ความเข้าใจที่ตนเข้าใจมา
และครูอาจารย์บอกไว้

ออกจากสำนักโน้น ไปสำนักนี่
ออกจากสำนักนั่น มาสำนักนี่
ร้อยอาจารย์ ร้อยวิธี
บางคนทำมาทั้งชีวิต รอทั้งชีวิต
ก็ยังดับทุกข์ในใจไม่ได้
จบไม่ได้ วางไม่ได้ ปลงไม่เป็น
อยู่สังคมไหนวุ่นวายสังคมนั้น
อยู่ในโลกอย่างอึดอัด ขัดข้อง

การภาวนามันไม่ใช่เป็นแบบการหุงข้าว
ไม่ใช่การศึกษาเล่าเรียนเอาวุฒิการศึกษา
ไม่ใช่การปลูกพืช ที่จะต้องรอผลนานขนาดนั้น
มันไม่ใช่เป็นการทำเพื่อเอา 
ทำเพื่อได้โน่น ได้นี่ ได้นั่น
เห็นโน่นนี่นั่น วิเศษวิโสเป็นเจ้าลัทธิ

ขอร้องอย่าเข้าใจเรื่องการภาวนา
ในทางที่ผิดแบบนั้นเลย

การทำภาวนานั้นทำเดี๋ยวนี้
มันก็ได้ผลเดี๋ยวนี้
เห็นผลเดี๋ยวนี้ทันทีไม่ต้องรอ

มันจบ มันวาง มันปลง
ไปในตัวมันเองทุกขณะอยู่แล้ว อยู่แล้ว

การเห็นความจริง เช่นเห็นความไม่เที่ยง
เห็นความเป็นทุกข์ เห็นอารมณ์ต่างๆเกิดขึ้น
ตั้งอยู่ ดับไปต้องรอด้วยเหรอ

ก็มันเห็นอยู่ในขณะภาวนา
เห็นในแต่ละขณะ แต่ละขณะอยู่แล้ว

เห็นแค่นั้นก็พอแล้ว จะเอาอะไรอีก
แต่ขอแค่ให้เห็นไปเรื่อยๆ ให้เห็นต่อเนื่อง
เห็นสักแต่ว่าเห็น เห็นทิ้ง เห็นวางก็พอ

อย่าทำภาวนากันแบบตัณหาภาวน
คือ มีแต่ความอยากซ้อนความอยาก
ยึดซ้อนยึด เอาซ้อนเอา อยากเห็นนั่นเห็นนี่

หนักและเหนื่อยถ้าทำแบบนี้

ถ้าเราลองมาทำภาวนาแบบฉันทะภาวนา
คือ ทำแบบให้พอใจในขณะที่กำลังทำอยู่
จบ วาง ปลงทุกลมหายใจ ทุกอริยาบท
ทำความพอใจไปเรื่อยๆ
เอาฉันทะอิทธิบาทเป็นฐาน
มันจะไม่เหนื่อย มันไม่หนัก

เพราะมันเห็นการจบในตัวมัน มันวางในตัวมัน
มันปลงในตัวมัน มันอิสระในตัวมัน ไม่ต้องรอ
ตื่นรู้ทุกขณะที่กำลังภาวนาของมันอยู่แล้ว ๆ

ไม่ต้องไปทำอะไร ไม่ต้องไปบังคับมัน
ไม่ต้องรอ ไม่ต้องอยาก

หายใจเข้าออก และหยุดก็เห็น
การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

อารมณ์อะไรเกิดขึ้นมาก็เห็น
การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปตามความเป็นจริง

สมมติใช้ บัญญัติใช้ไปก่อน
ให้มันตรงตามความเป็นจริงที่มันเป็นอยู่

ขอแค่ให้รู้วิธีทำ
และทำให้ถูกวิธี
มีความเข้าใจให้ถูกต้อง ให้ชัดเจน
ผลย่อมเกิดขึ้นกับเราทันที

การภาวนาจึงจะเป็นเรื่องสบา
เป็นเรื่องง่าย ไม่ทรมาน ไม่หนักไม่เหนื่อย

การภาวนามันเป็นเรื่อง
ของความปลอดโปร่งโล่งใจ
สว่างไสวคลี่คลาย เบากาย เบาจิต
คิดวาง เห็นวาง รู้วาง
ไร้ตัวไร้ตน ไร้อกุศลครอบงำ
อิสระทุกอารมณ์ ไม่ขัดข้อง ไม่ข้องคา
ทุกสภาวะจิต ทุกสภาวะธรรม

ถ้าทรมาน ถ้ายาก ถ้าลำบาก
รู้สึกเหนื่อย รู้สึกหนัก ไม่อยากทำ มันเบื่อ
นั่นไม่ใช่การภาวนาแล้ว

อาการแบบนั้นเรียกว่าตัณหาภาวนา
เป็นการทำเพื่อเอา เพื่อยึด เพื่ออยาก
เพื่อตัณหา เพิ่มวิบากให้กับจิตใจตนเอง

สรุปผลออกมาก็จะได้แต่ทิฏฐิมานะ งมงาย
ยึดกับยึด อยากกับอยาก
หงุดหงิดง่าย โทสะง่าย ปฏิฆะง่าย
อวดดี อวดรู้ไปทุกภพทุกภูมิ

ลองคิดดูดีๆว่า
พระพุทธเจ้า พระองค์ทรงเป็นศาสดาเอกของโลก
เป็นครูของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย
ทรงฉลาดในการสอนที่สุดในโลกทั้งสาม

เป็นไปได้หรือ ที่พระองค์จะทรงสอนธรรมะ
ของพระองค์ให้เป็นเรื่องยาก
จนมนุษย์รู้ไม่ได้ ทำไม่ได้ เข้าใจไม่ได้

พระองค์จะต้องสอนให้เป็นเรื่องง่ายที่สุด
ในทุกๆเรื่องอย่างแน่นอน

ลองใช้ปัญญาสังเกตดู พิจารณาดู
ทำดู ทดลองดู พิสูจน์ดู
แล้วจะรู้เอง เห็นเอง เข้าใจได้เองว่า
พระองค์ทรงสอนให้เข้าใจง่ายที่สุดแล้ว
ในทุกๆเรื่องอยู่แล้ว

"หงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด 
บอกทางแก่คนหลงทาง 
ส่องประทีปในที่มืด"
นี่คือ พระปัญญาธิคุณของพระองค์
หน้าที่ของพระองค์

ที่มันยุ่งยาก ก็เพราะพวกเราพากัน
มาทำให้มันยากกันเอง ยุ่งกันเอง
จนจับต้นชนปลายไม่ถูก
โดยเฉพาะเรื่อง การภาวนา ฯ

วัดพระมหาชนก บ้านพลังเพียร
10.11.2018
.........................................
จาก Facebook :วัดพระมหาชนก-บ้านพลังเพียร

วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2561

อัตตา



กวนอู
...ตาย เพราะหยิ่งในความเป็นทหาร เพิกเฉยต่อการเจรจากับซุนกวนจนสุดท้ายหัวขาดในสถานะผู้แพ้สงคราม

เตียวหุย
...ตาย เพราะลุแก่โมหะ ถือตนว่าเป็นแม่ทัพใหญ่ สั่งโบยตีทหารเลว จนสุดท้ายทหารเลวแอบมาปาดคอตอนแม่ทัพใหญ่กำลังเมามาย

เล่าปี่
...ตาย เพราะลุแก่โทสะ อยากแก้แค้นให้กวนอู ถือตนว่าเป็นอ๋องเป็นกษัตริย์จนลืมไตร่ตรองวิธีตั้งค่าย สุดท้ายพลาดท่าถูกลกซุนแม่ทัพหน้าใหม่ของซุนกวนพาทหารมาเผาค่ายจนวอดวาย เล่าปี่บาดเจ็บและตรอมใจตาย

โจโฉ และ ซุนกวน
...ผู้ที่ได้ชื่อว่าจอมทัพและครองพื้นที่ 1 ใน 3 ของแผ่นดินมังกร ตายด้วยอาการประสาทเสื่อม มองเห็นภาพหลอนของคนที่ตัวเองเคยเข่นฆ่า

จิวยี่
...ผู้มีปัญญาล้ำเลิศที่สุดในง่อก๊ก ต้องกระอักเลือดตายเพราะไม่สามารถระงับโทสะที่เกิดขึ้นจากการพ่ายแพ้อย่างราบคาบแก่ผู้มีปัญหาเลิศล้ำกว่าตน ที่มีนามว่า ขงเบ้ง

จูกัดเหลียง หรือ ขงเบ้ง
...ผู้มีปัญญาเลิศล้ำที่สุดในแผ่นดินมังกร ตายไปพร้อมกับอาการห่วงหน้าพะวงหลัง พะว้าพะวัง ในราชกิจที่ยังคงคั่งค้าง

ที่กล่าวมาทุกคนล้วนแต่เป็น "วีรบุรุษ" ล้วนแต่เป็น "นักปราชญ์" ล้วนแต่เป็น "เจ้าเหนือหัว"

แต่การมีแค่เพียงพละกำลัง ความรู้ และอำนาจ
ไม่ได้ช่วยให้ใครตายสบายสักผู้สักคน
ตราบใดที่คนเหล่านั้นยังคงยึดถือ "ตัวตน"
หรือ "อัตตา" ในตัวเองอยู่

จะกล่าวถึง

เตียว จูล่ง หยุ่น
...แม่ทัพคนสำคัญของเล่าปี่ ผู้นี้ฆ่าคนมามาก ไต่เต้าจากตำแหน่งทหารกระจอก จนได้เป็นแม่ทัพใหญ่แห่งจ๊กก๊ก
...แต่ทุกภารกิจ ทุกศพที่เขาเข่นฆ่า และทุกสงคราม จูล่งไม่เคยเอาอารมณ์เข้าไปผสม
...จูล่งทำ "หน้าที่เพื่อหน้าที่" เท่านั้น
...แม้ก่อนตายจูล่งจะเสียสถิติ "ขุนศึกผู้ไร้พ่าย" เพราะต้องมีอันพ่ายแพ้ในศึกเทียนสุย จนแทบเอาชีวิตไม่รอด แต่จูล่งสามารถละอัตตา สั่งถอยทัพเพื่อรักษาประโยชน์ส่วนรวม
...และยังปลงใจให้ยอมรับในความจริงที่เกิดขึ้นได้
...วาระสุดท้ายของจูล่ง จึงจากไปอย่างสงบ
...สงบจนพระเจ้าเล่าเสี้ยนถึงกับหลั่งน้ำตาชโลมแผ่นดินมังกรให้แก่ขุนศึกผู้เปรียบเสมือนบิดาของตนเอง

ความเครียดจากชีวิตยุคดิจิทัล
คงไม่ได้เกิดมาจากความลำบากในการทำงานอย่างเดียว ไม่ได้เกิดมาจากความผิดพลาดหรือผิดหวังอย่างเดียว

แต่เกิดจากการที่เรา เอาตัวเรา เข้าไปผสมกับงาน
ผสมกับผลการสอบ กับผลการประเมิน กับเงินเดือน
หรือกับสิ่งต่างๆ รอบกาย

พระพุทธองค์จึงทรงสอนให้เรา
ละตัวตน + ลดอัตตา

ทำหน้าที่ = เพื่อหน้าที่

#3ก๊กฉบับสอบราชการ
#ธรรมะสวัสดีครับทุกท่าน
@@@@
ขอบคุณข้อมูลจาก Fwd.Line

วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ปฏิปทา..


"ปฏิปทาท่านผู้เฒ่า" บางตอนมานำเสนอ
(คำว่า ปฏิปทา หมายถึง แนวปฏิบัติ ทางดำเนิน การปฏิบัติแบบที่เป็นทางดำเนินให้ถึงจุดหมาย คือ ความหลุดพ้น หรือสิ้นอาสวะ)

(*)อย่าทะนงตัว (*)

อย่าทะนงตน คิดว่าเราเป็นคนดี ถ้าคิดว่าดีเป็นผู้วิเศษเมื่อไร
เมื่อนั้นแหละ กรรมใหญ่  อันตรายใหญ่จะมาถึงท่าน  ที่เราเรียกกันว่า "ความประมาท"

ขอจงพยายามคุมตนไว้ตามคำแนะนำขององค์สมเด็จพระบรมโลกนาถ นั่นก็คือ ทรง"อิทธิบาท4" ให้ครบถ้วน มี"จารณะ" 15 ครบถ้วน มี "บารมี" 10 ครบถ้วน
ถ้าครบเท่านี้ อาการของความโลภไม่มี อาการของความทะเยอทะยานในเรื่องเพศในลักษณะของกามคุณไม่มี  อารมณ์ที่จะฝังไว้กับความโกรธไม่มี  การที่จะยึดถืออะไรเป็นเราเป็นของเราไม่มี. ที่ยังมีอยู่ก็เพราะว่า เพียงแต่รับฟังเฉยๆ  ดีไม่ดีก็จำไว้  เอาไว้เป็นเครื่องข่มขู่คนอื่น
    ทะนงตนอวดว่าเป็นผู้ทรงคุณธรรมด้านปริยัติ. ถ้าอารมณ์อย่างนี้เขาเรียกว่า (*)ปฏิบัติเหลว  ไม่มีอะไร(*)
แดนที่จะไป ก็คือ อเวจีมหานรก หรือว่า โลกันตนรก
Cr.Fwd . line  :Moo-แป๊ะ

วันอังคารที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ตามใจ...

ปล่อยไป ตามใจ
อย่าห้าม ตามสบาย
——————-

หากจะโง่  จงโง่ไป  ให้หมดโง่
แล้วค่อยโผล่ โงหัวดู  ให้รู้ซึ้ง
ว่ามายา อย่ายึดถือ ใยดื้อดึง
ทำไมจึง ถึงจมปลัก  รักบูชา

หากจะทุกข์ จงทุกข์ไป ให้หมดทุกข์
แล้วค่อยสุข แบบอิ่มใจ ไม่โหยหา
ทุกวันคืน  จิตตื่นอยู่  รู้ลืมตา
มีปัญญา  รักษาตน ให้พ้นกาม

หากจะโกรธ จงโกรธไป ให้หมดโกรธ
แล้วค่อยโทษ  ใจของเรา เขลาแบกหาม
มันคือไฟ  ไม่ระวัง ยังวิ่งตาม
จึงถูกหนาม ความเสน่หา ปักคาใจ

หากจะหลง จงหลงไป  ให้หมดหลง
แล้วค่อยปลง ละเลิกลด หมดสงสัย
ในโลกีย์ ที่หลอกล่อ  ให้พอใจ
หยุดหลงไหล ไม่ไขว่คว้า เลิกบ้าบอ

หากจะบ้า จงบ้าไป ให้หมดบ้า
แล้วค่อยมา หาสติใหม่ ให้ฉลาดหนอ
รู้จักเพียร  รู้จักพัก รู้จักพอ
รู้จักรอ เลิกก่อกรรม ทำแต่บุญฯ

วัดพระมหาชนก บ้านพลังเพียร
10.2.2018

วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2561

ปฏิบัติแล้วได้อะไร


ปฏิบัติธรรมแล้ว สุดท้ายเราจะได้แต่ความหลุดพ้นจากสิ่งทั้งหลาย
.....ผู้คนส่วนมากปฏิบัติธรรมด้วยความอยาก ความหวัง อยากให้จิตสงบ อยากได้บุญ อยากเห็นโน้นเห็นนี่เห็นสวรรค์ เห็นนรก อยากบรรลุ อยากไปนิพพาน ในความเป็นจริงหากเรายังปฏิบัติธรรมด้วยความอยาก เหมือนกับเรากำลังเติมเชื้อเพลิงแห่งกิเลสลงไปในจิตใจของเรา ยิ่งภาวนาแล้วเกิดความอยากขึ้นมา จิตใจของเรายิ่งวุ่นวาย ไม่มีวันที่จะพบความสงบที่แท้จริง หากเราลองปล่อยวางทุกอย่างในชีวิตลง แล้วมีสติดูกาย ดูใจของตนเองตามสภาพที่มันเป็นอยู่ในปัจจุบัน ไม่ต้องหวังว่าจะเกิดความสงบ เกิดสมาธิขั้นโน้นขั้นนี้ จิตใจของเราจะเริ่มปล่อยวาง และกลับมารู้กาย ใจตามความเป็นจริงของมัน
.....มีคนถามพระพุทธองค์ว่า ปฏิบัติธรรมแล้ว สุดท้ายเราจะได้อะไร?...พระพุทธองค์ตอบว่าไม่ได้อะไรเลย...จึงถามต่อไปว่า...ถ้าเช่นนั้นท่านจะปฏิบัติไปเพื่ออะไร? พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า...ตถาคตสามารถบอกเธอถึงสิ่งที่หายไปจากชีวิตหรือกายกับใจก็ คือ ความโกรธได้หายไป ความหม่นหมองวิตกกังวลก็หายไป  ความเศร้าโศกท้อแท้ก็หายไป ความกังวลไม่สบายใจได้หายไป  ความเห็นแก่ตัว ความโลภ ความหลงได้หายไป ความไม่รู้(อวิชชา)ได้หายไป คงเหลือแต่ความว่างเปล่า(สุญตา) จิตที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งหลาย มีแต่ความหลุดพ้น(วิมุตติ) เท่านั้นที่เราได้ ปฏิบัติธรรมแล้ว สุดท้ายเราจะได้แต่ความหลุดพ้นจากสิ่งทั้งหลาย
.....สร้างเหตุ  แต่อย่าหวังผล  มีสิ่งหนึ่งที่นักปฏิบัติธรรมต้องจำให้ขึ้นใจก็คือ  เวลาปฏิบัติธรรมได้ผลดีก็อย่าดีใจ  เวลาปฏิบัติธรรมได้ผลไม่ดีก็อย่าเสียใจ  เพราะถ้าทำได้ผลดีแล้วเราดีใจก็จะทำให้เราติดในผลของการปฏิบัติ  พอตอนหลังปฏิบัติได้ผลไม่ดีเท่าเดิมก็จะเกิดความไม่พอใจ  เกิดความลังเลสงสัยว่าแต่ก่อนเคยทำได้ดี  มาตอนนี้ทำไมจึงทำไม่ได้อีก  เราต้องรู้ในเหตุในผลว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอนบางครั้งสติมีกำลังสมาธิดี เราก็สามารถทำสติสัมปชัญญะให้เกิดขึ้นได้ง่าย  บางครั้งมีความฟุ้งซ่านมาก  กังวลมาก  เราก็ไม่สามารถทำสติสัมปชัญญะให้เกิดขึ้นได้  แม้ตั้งใจทำเท่าไรสติสัมปชัญญะก็ไม่เกิด  บางครั้งเราอาจจะมีความรู้สึกว่าสภาพจิตของเราตกต่ำมาก  เหมือนกับไม่เคยปฏิบัติธรรมมาก่อนเลย  มีแต่ความหงุดหงิด  ฟุ้งซ่านรำคาญใจอยู่ตลอดเวลา  ถ้าเราไม่เข้าใจก็อาจจะเกิดความท้อแท้  น้อยใจ  ทำให้การปฏิบัติธรรมเสื่อมถอยลง  หรืออาจจะถึงกับเลิกราไปเลยก็ได้  ก็ขอให้เราเข้าใจในเหตุในผลว่าเป็นธรรมดาของการปฏิบัติธรรม  ที่ย่อมมีแพ้มีชนะ  ผู้ที่ชนะตลอดก็มีแต่อรหันต์เท่านั้น  แม้แต่โสดาบันก็ยังมีแพ้มีชนะ  หน้าที่ของเราไม่ใช่การคิดมาก  กังวล  ท้อแท้  น้อยใจ  แต่หน้าที่ของเราก็คือการฝึกหัดละอุปาทาน  โดยการทำสติสัมปชัญญะให้เกิดขึ้นเสมอ ๆ  ทำบ่อย ๆ   ทำให้มาก ๆ  เมื่อปฏิบัติได้ผลดีก็อย่าดีใจ  เมื่อปฏิบัติได้ผลไม่ดีก็อย่าเสียใจ  พยายามหาทางแก้ไขด้วยเหตุ  ด้วยผล  เพื่อให้การปฏิบัติธรรมก้าวหน้าต่อไป  ให้เราพยายามสร้างเหตุให้ดีที่สุดแต่ผลลัพธ์ที่ได้จะดีหรือไม่ดีก็ช่างมัน เรียกว่า สร้างเหตุให้มากแต่อย่าหวังผล  ถ้าเราทำได้อย่างนี้ก็เป็นการละความยินดียินร้ายในผลของการปฏิบัติ  ตลอดทางของการปฏิบัติธรรม  เราจะพบความจริงว่า  ตราบใดที่เรามีความยินดียินร้ายในผลของการปฏิบัติ  การปฏิบัติก็จะไม่ก้าวหน้า  ต่อเมื่อเราละความยินดียินร้ายเสียได้  การปฏิบัติธรรมจึงจะก้าวหน้าต่อไป

ธรรมะห่มดอย
ขอบคุณข้อมูลจาก  Fwd.Line

วันพุธที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2561

เก็บมาฝาก

คุยกันวันนี้
————

ความคิดก็ดี
คำพูดคำจาก็ดี
การกระทำทางกายก็ดี

ต้องใช้สติปัญญาระวังให้ดี
เพราะตัวอัตตาจะแทรกตลอด
ทิฏฐิมานะจะคอยสนับสนุนตลอด
ตัณหาจะคอยยึดเอา คอยจ้องเอาตลอด
ตัวอุปทานในสมมติบัญญัติจะรีบสรุปยึดทันที
แต่ละตัวทำหน้าที่เร็วมาก

ถ้าไม่มีตัวรู้ทิ้ง ถ้าไม่มีตัวสติตื่น ปัญญาตัด
ที่ฝึกฝนอบรมมาอย่างถูกต้อง ถูกทางดีแล้ว

ตัวอัตตาแห่งความสำเร็จ
ความรู้ ความดีมันคับอกคับใจ
ใหญ่จนหาที่ลดตัว ลดตนไม่ได้เลย
มันจะพอกพูน เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย

มันก็จะเก็บเอาทุกสิ่งทุกอย่างมายึด
มาเป็นขยะอารมณ์ มาเป็นขยะสมอง
มาเป็นขยะความคิด มาเป็นตัวกู ของกู

พร้อมที่จะออกดอกออกผลให้เป็นความเบื่อ
การย้ำคิดย้ำทำ หนังเก่าฉายใหม่
ฟุ้งซ่านไม่มีที่จบที่สิ้น พูดจาเพ้อเจ้อ
โนน่นี่นั่น มีแต่ความเครียด ความทุกข์
ในอารมณ์มีแต่ความติดขัด ขัดข้อง บีบคั้น

เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดภาวะโรคหลายอย่าง

แล้วก็หลุดออกมา เป็นโทสะ เป็นโลภะ
เป็นโมหะ เป็นปฏิฆะต่อหมู่คณะ ต่อสังคม
ต่อสิ่งที่ได้รับรู้ ได้พบได้เจอ

ความคิดจะหนักตลอด จิตจะอึดอัดตลอด
ต้องคอยเอาตัวปรุง ตัวแก้ ตัวช่วยทางโลกีย์
มีทั้งเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ เรื่องเที่ยว
เรื่องเล่น เรื่องดูมาช่วยดับชั่วครั้งชั่วคราว
ไม่งั้นก็อาจจะบ้าตาย เครียดตายได้

วงจรชีวิตมีแต่เอากิเลสซ้อนกิเลส
ตัณหาทับถมตัณหา หลงซ้อนหลง

ชีวิตทั้งชีวิต
จึงหาความปลอดโปร่ง โล่งใจ สว่างไสว
คลี่คลาย เย็นกายเย็นจิต
คิดตื่นรู้เบิกบาน สงบเย็นเป็นกุศล
ไร้ตัวไร้ตนแบบทางธรรมไม่มีเลยฯ

อโหสิ โส  ฯ

วัดพระมหาชนก บ้านพลังเพียร
8.14.2018

วันอังคารที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2561

เก็บมาฝาก



จาก Fwd.line
เรืองตื่นมาฉี่กลางคืน ไม่นึกว่าจะซับซ้อนขนาดนี้


“ปัสสาวะกับภาวะหัวใจอุดตัน”
  อยากให้ สละเวลาซัก 2 นาที เพื่ออ่านบทความ อันมีค่านี้
  แพทย์ชาวอเมริกันได้กล่าวถึง  ปัญหาความเกี่ยวเนื่อง ระหว่าง การปัสสาวะ ตอนกลางคืน กับ ภาวะการอุดตัน ของหัวใจและ สมอง
   วันนี้เอาความรู้ที่สำคัญที่ พวกเราต้องระวังมาเล่าสู่กันฟัง
   คนแก่มักมีปัญหาของ การปัสสาวะตอนกลางคืน  ทำให้ไม่ยอมดื่มน้ำก่อนนอน และไม่ยอมดื่มน้ำ หลังจากที่ตื่นขึ้นมาปัสสาวะ กลางดึก แต่นี่ กลับกลายเป็นสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้เกิด ภาวะสมองอุดตัน ในยามเช้าของ คนแก่ได้
   จริงๆแล้ว ภาวะการปัสสาวะ สองครั้งในเวลาคืน ไม่ใช่ปัญหาการเสื่อม สมรรถนะของกระเพาะ ปัสสาวะ     
  ที่ปัสสาวะตอนกลางคืน ก็เพราะคนแก่มีประสิทธิภาพ ของหัวใจที่เสื่อมถอย หัวใจห้องขวา สูบโลหิตจากร่างกาย ช่วงล่างเข้าหัวใจ อ่อนแรงลง....
    อิริยาบถของคนเราที่ทำงาน ในเวลากลางวัน ทำให้ เลือดไหลลงสู่ด้านล่างของ ร่างกายได้ง่าย  และคน ที่หัวใจไม่ปกติ หัวใจไม่ค่อยมีแรง ที่จะสูบเลือดให้กลับขึ้น สู่หัวใจ แรงโน้มถ่วง เป็นแรงกดที่จะทำให้ ช่วงล่างของคนแก่เหล่านี้ มีลักษณะบวมน้ำ  พอตกกลางคืน เวลานอนราบ ร่างกายช่วงล่าง มีแรงกดน้อยลง น้ำที่สะสมอยู่ ในร่างกายช่วงล่าง ก็จะซึมกลับ เข้าสู่กระแสเลือด
   เวลาน้ำในร่างกายมากเกินไป ไตก็จะเริ่ม ขับน้ำออก ทำให้ กระเพาะปัสสาวะ กระตุ้น เรา ให้ตื่นขึ้นมา ปัสสาวะในเวลากลางคืน
   ดังนั้นหลังจากนอนราบ ได้ 3-4 ชั่วโมง ก็ต้องตื่นขึ้นมา เข้าห้องน้ำครั้งหนึ่ง  แต่น้ำในเลือดที่ยังไม่หมด ยังคงสะสมมากขึ้น เรื่อยๆ ทำให้ผ่านไปอีก 3 ชั่วโมง ก็ต้องลุกขึ้นมา เข้าห้องน้ำเป็นครั้งที่ 2  ...แล้วทำไมจึงเป็นสาเหตุสำคัญ ทำให้สมองอุดตัน หรือหัวใจอุดตันล่ะ
   ก็เพราะว่าหลังจากถ่าย ปัสสาวะไป 2-3 ครั้ง ระดับน้ำในเลือดมีปริมาณน้อยลงมาก ในฤดูหนาว อากาศที่แห้ง จะดูดความชื้น จากลมหายใจของเรา ด้วย ทำให้เลือด เริ่มกลายสภาพหนืดข้น ขึ้น อีกทั้งเวลานอน ร่างกายมี activity ต่ำ และหัวใจ เต้นช้าลง ทำให้เลือด ที่หนืดข้นเกิดการอุดตันได้ง่าย นี่คือ สาเหตุสำคัญที่ว่า ทำไมคนแก่ส่วนใหญ่ มักจะเกิดปัญหา หัวใจอุดตัน หรือ สมองอุดตัน ในเวลาตี 5 หรือ 6 โมงเช้า และทำให้ เกิดภาวะการตายในขณะนอนหลับ
   เรื่องแรกที่จะบอกทุกท่านก็คือ การปัสสาวะ ตอนกลางคืน ไม่ใช่ความบกพร่อง ของ กระเพาะปัสสาวะ หรือ ปัญหา ของหัวใจอ่อนแรง
   เรื่องที่ 2 ที่ต้องบอกทุกท่านก็คือ ก่อนนอนจะต้องดื่มน้ำอุ่น และ หลัง ลุกขึ้นมาปัสสาวะ ในตอนกลางคืนแล้ว ก็ควรดื่มน้ำอุ่นอีก อย่ากลัว การปัสสาวะ ในเวลากลางคืน เพราะ การไม่ดื่มน้ำ จะทำให้ เกิดอันตรายถึงชีวิตได้

   เรื่องที่ 3 ที่ต้องบอกทุกท่านก็คือ ในเวลาปกติควรฝึกออกกำลังกายให้หัวใจแข็งแรง ร่างกายคนเราไม่ใช่เครื่องจักร เครื่องจักรใช้บ่อยๆ จะสึกหรอได้ แต่ร่างกาย กลับตรงกันข้าม ถ้าฝึกบ่อยๆจะแข็งแรงขึ้น
   ในเวลาปกติ จะต้องไม่กินอาหารที่ทำให้เสียสุขภาพ โดยเฉพาะอาหารประเภทแป้ง และอาหารที่ทอด ด้วยน้ำมัน
    ถ้าคุณชอบบทความนี้ กรุณาส่งต่อให้เพื่อนสูงอายุที่คุณรัก
     นำเสนอโดย หัวหน้าพยาบาลเกษียณ (l)(o)(v)(e) (u): (love).

วันอังคารที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2561

พุทธศาสนา


จาก Fwd.Line

พระพุทธศาสนาได้รับการโหวตให้เป็น "ศาสนาที่ดีที่สุดในโลก"
(Buddhism won the “Best Religion in the World” award.)

พระพุทธศาสนาได้รับการโหวตให้เป็น "ศาสนาที่ดีที่สุดในโลก" จากบรรดาผู้นำศาสนาทั่วโลกกว่า 200 คน ที่ไปนั่งสุมหัวประชุมกันที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

เลิศ!!!

คณะกรรมการเพื่อความก้าวหน้าทางศาสนาและจิตวิญญาณ -Internation Coalition for the Advancement of Religious and Spirituality (ICARUS) ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ได้ลงมติให้รางวัล "ศาสนาที่ดีที่สุดในโลก"แก่พระพุทธศาสนา

บรรดาผู้นำศาสนากว่า 200 คนจากทุกๆหน่วยงานที่เกี่ยวกับจิตวิญญาณ ได้ลงมติให้รางวัลนี้ในที่ประชุมด้วยมติเอกฉันท์

เกณฑ์ในการพิจารณาจะดูจากการที่ศาสนานั้นๆ ส่งเสริมสันติภาพ ความรัก และความรู้สึกเชื่อมโยงทั้งในระดับปัจเจกและในระดับสังคม รวมถึงสนับสนุนการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ไม่นิยมความรุนแรง โดยให้สมาชิกจำนวน 200 คนจากทั้ง 38 ศาสนาหลักของโลกร่วมกันโหวต

เป็นที่น่าสังเกตุว่า ผู้นำศาสนาจำนวนมากได้ลงมติให้แก่พระพุทธศาสนายิ่งกว่าศาสนาของตนเอง ทั้งที่มีชาวพุทธเป็นส่วนน้อยอยู่ในคณะกรรมการนี้

และนี่เป็นความเห็นจากคณะกรรมการบางท่าน

Johnne Hult ผู้อำนวยฝ่ายค้นคว้าของ ICARUS กล่าวว่า ....ไม่เป็นที่น่าแปลกใจที่ชาวพุทธจะได้รับรางวัลนี้ เพราะว่าชาวพุทธไม่เคยมีสงครามศาสนากับใคร ซึ่งเรื่องนี้แตกต่างจากศาสนาอื่นๆ ที่ดูเหมือนจะเก็บปืนไว้ในตู้เสื้อผ้า แต่จะหยิบมันออกมาใช้ทันทีในนามของพระผู้เป็นเจ้า เราไม่เคยเห็นกองกำลังชาวพุทธที่ตั้งขึ้นโดยอ้างศาสนา พวกเขาประพฤติตนได้ในสิ่งที่ตัวเองพร่ำสอน ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับวัฒนธรรมของศาสนาอื่น ที่กลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม

Ted O Shanghnessy บาทหลวงคาทอลิค
จากกรุงเบลฟาสต์ ได้กล่าวว่า..

"ถึงแม้ฉันจะรักและนับถือศาสนาคาทอลิก แต่ก็รู้สึกไม่สบายใจที่เราพร่ำสอนให้คนรักกัน แต่เมื่อถึงคราวที่จะฆ่ามนุษยชาติด้วยกัน ก็อ้างว่าเป็นเจตนารมณ์ของพระผู้เป็นเจ้า ด้วยเหตุนี้ ฉันขอลงมติให้ศาสนาพุทธ"

Tal Bin Wassad นักการศาสนาจากปากีสถานกล่าวผ่านล่ามว่า..

"แม้ข้าพเจ้าจะเป็นมุสลิมที่เคร่งครัด แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงต้องมีการโกรธแค้นและหลั่งเลือดในนามของศาสนา แทนที่จะมีการเจรจาตกลงกันในระดับบุคคลต่อบุคคล ซึ่งสิ่งเหล่านี้พบได้เฉพาะในกลุ่มชาวพุทธ"

Tal Bin Wassad ซึ่งเป็นสมาชิกจากปากีสถาน
ของ ICARUS ยังได้กล่าวต่อไปอีกว่า ...

"ความจริงผมมีเพื่อนซี๊เป็นชาวพุทธหลายคนด้วย"

Robbi Shmuel Wassestein จากเยรูซาเล็ม
ได้กล่าวว่า..

"แน่ละ ข้าพเจ้ารักศาสนายิว และคิดว่าเป็นศาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก แต่ความจริงแล้ว ข้าพเจ้าปฏิบัติวิปัสสนาทุกวันก่อนสวดมนต์ทางศาสนาตัวเองด้วยซ้ำ"

อย่างไรก็ดีมีปัญหาอยู่ข้อหนึ่งว่า ICARUS ไม่รู้ว่าจะมอบรางวัลนี้ให้แก่ผู้ใด เพราะชาวพุทธทั้งหมดตอบว่าไม่ต้องการรางวัลนั้น

เมื่อถามชาวพุทธจากพม่าว่าทำไมจึงไม่ยอมรับรางวัลนี้..พระ Bhante Ghurata Hanta จากพม่าได้กล่าวว่า..

"เราขอขอบคุณในรางวัลนี้ แต่เราถือว่ารางวัลนี้เป็นของมนุษยชาติทั้งมวล เพราะจิตพุทธะล้วนพบอยู่ในกายของพวกเราทุกคน"

ว้าว!!...คำตอบท่านได้มงกุฏ ชนะเลิศ
---------------------------------------------------
Tribune de Geneve

In advance of their annual Leading Figure award to a religious figure who has done the most to advance the cause of humanism and peace, the Geneva-based International Coalition for the Advancement of Religious and Spirituality (ICARUS) has chosen to bestow a special award this year on the Buddhist Community. “We typically prefer an under-the-radar approach for the organization, as we try to embody the spirit of modesty found in the greatest traditions,” said ICARUS director Hans Groehlichen in a phone conference Monday. “But with organized religion increasingly used as a tool to separate and inflame rather than bring together, we felt we had to take the unusual step of creating a “Best Religionin the World” award and making a bit of a stir, to inspire other religious leaders to see what is possible when you practice compassion.”

Advertisement

Groehlichen said the award was voted on by an international roundtable of more than 200 religious leaders from every part of the spiritual spectrum. “It was interesting to note that once we supplied the criteria, many religious leaders voted for Buddhism rather than their own religion,” said Groehlichen. “Buddhists actually make up a tiny minority of our membership, so it was fascinating but quite exciting that they won.”

Advertisement

Criteria included factors such as promoting personal and community peace, increasing compassion and a sense of connection, and encouraging preservation of the natural environment. Groehlichen continued

“The biggest factor for us is that ICARUS was founded by spiritual and religious people to bring the concepts of non-violence to prominence in society. One of the key questions in our voting process was which religion actually practices non-violence.”

When presenting the information to the voting members, ICARUS researched each of the 38 religions on the ballot extensively, offering background, philosophy, and the religions role in government and warfare. JonnaHult, Director of Research for ICARUS said “It wasn’t a surprise to me that Buddhism won Best Religion in the World, because we could find literally not one single instance of a war fought in the name of Buddhism, in contrast to every other religion that seems to keep a gun in the closet just in case Godmakes a mistake. We were hard pressed to even find a Buddhist that had ever been in an army. These people practice what they preach to an extent we simply could not document with any other spiritualtradition.”

Advertisement

At least one Catholic priest spoke out on behalf of Buddhism. Father Ted O’Shaughnessy said from Belfast, “As much as I love the Catholic Church, it has always bothered me to no end that we preach love in our scripture yet then claim to know God’swill when it comes to killing other humans. For that reason, I did have to cast my vote for the Buddhists.”

And Muslim Cleric Tal Bin Wassad agreed from Pakistan via his translator.

“WhileI am a devout Muslim, I can see how much anger and bloodshed is channeled into religious expression rather than dealt with on a personal level. The Buddhists have that figured out.”

Bin Wassad, the ICARUS voting member for Pakistan‘s Muslim community continued,

“In fact, some of my best friends are Buddhist.”

And Rabbi Shmuel Wasserstein said from Jerusalem,

“Of course, I love Judaism, and I think it’s the greatest religion in the world. But to be honest, I’ve been practicing Vipassana meditation every day before minyan(daily Jewish prayer) since 1993. So I get it.”

Advertisement

Groehlichen said that the plan was for the award to Buddhism for “Best Religion in the World” to be given to leaders from the various lineages in the Buddhist community. However, there was one snag. “Basically we can’t find anyone to give it to,” said Groehlichen in a followup call late Tuesday. “All the Buddhists we call keep saying they don’t want the award.” Groehlichen explained the strange behavior, saying “Basically they are all saying they are a philosophical tradition, not a religion. But that doesn’t change the fact that with this award we acknowledge their philosophy of personal responsibility and personal transformation to be the best in the world and the most important for the challenges facing every individual and all living beings in the coming centuries.”

Advertisement

When asked why the Burmese Buddhist community refused the award, Buddhist monk Bhante Ghurata Hanta said from Burma,

“We are grateful for the acknowledgement, but we give this award to all humanity, for Buddha nature lies within each of us.”

Groehlichen went on to say

“We’re going to keep calling around until we find a Buddhist who will accept it. We’ll let you know when we do.”

Cr.  ชยุต เมธาวิชิตชัย
ประธานคณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ฯ (รับจัดงานแถลงข่าวฯออกสื่อ "ครบวงจร")
โทร. 0910935555

วันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2561

พุทธศาสนาที่ประเทศไทย

#รัฐมนตรีอินเดียทำโลกสะเทือน
เดินทางมาอุปสมบท ที่เมืองไทย

#รัฐมนตรี ศรีราชกุมาร บาโดเล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม 
แห่งแคว้นมหาราษฎร์ อินเดีย เดินทางมาอุปสมบทที่เมืองไทย
ณ วัดธาตุทอง กทม.
30 ก. ค. - 5 ส. ค. 2561 ฉายา “พุทธพโล”

#แคว้นมหาราษฎร์ มี 36 เมือง เมืองหลวงคือ มุมไบ
เมืองสำคัญอาทิ ปูเณ่,ออรังกาบัด โดยเฉพาะเมืองนาคปูร์ 
ที่ ดอกเตอร์ อัมเบดการ์ นำชาวฮินดูกว่า 500,000 คน ทำพิธีปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ
เมื่อวันนี้ 14 ตุลาคม  พ.ศ.2499
 มีถ้ำที่เกี่ยวกับพุทธศาสนากว่า
1,000 ถ้ำ ทั่วแคว้น
Cr. Lakana Chanram

สิ่งที่น่าคิดเป็นอย่างมากในขณะนี้
ก็คือมุมมองที่ชาวต่างประเทศ
มองพุทธศาสนาเมืองไทยกับ
มุมมองที่คนไทยมองพุทธศาสนา
ช่างแตกต่างกันลิบลับชนิดที่เทียบ
กันไม่ได้เลยในทุกกรณี

ซึ่งสาเหตุสำคัญก็คือบทบาท
ในการนำเสนอข่าวของบรรดาสื่อ
จากหลายๆสำนักนั่นเอง
สื่อเมืองไทยเลือกจะนำเสนอข่าว
ในด้านลบให้พุทธศาสนาเสียหาย
จะด้วยเจตนาอะไรก็แล้วแต่

ในขณะที่สื่อต่างประเทศ
เลือกที่จะนำเสนอข่าวที่เกี่ยวกับ
พุทธศาสนาในด้านบวก
เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจเลย
ว่าทำไมแต่ละปีจึงมีชาวต่างชาติ
จำนวนไม่น้อยในแต่ละปีจึงสนใจ
เดินทางมาศึกษาพุทธศาสนา
ในเมืองไทย

ในเมื่อคนจำนวนมากมาก
ยังนับถือสื่อคือเทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์
สื่อนำเสนออย่างไรก็เชื่ออย่างนั้น
อนาคตของพุทธศาสนา
จะรุ่งเรืองหรือจะเสื่อมสูญสื่อก็ยัง
มีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้
กำหนดชะตากรรมพุทธศาสนา

#ในเมื่อสื่อกระแสหลักไม่ได้มอง
"พระพุทธศาสนา"เหมือนเป็นมิตร
ถ้าเรารักพุทธศาสนาอย่างแท้จริง
ก็คงไม่มีทางเลือกอื่นใด ดีไปกว่า
เราทุกคน พร้อมใจ และจับมือกัน
ลุกขึ้นมา "เป็นสื่อ" เสียเอง

ด้วยการนำเสนอ แต่ข่าวด้านบวก
ของพุทธศาสนา ถ้าทำกันอย่างนี้
พุทธศาสนาก็จักมั่นคงอยู่อีกนาน
ซึ่งใครๆก็ทำได้อยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับ
เราพร้อมจะทำกันหรือเปล่า?

#ไม่ใชแค่ดีต่อพุทธศาสนา
แต่จะดีต่อสังคม ประเทศชาติ
ดีต่อใจตัวเอง และโลกนี้ด้วย

......."เพจเพื่อธรรมเพื่อชีวิต".......
.....เพื่อความสุขและสันติภาพ.....
"เราจะเป็นแสงสว่าง ให้กันเสมอ"
*******
Cr.Fwd.Line

วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

เก็บมาฝาก...จาก ไลน์



มีเรื่องเล่าว่า  อาจารย์วิษณุเป็นคุรุที่มีลูกศิษย์มาก แต่มีศิษย์เด่นสองคน คือ ชัย กับ จิต เป็นผู้ชายทั้งคู่

ชัยมักรู้สึกน้อยใจที่อาจารย์วิษณุโปรดปรานจิตมากกว่า ส่วนอาจารย์รู้ว่าชัยคิดอย่างไรกับตน แต่ก็ไม่ได้พูดหรืออธิบายเหตุผลว่าทำไมจึงโปรดปรานจิตมากกว่า

วันหนึ่งอาจารย์เรียกลูกศิษย์ทั้งสองคนมาหา แล้วพาไปดูห้องเปล่าสองห้องที่อยู่ไม่ไกลกันนัก มอบเงินให้ลูกศิษย์คนละหนึ่งรูปี แล้วมอบหมายว่า พวกเธอทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้ห้องของเธอเต็ม อาจารย์จะมาดูผลงานของเธอค่ำนี้

เมื่อได้รับมอบหมาย ชัยก็รีบไปที่ตลาดทันที แต่เงินหนึ่งรูปีนั้นมีค่าน้อยมาก ซื้ออะไรก็ได้นิดหน่อย เขาคิดอยู่สักพัก ก็ไปหาคนเก็บขยะ  ขอซื้อขยะทั้งกองด้วยเงินหนึ่งรูปี คนเก็บขยะยินดียกขยะให้หมด  ชัยใช้เวลาหลายชั่วโมงในการขนขยะเข้าไปไว้ในห้องจนเต็ม  เขาภูมิใจที่ทำงานที่อาจารย์มอบหมายเสร็จทันเวลา

ส่วนจิตเมื่อรับมอบหมายจากอาจารย์ เขาก็นั่งสมาธิพักใหญ่ จากนั้นก็ค่อย ๆ เดินไปที่ตลาด  ใช้เงินหนึ่งรูปีซื้อไม้ขีดไฟ ธูป และประทีบ พอใกล้ค่ำก็จุดธูปและประทีป  ไม่นานห้องก็สว่างและอบอวลด้วยกลิ่นหอม

เมื่อได้เวลาอาจารย์ก็มาตรวจผลงานของลูกศิษย์  โดยไปที่ห้องของชัยก่อน พอเปิดห้องอาจารย์ก็ผงะ เพราะว่ากลิ่นขยะเหม็นตลบอบอวลเต็มห้องเลย

จากนั้นก็เดินไปยังห้องของจิต พอเปิดประตูมาก็เห็นแสงสว่างสีนวลเต็มห้อง และมีกลิ่นหอมอบอวล อาจารย์ยิ้มให้กับบรรยากาศที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า  ถึงตรงนี้ชัยก็รู้แล้วว่าอาจารย์ชอบห้องไหน และเข้าใจแล้วว่าทำไมอาจารย์จึงโปรดปรานจิตมากกว่าตน

ทั้งสองคนตอบโจทย์อาจารย์ได้ทั้งคู่ เพราะใช้เงินหนึ่งรูปีทำให้ห้องของตัวเองเต็ม แต่ห้องหนึ่งเต็มไปด้วยขยะ ส่วนอีกห้องเต็มไปด้วยกลิ่นหอมและแสงสว่าง
         
นิทานเรื่องนี้ไม่ได้ชี้เพียงแค่ว่าใครฉลาดกว่าใครเท่านั้น แต่สะท้อนให้เห็นมุมมองหรือวิธีคิดของสองคนที่แตกต่างกัน ชัยคิดแต่ในเชิงวัตถุ มองในแง่ปริมาณ เมื่อได้รับโจทย์ว่าทำห้องให้เต็ม เขาก็คิดถึงแต่การหาวัตถุเยอะๆ มาเติมเต็มห้อง ซึ่งลงเอยด้วยการหาขยะมาใส่ ส่วนจิตไม่ได้คิดในเชิงวัตถุ เขามีความคิดที่ละเมียดละไมและประณีตกว่านั้น  เขาให้ความสำคัญกับคุณภาพ  เพราะฉะนั้นจึงทำให้ห้องนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นหอมและแสงสว่าง

ชัยและจิตเป็นตัวแทนของคนในโลกนี้ที่มีมุมมองต่างกัน ประเภทหนึ่งคิดในเชิงวัตถุ เวลามีปัญหา ก็นึกถึงวัตถุเป็นคำตอบ วัดความสำเร็จในแง่ปริมาณ อีกประเภทนึกถึงสิ่งที่มีคุณค่าในเชิงนามธรรม  วัดความสำเร็จในแง่คุณภาพ

นิทานเรื่องนี้เต็มไปด้วยอุปมาอุปไมย ห้องนั้นเปรียบเสมือนชีวิตของคนเรา เงินหนึ่งรูปี ซึ่งน้อยนิดนั้นหมายถึงเวลาในชีวิตของคนเราซึ่งสั้นมาก การทำให้ห้องเต็ม หมายถึงการเติมเต็มชีวิตของเรา

เมื่อพูดถึงการเติมเต็ม คนจำนวนไม่น้อยจะนึกถึงการมีชีวิตที่พรั่งพร้อมด้วยวัตถุ เงินทอง ทรัพย์สมบัติ ยิ่งมีเวลาน้อยเท่าไรยิ่งต้องรีบหามาให้เยอะๆ ชีวิตจะได้ไม่ว่างเปล่า

แต่บางคนเห็นว่าชีวิตควรจะเติมเต็มด้วยสิ่งที่งดงาม มีคุณค่าและความหมาย นั่นคือ คุณธรรมและปัญญา  กลิ่นหอมเป็นสัญลักษณ์ของคุณงามความดี  ส่วนแสงสว่างเป็นสัญลักษณ์ของปัญญา สองอย่างนี้ต่างหากที่ทำให้ชีวิตงดงามและมีคุณค่าอย่างแท้จริง

ชีวิตของคนเราจะเติมเต็มและอิ่มเอมได้ ก็เพราะอุดมด้วยคุณธรรมและปัญญา แต่คนจำนวนมากไม่สามารถมองเห็นอย่างนั้นได้ จึงเลือกที่จะไปหาวัตถุมาเติมเต็มชีวิต แต่สุดท้ายสิ่งของเหล่านั้นบางครั้งก็ไม่ต่างจากขยะ นอกจากไม่น่าชื่นชมแล้วยังเป็นภาระ

........

Cr. พระไพศาล วิสาโล

วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

วันพุธที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

จงทำเสมอ 7 อย่าง


จาก Fwd.line......
นักปราชญ์โบราณของจีนผู้เชี่ยวชาญเรื่องสุขภาพในสมัยราชวงศ์หมิง แนะนำข้อปฏิบัติ

“จงทำเสมอ 7 อย่าง” เพื่อให้จิตใจสงบและสดใสดังต่อไปนี้

1. จงมีความสงบใจอยู่เสมอ อย่าเป็นคนสิ้นหวัง อย่าโลภ อย่าต้องการสิ่งที่ไม่ถูกต้อง อย่าหมกมุ่นอยู่กับเรื่องได้เรื่องเสีย ถ้าความต้องการของเรามีน้อย จิตใจก็จะมีความสุข จึงเกิดสันติสุขขึ้น คนที่อยู่ในชนบทที่ห่างไกล มีความต้องการน้อย ชีวิตของพวกเขาจึงมีสันติสุขและอายุยืนยาว

2. จงมีจิตเมตตากรุณาอยู่เสมอ คนมีจิตใจเมตตา จะมีความสุขในการช่วยเหลือผู้อื่น ไม่คิดและไม่ทำร้ายผู้อื่น เมื่อเขาจะทำอะไรเขา จะคิดอยู่เสมอว่า จะเป็นคุณหรือเป็นโทษต่อผู้อื่น คนประเภทนี้ย่อมมีความสุข มีสุขภาพดี และอายุยืนยาว

3. จงมีจิตใจที่เที่ยงตรงเที่ยงธรรมอยู่เสมอ ต้องแยกความดีออกจากความชั่ว ความถูกออกจากความผิดได้อย่างชัดเจน การที่คนเรามีจิตใจที่เที่ยงตรง และเที่ยงธรรมนั้น จะไม่ถูกกิเลสชักนำพา ก่อให้เกิดความเดือดร้อนและในจิตใจ เขาจะไม่มีปัญหายุ่งยากและความวิตกกังวลเป็นเสี้ยนหนามชีวิต

4. จงมีสติสัมปชัญญะอยู่เสมอ คือปลุกความรู้สึกตัวตื่นตัวอยู่เสมอไม่ใจลอย ขยะความคิดก็จะไม่เกิดขึ้น เรื่องไม่สบายใจคิดซ้ำคิดซ้อนก็จะไม่เกิดขึ้น เหมือนแสงตะวันส่องมายังโลก ความมืดก็จะถูกขับออกไป

5. จงทำใจให้รื่นเริงเสมอ อย่าเป็นคนอมทุกข์เก็บทุกข์ไว้
ในใจ ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ใดอยู่ในสถานการณ์ใด ก็จงมีจิตใจรื่นเริงแจ่มใส แต่ไม่ใช่หน้าเป็นทะเล้นรำคาญผู้อื่น อย่าพูดหรือทำให้ผู้อื่นเสียใจ7 ไบ จูยี่ นักปราชญ์จีนกล่าวว่า.....“จงรื่นเริงเสมอ ไม่ว่าเราจะรวยหรือจน
จงหัวเราะเสมอ(ไม่ใช่ทะเล้นหน้าเป็น) ถ้าเราไม่อยากเป็นคนโง่” ขอให้หัวเราะและยิ้มจากหัวใจ การหัวเราะและยิ้มที่ดีครั้งหนึ่ง ทำให้หนุ่มขึ้นมาก การวิตกกังวลครั้งหนึ่ง ทำให้หัวหงอกไปหลายเส้น การหัวเราะทำให้สุขภาพใจ และ สุขภาพกายดีขึ้น มีกำลังใจต่อสู้กับโลกอันสับสน

6. จงทำตัวให้กลมกลืนกับมนุษย์ทั้งหลายเสมอ อย่าให้ค
รอบข้างกลายเป็นศัตรู การทำตัวให้ผสมกลมกลืน มิได้หมายความว่า...ทำตัวให้ตกต่ำชั่วช้าไปตามคนรอบข้าง เช่น คนโดยรอบเขาชอบดื่มเหล้า ชอบเล่นการพนัน เราก็ปรับตัวเอากับเขาด้วย อย่างนี้เรียกว่าชั่วตามกัน ไม่ใช่การปรับตัวให้กลมกลืนที่ถูกต้อง เราต้องทำตัวให้ถูกต้องให้ดีท่ามกลางความชั่วทั้งหลาย สามารถยืนหยัดอยู่ได้ในความดี แม้จะอยู่ท่ามกลางความชั่ว

7. จงพอใจในสิ่งที่มีอยู่เสมอ ไม่ว่าเราจะมีน้อยหรือมีมาก
ได้เป็นน้อยหรือได้เป็นมาก ก็จงพอใจในสิ่งที่มีที่เป็น ซึ่งได้มาโดยชอบธรรม
"หยัน ฟีไต" ...นักปราชญ์โบราณของจีนกล่าวว่า...
“ถ้ามองไปข้างหน้า จะพบว่าเรายังไม่มีสิ่งนั้นสิ่งนี้ ถ้ามองไปข้างหลัง เราจะรู้สึกพอใจว่าเราได้สิ่งต่าง ๆ ในชีวิตมามากมายแล้ว จงใช้ชีวิตอย่างง่ายๆ ข้าวต้มสักชาม เสื้อผ้าเล็กน้อยพอปิดกายไม่น่าเกลียด เท่านั้นก็พอแล้ว”

.............* การรู้จักพอ ย่อมก่อให้เกิดความสุข*...........
*******
ขอบคุณข้อมูลจาก Fwd.line