วันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2560
อย่า.....
อย่า
—
อย่าจริงจังอะไรมากเกินไป
อาจพลาดได้
อย่าไปคิดอะไรมากเกินไป
อาจเจ็บปวดได้
อย่าไปสมมติอะไรมากเกินไป
อาจบ้าได้
อย่าไปตั้งกฏเกณฑ์อะไรมากเกินไป
อาจยุ่งยากวุ่นวายได้
อย่าไปตีค่าความเป็นมนุษย์มากไป
อาจหลงได้
อย่าไปอะไรกับอะไร
อาจจะทุกข์จนตายได้
เราก็สัตว์ตัวหนึ่ง
ไม่ใช่สิ่งวิเศษอะไรนัก
เพราะมีกิเลสเต็มหัวใจ
จำไว้
มนุษย์ ก็คือ สัตว์ตัวหนึ่ง
ที่เสแสร้งแสดงเป็น
คิดเป็น พูดเป็น
ทำชั่วได้ ทำดีได้
โลภหลงมัวเมา
สัตว์ทั่วไปเขาก็คิดเป็น แสดงเป็น
แสดงแบบเขา คิดแบบเขา
ชั่วแบบเขา ดีแบบเขา
ความยาก
ความง่าย
ความแตกต่างของแต่ชีวิต
อยู่ที่สติปัญญาที่มีคุณธรรมควบคุมดูแล
ขาดสติปัญญา
ก็มีแต่ความหลง
ขาดคุณธรรม
ก็มีแต่ความเห็นแก่ตัว
ความซื่อสัตย์ คือ สิ่งที่หาได้ยากที่สุด ฯ
วัดพระมหาชนก บ้านพลังเพียร
6.24.2017
วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2560
เหตุการณ์วันเสียกรุง (มีคลิป)
เหตุการณ์วันเสียกรุงศรีอยุธยา พ.ศ.๒๓๑๐
จากละครเรื่องฟ้าใหม่
จากละครเรื่องฟ้าใหม่
Cr. Facebook ประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา
วันเสาร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2560
กำลังใจ
อนาถบิณฑิกเศรษฐี มีนามเดิมว่า สุทัตตะ ชาวเมืองสาวัตถี
เป็นเศรษฐีใจบุญ สร้างโรงทานสำหรับบริจากทานแก่คนยากจนทุกวัน จนได้ชื่อว่า "อนาถบิณฑิกะ" แปลว่า ผู้มีก้อนข้าวสำหรับคนอนาถา บิดาชื่อ สมุนเศรษฐี มารดาไม่ปรากฏชื่อ มีภริยาชื่อ นางบุญญลักขณามีบุตร ๑ คน ชื่อ กาละ มีธิดา ๓ คน คือ มหาสุภัททา จูฬสุภัททา และสุมนามีชีวิตในสมัยเดียวกับพระพุทธเจ้า
อนาถบิณฑิกเศรษฐีเกิดในตระกูลของสุมนะเศรษฐีผู้เป็นบิดา
ท่านเป็นเศรษฐีที่ใจบุญ ชอบช่วยเหลือคนตกยาก
อนาถบิณฑิกเศรษฐี ได้ไปค้าขายและได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าที่เมืองราชคฤห์จนบรรลุเป็นพระโสดาบัน ท่านจึงมีศรัทธาสร้างวัดเชตวันมหาวิหารถวายแก่พระพุทธเจ้า ด้วยเงินจำนวนมากท่านได้เป็นผู้ให้ความอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์อย่างดีมากเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พระพุทธเจ้าเสด็จประทับจำพรรษาที่วัดพระเชตวันที่ท่านสร้างมากกว่าที่ประทับใด ๆ ถึง ๑๙ พรรษา
เรื่องราวของอนาถบิณฑิกเศรษฐี
มีปรากฏมากมายในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา
เป็นเรื่องราวที่แสดงถึงความศรัทธา
ความมีสติปัญญา และความเอาใจใส่
ในการบำรุงพระพุทธศาสนา
ทำให้ท่านได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้าให้เป็น
อุบาสกผู้เลิศในการเป็นผู้ถวายทาน
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี อุบาสกผู้เลิศในการเป็นผู้ถวายทาน
ท่านมีความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก
ถึงกับเอาทองไปปูเต็มพื้นดิน
เพื่อแลกกับพื้นที่ที่จะใช้สร้างเป็นวัดเชตวัน
ท่านใช้งบประมาณในการก่อสร้างถึง ๕๔ โกฏิ
เมื่อสร้างวัดแล้ว ท่านหมั่นไปวัดถวายสังฆทาน
ฟังธรรมมิได้ขาด โดยไม่เคยไปวัดมือเปล่าเลย
ทานทั้งหลายที่ท่านบริจาคนั้นมากมายเกินที่จะคณานับ
ด้วยความที่ท่านเศรษฐีทำบุญมาก
และทุ่มเทให้กับงานพระศาสนามาก
เทวดาที่สิงสถิตอยู่ซุ้มประตูบ้าน
กลัวว่าทรัพย์สมบัติของท่านเศรษฐีจะหมด
จึงคอยหาโอกาสบอกให้ท่านเลิกไปวัด
เลิกถวายทานแด่พระพุทธเจ้า
เนื่องจากชีวิตของท่านเศรษฐีในขณะนั้น
สมบัติขาดมือ การค้าขายก็ไม่ค่อยดี
เงินทองที่เพื่อนยืมไปก็ไม่ได้คืน
ทรัพย์ที่ฝังไว้ริมตลิ่งก็ยังถูกน้ำพัดหายไปอีก
ท่านเศรษฐีจึงยากจนลง
แต่ท่านก็ยังสู้อุตส่าห์ถวายทานไม่ให้ขาดเลย
แม้จะมีเพียงน้ำผักดองกับข้าวปลายเกรียน
ท่านก็ยังคงทำทานอย่างต่อเนื่อง
ครั้นเทวดาได้โอกาสจึงเข้าไปในบ้านแล้วปรากฏกายสว่างไสว
อยู่ต่อหน้าท่านเศรษฐี และพูดเตือนว่า “ท่านเศรษฐี
ท่านอย่าได้ทำทานต่อไปเลย ตั้งแต่เข้าวัดมา
ก็มีแต่ยากจนลง ท่านควรรีบหันกลับมาทำธุรกิจของท่าน
เพื่อจะได้ทรัพย์สมบัติกลับคืนมาบ้าง จงเลิกทำบุญเสียเถอะ”
เศรษฐีได้ฟังดังนั้น แทนที่จะเชื่อฟังคำของเทวดา กลับบอกเทวดาว่า
“ท่านเป็นถึงเทวดา ทำไมมาบอกให้เราเลิกทำบุญ
ท่านจงออกไปจากบ้านของเราเสียเถิด เราจะไม่ยอมเลิกทำบุญเด็ดขาด”
เมื่อเทวดาถูกเศรษฐีขับไล่เช่นนั้น ก็ไม่มีวิมานอยู่ เพราะตนเองมีบุญน้อย
เกิดสำนึกผิด จึงไปขอร้องให้เทวดาชั้นต่างๆ
มาช่วยพูดให้เศรษฐียกโทษให้ แต่ก็ไม่มีเทวดาใดๆ มาช่วยได้
พระอินทร์จึงแนะวิธีว่า ถ้าอยากให้เศรษฐียกโทษให้
ต้องไปทวงหนี้คืนให้ท่านเศรษฐี แล้วไปเอาทรัพย์ที่ถูกน้ำพัดพาไป
กลับคืนมา นอกจากนั้นยังมีสมบัติที่อยู่ใต้ทะเลอีกมาก
ให้ไปขนมาให้เศรษฐีเพื่อจะได้ทำบุญต่อ แล้วเศรษฐีจะยกโทษให้เทวดาตนนั้นจึงทำตามที่พระอินทร์แนะนำทุกอย่าง แล้วกลับมาบอกท่านเศรษฐีพร้อมทั้งขอให้ท่านยกโทษให้ตน
ที่พูดไปอย่างนั้นก็ด้วยความเป็นห่วงท่านเศรษฐี
เมื่อท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐียกโทษให้ เทวดาจึงมีวิมานอยู่ตามเดิมพระพุทธองค์ทรงตรัสชมเชยท่านเศรษฐีว่า ทำถูกต้องแล้ว
สมกับเป็นอุบาสกผู้เลิศในการเป็นผู้ถวายทาน ยอดนักสร้างบารมีจริงๆแม้จะทำทานด้วยน้ำผักดองกับข้าวปลายเกรียนก็ได้บุญมากเพราะเมื่อจิตเลื่อมใสในพระรัตนตรัย ทักษิณาทานนั้นชื่อว่ามีผลมากแม้ท่านเศรษฐีจะยากจนลง แต่ท่านก็ไม่เคยหวั่นไหวและไม่เคยว่างเว้นจากการสร้างบารมี
เช่นนี้ได้ชื่อว่าทำตามอริยประเพณีอย่างแท้จริง
แม้พระพุทธองค์เองครั้งทรงบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์
ถึงจะยากจนข้นแค้นเพียงไร พระองค์ก็ไม่เคยเลิกล้มการทำความดี
แม้จะมีหญ้าคาเพียงมัดเดียว เมื่อถูกขอก็ไม่ได้ปฏิเสธ
และแม้จะถูกพญามารขัดขวางไม่ให้ทำทาน
พร้อมทั้งขู่ว่าถ้าขืนให้ทานอยู่อย่างนี้
จะต้องตกหลุมถ่านเพลิงลึกถึง ๘๐ ศอก พระองค์ก็ไม่เคยหวั่นไหว เพราะความเป็นผู้มีใจเด็ดเดี่ยวในการสร้างบารมีนี้เอง
จึงทำให้พระองค์ได้บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าในที่สุด
นักสร้างบารมีที่แท้จริงจะต้องไม่หวั่นไหวต่ออุปสรรคใดๆ ที่เกิดขึ้น ใจจะมุ่งไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียว เพราะเป้าหมายของเราคือ การนำตนและสรรพสัตว์เข้าข้ามฝั่งสังสารวัฏ ซึ่งจะต้องอาศัยบุญใหญ่และกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ถ้าเรามั่นคงในปณิธานเป้าหมายอันสูงส่ง ความท้อแท้จะไม่บังเกิดขึ้นในใจของเราอย่างแน่นอนเมื่อใดที่เราท้อแท้หรือสิ้นหวัง ให้นึกถึงบุญที่เคยทำมาจะทำให้มีกำลังใจ
ไม่ว่าชีวิตจะอยู่ทางโลก หรือทางธรรม ชีวิตก็อยู่ด้วยการต่อสู้ทั้งนั้นแต่เป้าหมายอาจจะต่างกัน แต่ที่แน่แน่ อยู่ด้วยการต่อสู้กับใจตนเอง
ชนะใจตนเองได้ ชนะได้ทั้งหมด
@@@@Cr. facebook https://www.facebook.com/profile.php?id=100010793084544
วันพุธที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2560
เพราะเราเพื่อนกัน
อันนี้ดีมากนะ อ่านให้ช้า นึกภาพตามด้วยก็จะสมบูรณ์
เจ้าผู่ชู นักเขียนอักษรพู่กันจีน ชื่อดัง ได้บันทึกถึงความรู้สึกที่มีต่อชีวิตเมื่อผ่านเข้า วัย 70 ซึ่งมีสาระน่าสนใจดังนี้
"พออายุใกล้ 70 ข้าพเจ้า เรียนรู้ สิ่ง 7 สิ่งในชีวิต"
1. ต้องอยู่ให้รอด
ดวงอาทิตย์ขึ้นแล้วตก อยู่อีก 1 วัน เหลือน้อยลง 1 วัน สุขอีก 1 วัน กำไร 1 วัน
2. ต้องอยู่ให้มีความสุข
ตำแหน่งสูง มิสู้มีรายได้สูง รายได้สูง มิสู้อายุยืน อายุยืน มิสู้มีความสุข..ขอให้มีความสุข เพราะความสุขคือเงินสด นอกนั้นแค่กระดาษเช็ค
3. ต้องเป็นของเราเอง
หมายถึง ไม่ใช่เป็นของคนอื่น หรือ ยืมของคนอื่นมาใช้ ตำแหน่งเป็นของชั่วคราว เกียรติยศเดี๋ยวก็ผ่านไป สุขภาพเท่านั้นที่เป็นของเรา
4. ไม่เหมือนกัน ย่อมไม่เหมือนกัน
ความรักที่พ่อแม่ให้กับลูกไม่มีขีดจำกัด แต่ ความรักของลูกต่อพ่อแม่มีขีดจำกัด ลูกๆ ป่วย พ่อแม่กลุ้มใจ พ่อแม่ป่วย แค่ลูกๆ มาเยี่ยมมาถามไถ่ ก็พอใจแล้ว ลูกๆ ใช้เงินของพ่อแม่ สมเหตุสมผล พ่อแม่จะใช้เงินของลูกๆ ต้องมีเหตุมีผล บ้านของพ่อแม่ก็คือบ้านของลูกๆ บ้านของลูกๆ ไม่ใช่ บ้านของพ่อกับแม่ ไม่เหมือนกันก็คือไม่เหมือนกัน พ่อแม่ที่เข้าใจจะถือเอาความกตัญญู กตเวทีของลูกๆ เป็นจิตอาสาและความสุข ไม่หวังการตอบแทน หากหวังการตอบแทน นั่นคือหาทุกข์ใส่ตัว
5. อย่าคาดหวังใคร
ยามป่วยอย่าคาดหวังใคร แม้แต่ลูกๆ "ไม่มีลูกกตัญญูหน้าเตียงคนป่วยเรื้อรังหรอก"
คาดหวังคู่ชีวิตหรือ เขาเองก็เอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว ที่คาดหวังได้
คือเงินอย่างเดียว ใช้เงินรักษาตัว
6. ระลึกแต่ความหลัง
อาจจำเป็นเพราะจำเรื่องราวได้น้อยลง ลืมมากขึ้น ฉะนั้น
สุขภาพคือทรัพย์ จำไว้ แข็งแรงเข้าไว้ หาความสุขเสมอ
7. อย่ากลัวความตาย
เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมชาติ ทุกคนเท่าเทียมกัน ต้องมีความพร้อมด้านจิตใจ พอยมบาลมาเรียก ก็พร้อมที่จะไปได้เลย ต้องไม่มีการอาลัยอาวรณ์
ครบ 7 ข้อ
ยามลำบาก มากอุปสรรค
ต้องตั้งหลักให้มั่นคง
ยามได้ดี มียศสูงส่ง ต้องรู้ปลง ปลดปล่อยวาง
ฉะนั้นอย่าท้อ เวลาผ่านไปเงื่อนไขเปลี่ยน สถานการณ์ก็มักผันแปร อาจดีขึ้น ก็ได้
เราไม่จำเป็นต้องรวย เพราะมีเงินมาก แต่เราอาจรวยความสุขได้เพราะการให้
**ผมอ่านทุกครั้งกินใจทุกครั้งจึงส่งต่อมา และขอขอบคุณที่อ่านจนจบครับ ขอบคุณ
เขียนได้ดีก๊อปมาให้อ่านกัน
เราคือเพื่อนกัน
ไม่ใช่สายโลหิต ไม่ใช่ญาติ หากเป็นความผูกพันที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญแท้ๆ
เป็นความประจวบเหมาะ เป็นความพอดีที่มาพบเจอ มาเรียน มาทำงานด้วยกัน มาร่วมชะตากรรมเดียวกัน แล้วนับจากนั้นก็ผูกพันกันเรื่อยมา ในฐานะเพื่อนลบไม่ออก แก้ไขไม่ได้
เว้นเสียแต่ว่า จะเปลี่ยนสถานะใหม่ให้เป็นศัตรูกัน ซึ่งโอกาสนั้นก็เป็นได้น้อยในหมู่เพื่อน
อายุล่วงมาถึงวันนี้ เพื่อนใหม่ไม่มีแล้ว ใจไม่อยากเปิดรับเข้ามาอีก ก็คงมีแต่เพื่อนเก่าสมัยเรียน ประถม- มัธยม - อุดมศึกษา - เริ่มทำงาน หรือ เรียนปริญญาบัตรอื่นๆ ซึ่งนับวันจะเหลือน้อยลงไป
เพื่อนเก่าแต่ละคน อายุก็ไล่ๆ กันกะเรา หรือแก่อ่อนกว่ากันไม่มาก บางคนไปไหนไม่ได้ ไปไม่ไหวแล้ว
บ้างก็ทำงานไกล อาศัยอยู่ไกล บ้างติดภาระของลูกบ้างเมียบ้าง กระทั่งธุระของหลาน รวมทั้งสังขารของตน
จะเห็นชัดเจนว่า มีการลดจำนวนครั้งที่นัด
นัดแต่ละทีก็มีจำนวนคนลดลง เพื่อนบางคนล่วงหน้าเสียชีวิตไปก่อนแล้ว ยามคิดถึง ก็ได้แต่จุดธูปเทียน เขียนชื่อ ยกมือพนม ทำบุญ ระลึกถึง
จะมีอะไรไปถึงหรือไม่ ไม่รู้ พิสูจน์ไม่ได้ แล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่าไปถึงเพื่อน ว่าเพื่อนจะได้รับ
"ดูแลกันยามมีชีวิต ยามเดือดร้อนนี่แหละครับ ดูแลกันตามกำลัง"
ถ้าเพื่อนไม่ช่วยเพื่อนแล้ว ใครล่ะครับจะช่วย คนอื่นเขายิ่งไม่รู้จักมักคุ้น ไม่ใช่เพื่อนกัน ใครเขาจะยื่นมือมา
ผิดพลาดไปบ้าง ห่างเหินไปหน่อย บกพร่องระหว่างกันไปบ้าง อภัยเถิดครับ
"ทำใจสบายๆ เปิดใจให้กว้าง เอื้อเฟื้อดูแลเกื้อกูลกันยามมีชีวิตดีที่สุดครับ"
เพราะเราคือ เพื่อนกัน
@@@@@@
Cr. จาก Fwd Line
วันศุกร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2560
คนไร้วาสนา
มี 4 ประการที่พระพุทธองค์ทำให้ไม่ได้
ลูกศิษย์ถามพระพุทธองค์ว่า
● เมื่อท่านเป็นผู้ที่มีความเมตตา
แล้วทำไมถึงยังมีคนที่ลำบากอยู่ ???
พระพุทธองค์ตอบว่า
● เรามี 4 ประการที่ทำให้ไม่ได้
1.ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงวิบากกรรมได้ ใครสร้างกรรมเอาไว้ ไม่มีใครรับแทนได้ คนนั้นต้องรับเอง
2. ปัญญาให้กันไม่ได้
ต้องฝึกฝนเอาเองถึงจะเกิดปัญญาได้
3. ความศรีวิลัยของธรรมะไม่สามารถสื่อทางภาษาได้ ความจริงแท้ในจักรวาล ต้องใช้การปฏิบัติ
หนทางเดียวเท่านั้น เพื่อพิสูจน์ความจริง ...
4. คนที่ไม่มีวาสนาที่ดีกับเรา จะฟังไม่เข้าถึงใจ เราจึงโปรดเขาไม่ได้ ...
ฝนแม้จะตกทั่วฟ้า ก็ยังไม่เกิดประโยชน์กับหญ้าที่ไร้ราก
พระธรรมกว้างใหญ่ไพศาล ก็ยากที่จะโปรดคนไร้วาสนา
@@@@@@@@@
Cr. จาก Fwd Line
วันจันทร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2560
30 ความมหัศจรรย์... (มีคลิป)
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Fwd Line
๓๐ ความมหัศจรรย์ ถ้าปฏิบัติธรรมอย่างถูกต้องจะเกิดสิ่งดีๆ ..ต่อไปนี้....
ธรรมทาน ....Cr.ยูทูป ธรรมบรรยาย อาศัยความตายเพื่อสลายตัวตน
๓๐ ความมหัศจรรย์ ถ้าปฏิบัติธรรมอย่างถูกต้องจะเกิดสิ่งดีๆ ..ต่อไปนี้....
ธรรมทาน ....Cr.ยูทูป ธรรมบรรยาย อาศัยความตายเพื่อสลายตัวตน
วันอาทิตย์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2560
ปาก
ปาก
-----
ปิดปากไว้ ให้สนิท มิดชิดไว้
อย่าพูดไป ในทุกเรื่อง ให้เปลืองเสียง
อย่าเล่นลิ้น ปลิ้นปลอก หลอกลำเอียง
ควรร้อยเรียง เสียงให้เหมาะ ไพเราะคำ
ปากเป็นเอก เลขเป็นโท โบราณว่า
อย่านินทา ด่าว่าใคร ให้ใจช้ำ
พูดจากใจ ไม่เสียดสี จะมีกรรม
ทุกถ้อยคำ จงจำไว้ ให้ใคร่ครวญฯ
คำเตือน
เพียงแค่คำเดียวเท่านั้น
อาจจะทำลายชีวิตของคนๆหนึ่งได้ฯ
วัดพระมหาชนก บ้านพลังเพียร
6.2.2017
วันเสาร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2560
คิดนอกกรอบ (มีคลิป)
คิดนอกกรอบ
Cr.สุขทุกวัน7วัน7กูรู ตอน การคิดนอกกรอบ โดย ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ 1 มิ.ย. 60
Cr.สุขทุกวัน7วัน7กูรู ตอน การคิดนอกกรอบ โดย ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ 1 มิ.ย. 60
วันศุกร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2560
ถอนสมอ (มีคลิป)
ถอนสมอ
คำร้อง ธาตรี ทำนอง สุนทราภรณ์
..อกเอ๋ย ขอลาก่อน
เมื่อเรือถอน สมอขอวอนไห้ว
เมื่อเรือถอน สมอขอวอนไห้ว
กราบลา แผ่นดินไทย อยู่ไหน
ใจยังห่วง หวงไม่เลือน
...แต่นี้ เช้าเย็นค่ำ
ข้าคงเห็น
แต่น้ำ ฟ้าเป็นเพื่อน
จ้องดู แต่ดาวเดือน
ไม่เหมือน
ดังดวงหน้า ของเพื่อนใจ
...ลอยเรือ เหนือลูกคลื่น
ที่คลั่ง คอยกลืนชีวิตไป
ชีพนี้ เหมือนเส้นใย
ที่ภัย ทะเลจ้องปองหมาย
..คลื่นลม โหมกระหน่ำ
สู้กับฟ้า และน้ำ มิยอมหน่าย
พวกเรา ก็เป็นชาย
ไม่ตาย คงได้คืน พื้นแผ่นดิน
...ลอยเรือ เหนือลูกคลื่น
ที่คลั่ง คอยกลืนชีวิตไป
ชีพนี้ เหมือนเส้นใย
ที่ภัย ทะเลจ้องปองหมาย
..คลื่นลม โหมกระหน่ำ
สู้กับฟ้า และน้ำ มิยอมหน่าย
พวกเรา ก็เป็นชาย
ไม่ตาย คงได้คืน พื้นแผ่นดิน
*********
ขอขอบคุณข้อมูลจาก อินเตอร์เนต
วันพฤหัสบดีที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2560
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)