อโหสิกรรม
เถิดนะคนดี......…….
*อโหสิกรรมที่ยิ่งใหญ่
ของคุณแม่ท่านหนึ่ง*
(เรื่องจริงที่ได้สร้าง
ความประทับใจ
ให้ผู้คนมาแล้วมากมาย
เมื่อแม่ส่งลูกชายไปเรียนต่างเมือง แล้วได้ทราบข่าวว่าลูกชายประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตทางรถยนต์...)
จากหมู่บ้านเกาหมิง
ในมณฑลหูหนาน
เดินทางมายังเมืองต้าเหลียน
ของ มณฑลเหลียวหนิง
ระยะทางไม่ต่ำกว่า
3,000 ก.ม.
หลัวอิงใช้เวลาเดินทาง
สองวันหนึ่งคืนเต็มๆ
ตอนแรก คู่กรณีทางฝั่ง
ต้าเหลียนกำชับให้นั่งเครื่องบินไป แต่พอหล่อนเห็นราคาตั๋วเครื่องบินแล้ว
คิดว่าช่วยคู่กรณีประหยัดเงินไว้หน่อยน่าจะดีกว่า
ชั่วชีวิตเขาอย่างเก่งก็แค่เดินทางเข้าไปซื้อของ
จากตลาดนัดในตัวเมือง
เดินทางไกลขนาดนี้ถือเป็นครั้งแรกในชีวิตของเธอจริงๆ
ต่อรถมาแล้วสองทอด และนี่คือขบวนรถไฟตรงสู่จุดหมายปลายทางต้าเหลียนเสียที
พอได้ที่นั่งเรียบร้อย
เหงื่อยังไม่ทันแห้ง
แต่น้ำตาก็เริ่มซึมแล้ว
หากไม่เดินทางออกจากบ้านมาก็คงไม่มีวันรู้ว่า โลกนี้มันช่างกว้างใหญ่ไพศาลเสียเหลือเกิน
หล่อนคิดแค่ว่า การที่ลูกชายตนดั้นด้นเดินทางจากหมู่บ้านเล็กๆที่ไกลโพ้นขนาดนั้นเพื่อไปศึกษาต่อ มันไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลยสักนิด
สองปีก่อน เพื่อนบ้านมาส่ง
เซียงเอ๋อลูกชายของตนถึง
หน้าหมู่บ้านพร้อมรอยยิ้ม
ต่างกำชับว่า
"ตั้งอกตั้งใจเรียนหนังสือให้เก่งๆ เรียนจบแล้วมารับแม่แกไปเสพสุขในเมือง แม่แกเลี้ยงดูแกตั้งแต่เล็กจนโตโดยลำพัง ถึงเวลาต้องรู้จัก
ทดแทนบุญคุณแม่นะ"
สองปีผ่านไป.....
เพื่อนบ้านต่างมาส่งตนหน้าหมู่บ้านพร้อมคราบน้ำตา กำชับหล่อนว่า ........
"เอาเรื่องไอ้คนขับรถให้ถึงที่สุด เขาคือคนที่พังทลายอนาคตครอบครัวแกจนหมดสิ้น"
มีญาติๆอาสาจะเดินทางไปเป็นเพื่อนเพื่อเจรจาต่อรอง
หลังตรึกตรองแล้ว หล่อนเกรงว่าพอมีคนเยอะ จะเข้าตำรา
”มากหมอมากความ”
มีแต่จะทำให้เธอ
ตัดสินใจลำบากขึ้น
เธอจึงตัดใจเดินทางไปคนเดียว
***********
พอขบวนรถไฟมาถึง
สถานีต้าเหลียน
คณะครูบาอาจารย์
เพื่อนๆของลูกชายตน
ยังมีเจ้าหน้าที่ของ
บริษัทรถโดยสารสาธารณะ รวมทั้งคนขับรถคู่กรณี
ชื่อเสี่ยวซูก็มาต้อนรับเธออย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
หลังจากบริษัทจัดการให้หล่อนเข้าพักผ่อนที่โรงแรมแล้ว
หล่อนขอไปเยี่ยมบ้านของคนขับรถคนนั้นทันที ขอร้องให้ทุกคนกลับไปก่อน
บริษัทต้นสังกัดกำชับคนขับที่ชื่อเสี่ยวซูว่า ไม่ว่าหล่อนจะโวยวายขนาดไหน ก็ต้องทนรับสภาพให้ได้
หล่อนสูญเสียลูกชายเพียงคนเดียวของหล่อนไปแล้ว จะอาละวาดขนาดไหนก็ย่อมมีโอกาสเกิดขึ้นได้
หลังมาถึงบ้านพักของเสี่ยวซู แท้จริงมันก็เป็นแค่ห้องพักห้องขนาดค่อนข้างเล็กไม่เกินห้าสิบตารางเมตร อยู่กันห้าคน พ่อ แม่ ของเสียวซูที่เริ่มใกล้เข้าสู่วัยชราแล้ว พร้อมภรรยาและลูกที่ยังเรียนชั้นประถมอยู่ ทุกคนในบ้านต่างเกร็งกันจนพูดอะไรไม่ออก หล่อนพูดขึ้นอย่างราบเรียบก่อนว่า "คนในเมืองอย่างพวกคุณช่างมีที่อยู่อาศัยกันแบบคับแคบเหลือเกิน"
ภรรยาของเสี่ยวซูน้ำตาซึมทันที เธอพูดว่า "หลังจากแต่งงานแล้วก็อยู่ด้วยกันมาตลอด พวกเราล้วนทำมาหากินแบบคนธรรมดาๆ ไม่มีปัญญาจะไปหาบ้านช่องใหญ่โตมาอยู่กัน ราคาห้องนี้หมื่นกว่าหยวนต่อตารางเมตร ห้องเพียงแค่นี้ก็ผ่อนกันไปทั้งชาติแล้ว......"
หลัวอิงตกใจ "อะไรนะ ตารางเมตรนึงกว่าหมื่นหยวน ห้องใหญ่เท่ารูหนูแค่นี้ละนะ"
ภรรยาของเสี่ยวซูพูดต่อว่า "เสี่ยวซูมีเงินเดือนไม่ถึงสองพันหยวน เดือนหนึ่งมีวันหยุดไม่เกินสามวัน ทำเช้าทำเย็น เบี้ยเลี้ยงอาจได้เพิ่มบ้างก็มาจากระยะทางของรถที่วิ่ง วิ่งน้อยก็ได้น้อย นับจากวันที่ทำงานที่นี่ ไม่เคยได้นอนเต็มอิ่มสักครั้ง จนกลายเป็นคนเส้นประสาทอ่อนล้าไปแล้ว พี่เขาไม่เคยมีโอกาสได้ร่วมกินข้าวฉลองเทศการใดๆกับคนในครอบครัวเลย แล้วคราวนี้ก็ยังไปก่อเรื่องใหญ่ขึ้น......." พูดไปก็ร้องไห้ไป
หลัวอิงเห็นสภาพแล้วก็ได้แต่เห็นใจ เพื่อที่จะไม่ให้บรรยากาศตึงเครียดเกินไป หล่อนเปรยขึ้นว่า "ฉันขอกินข้าวด้วยกันสักมื้อในบ้านนะ"
เธอรีบเช็ดน้ำตา กำชับให้สามีรีบออกไปจ่ายตลาด แต่หลัวอิงห้ามไว้ "ในบ้านมีอะไรก็กินแบบนั้นแหละ ไม่ต้องลำบาก"
นั่นเป็นมื้ออาหารที่เรียบง่ายมากๆ สมาชิกในครอบครัวก็แลดูเรียบง่ายเหมือนกับข้าวกับปลาบนโต๊ะ ล้วนแลดูซื่อๆตรงๆ เกรงอกเกรงใจ และไม่ใช่พวกช่างเจรจา
หลังทานข้าวเสร็จ หลัวอิงขอตัวไปเยี่ยมชมโรงเรียนที่ลูกเคยเรียน ตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินเข้าบ้านจนออกจากบ้านไปแล้ว หลัวอิงไม่ได้เอ่ยปากพูดถึงการตายของลูกชายตนเลยสักคำ
***********
เพื่อนๆของเซียงเอ๋อพาหลัวอิงเดินชมห้องเรียนที่ลูกหล่อนเคยนั่งเรียนหนังสือ หอพักที่เคยพัก สนามบาสเกตบอลที่เล่นประจำ ทางโรงเรียนได้เตรียมทนายความคณะใหญ่ให้เรียบร้อยแล้ว เป้าหมายมีอยู่สองข้อ คือลงโทษคนขับรถให้หนัก และเรียกร้องค่าเสียหายให้มากที่สุด
หลัวอิงยังไม่ต้องการพบคณะทนายความ แต่ขอคุยกับคุณครูผู้ปกครองของลูกชายก่อน "ต้องขอโทษที่เซียงเอ๋อก่อปัญหาทิ้งไว้ให้วุ่นวาย ดิฉันขอรบกวนคุณครูต่ออีกหน่อย ช่วยจัดการเผาศพเซียงเอ๋อให้เรียบร้อย แล้ววานให้เพื่อนที่สนิทของเซียงเอ๋อ พาดิฉันและเซียงเอ๋อเที่ยวชมเมืองต้าเหลียนสักรอบ เอาที่ๆเซียงเอ๋อไม่เคยไปมาก่อน ส่วนเรื่องอื่นๆนั้น เดี๋ยวดิฉันจะจัดการเอง ไม่ขอรบกวนโรงเรียนให้มากกว่านี้ และก็ไม่อยากให้นักเรียนทั้งหลายต้องมาเสียการเรียนเพราะเรื่องของลูกชายดิฉัน"
ก่อนที่คุณครูผู้ปกครองจะทันพูดอะไรออกมา หล่อนพูดต่อว่า "เมื่อคืนลูกชายมาเข้าฝัน กำชับให้ทำอย่างที่ดิฉันได้บอกไปแล้ว ช่วยกรุณาจัดการตามที่ดิฉันขอร้องให้ด้วย"
หลัวอิงอุ้มกล่องอัฐิของลูกชายไว้ที่อก เหมือนอุ้มลูกน้อยเมื่อตอนยังเล็ก ใช้เวลาหนึ่งวันเต็มๆ เพื่อเที่ยวชมแหล่งท่องเที่ยวของเมืองต้าเหลียนที่ลูกชายยังไม่เคยไป
ตลอดทั้งวัน เพื่อนของเซียงเอ๋อน้ำตาร่วงแล้วร่วงอีก แต่ไม่เห็นน้ำตาสักหยดจากคนเป็นแม่ เพื่อนของลูกบอกว่า "คุณน้าครับ ถ้าอยากร้องไห้ก็ร้องเถอะครับ"
แต่หลัวอิงบอกว่า "พ่อเซียงเอ๋อตายตั้งแต่ตอนลูกอายุแค่สี่ขวบ ตั้งแต่นั้นมา น้าก็ไม่เคยร้องไห้ต่อหน้าลูกแม้แต่ครั้งเดียว เพราะเกรงว่าลูกจะหนักใจถ้าเห็นน้ำตาแม่......"
***********
วันถัดมา ทางโรงเรียนตามหาหลัวอิงไม่พบ ปรากฏว่าหล่อนได้นัดแนะและตรงไปยังบริษัทโดยลำพัง บริษัทได้เตรียมเงินก้อนหนึ่งไว้เรียบร้อยแล้ว เป็นจำนวนเงินตามที่กฏหมายกำหนดไว้ รวมกับเงินที่คนขับรถพร้อมจะรับผิดชอบ แค่คิดว่าหากหล่อนรับได้ก็จบเรื่องกันเพียงเท่านี้ แต่ก็พร้อมพิจารณาหากคู่กรณีมีข้อเรียกร้องมากกว่านี้ที่พอรับได้ ไม่เช่นนั้นก็ต้องไปตกลงกันที่ศาล
เพื่อกันไม่ให้บรรยากาศเกิดความอ่อนไหวเกินไป ผู้ใหญ่ของบริษัทกำชับไม่ให้คนขับรถมาปรากฏตัวในระหว่างการเจรจา พวกเขามีทนายความพร้อมเตรียมรับมือกับทุกสถานการณ์ของความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้น
หลังจากหลัวอิงก้าวลงจากรถและเดินเข้าห้องเจรจา ทุกอย่างเต็มไปด้วยความเงียบสงบ พวกเขารู้ว่า นี่เป็นความสงบนิ่งก่อนพายุฝนจะโหมกระหน่ำ แต่สิ่งหนึ่งที่รู้สึกอุ่นใจคือ หล่อนมาเพียงลำพังอย่างพลิกความคาดหมาย พวกเขามีคนเยอะกว่า ถ้าช่วยกันพูดกันคนละประโยคสองประโยค ก็สามารถประวิงเวลาให้ทอดยาวออกไปได้แล้ว เรื่องเจรจาต่อรอง การซื้อเวลา หรือการถ่วงเวลาไปเรื่อยๆเป็นเทคนิคที่สำคัญ พอเวลาทอดยาวออกไป เดี๋ยวก็สามารถผ่อนหนักเป็นเบา โดยเฉพาะเรื่องเลวร้ายใหญ่โตขนาดนี้ คงต้องใช้เวลามากมายในการต่อรอง
หลัวอิงใช้เวลาอยู่กับคณะเจรจาไม่ถึงสิบนาที หล่อนสรุปอย่างเรียบง่ายที่สุด "ดิฉันมีเรื่องขอร้องอยู่สองเรื่อง เรื่องแรก ขอร้องอย่าลงโทษคนขับรถที่ชื่อเสี่ยวซูในกรณีนี้ เรื่องที่สอง คนขับคนนี้มีปัญหาเรื่องของการนอนหลับพักผ่อนที่อาจไม่เพียงพอ บริษัทควรพิจารณากรณีใช้งานพนักงานหนักเกินไปหรือเปล่า และนี่เป็นสูตรยาพื้นบ้านที่หมู่บ้านเรามีไว้รักษาอาการของคนที่หลับไม่ดี ช่วยมอบสิ่งนี้ให้เสี่ยวซู ทำตามที่บอก แค่เดือนเดียวก็น่าจะเห็นผล"
คณะเจรจายังงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ หล่อนหยุดชะงักไปนิด ก่อนจะพูดต่อว่า "ต้องขอโทษที่ลูกดิฉันได้ก่อปัญหาให้ปวดหัววุ่นวาย ดิฉันอยากให้เรื่องจบเพียงเท่านี้"
หล่อนลุกเดินออกจากห้องเจรจา พอทุกคนที่เหลือตั้งสติได้ หัวหน้าคณะเจรจารีบวิ่งไปมอบเงินที่เตรียมไว้ให้หล่อน แต่หล่อนปฏิเสธไม่ยอมรับ "ดิฉันคงไม่ขอรับเงินจำนวนนี้ คุณช่วยเอาเงินส่วนของคนขับคืนเขาไป ส่วนที่เหลือไปแบ่งให้คนขับรถในบริษัททุกคน เมืองนี้รถราเยอะมาก การจราจรหนาแน่น คนเดินถนนก็ไม่ปลอดภัย และคนขับรถทั้งหลายก็ขับรถด้วยความยากลำบาก ดิฉันเข้าใจและเห็นใจ"
***********
หลังจากหลัวอิงกลับบ้านไปแล้ว พร้อมกับสัมภาระที่เพิ่มขึ้นอีกชิ้น นั่นคืออัฐิของลูกชาย หล่อนอุ้มกล่องอัฐิไว้ในอ้อมอกอย่างทะนุถนอมตลอดทาง
เจ้าหน้าที่ทุกคนของบริษัทล้วนตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากนั้นไม่นาน บริษัทได้จัดงบประมาณพิเศษไว้จำนวนหนึ่ง ใช้รถบรรทุกขนาดใหญ่สองคัน บรรทุกข้าวสาร เส้นบะหมี่ น้ำมันพืช และเสบียงอาหารแห้ง ตรงสู่หมู่บ้านเกาหมิง ก่อนออกเดินทาง พวกเขาทำใจไว้แล้วว่า นั่นเป็นหมู่บ้านที่อยู่ไกลมาก แต่พอเดินทางมาถึง พวกเขาต้องตกตะลึงกับความยากจนของหมู่บ้าน บ้านทุกหลัง โรงเรียนของหมู่บ้าน ล้วนเก่าและทรุดโทรมมาก เด็กๆไม่เคยได้ลิ้มรสหรือรู้จักอาหารดีๆเลย บ้านของหลัวอิงเป็นบ้านที่ค้ำด้วยเสาเพียงไม่กี่ต้น ถ้าเจอลมแรงๆก็อาจมีสิทธิ์ล้มได้
หลัวอิงพาเจ้าหน้าที่จากบริษัท นำเอาเสบียงอาหารไปฝากทุกบ้าน หล่อนบอกเพื่อนบ้านว่า "เห็นไหม ฉันไม่ได้พูดเกินจริง พวกเขาล้วนเป็นคนที่จิตใจดีงามทั้งนั้น"
ได้เวลาเดินทางกลับ คณะที่มาเยือนประกอบไปด้วยเจ้าหน้าที่สิบห้าคน เก็บเงินไว้กับตัวคนละเล็กละน้อยแค่เพียงพอที่จะใช้จ่ายในการเดินทางกลับบ้าน แล้วก็รวบรวมเอาเงินที่เหลือทั้งหมดแอบทิ้งไว้ที่บ้านหลัวอิง นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดที่พวกเขาจะทำได้ในขณะนั้น
**********
วันเวลาผ่านไป นับจากวันที่เกิดอุบัติเหตุก็เป็นเวลาห้าปีแล้ว แต่ก็มีผู้คนจากเมืองต้าเหลียนมาเยี่ยมหมู่บ้านเกาหมิงบ่อยๆ ไม่เพียงแค่เจ้าหน้าที่จากบริษัทคู่กรณี ยังมีผู้คนอีกมากมายรวมทั้งพวกนักศึกษาที่รู้ที่มาที่ไปของเรื่องนี้แล้วเกิดความศรัทธา พวกเขาไม่ได้มาแค่เยี่ยมคุณน้าหลัวอิงที่บัดนี้แก่ชราภาพลงไปทุกปี แต่พวกเขาทำตัวเป็นพวกจิตอาสามาช่วยหมู่บ้านเกาหมิงสร้างถนนหนทาง ซ่อมแซมบ้านให้ชาวบ้าน ช่วยพัฒนาวิชาชีพให้ชาวบ้าน และยังบริจาคเงินสร้างตึกหลังใหม่ให้โรงเรียน........
เซียงเอ๋อเป็นลูกที่แม่หลัวอิงภูมิใจเป็นนักหนาในชั่วชีวิตหล่อน
แต่การตัดสินใจให้อโหสิกรรมของแม่ที่ยิ่งใหญ่ท่านนี้
ทำให้เรื่องที่เศร้าที่สุดกลับมีทางออกที่น่ายกย่องที่สุด
และอานิสงส์ของมันได้แผ่กระจายไปทั่วหมู่บ้านอย่างไม่เคยคาดคิดมาก่อน
"ขจรศักดิ์"
*******
Cr.fwd line