วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2565

เพื่อนช่วยเพื่อน

 "เพื่อนที่จากไปแล้ว" (คลิก)

.."เพื่อนช่วยเพื่อน"ของรุ่นเราเป็นกิจกรรมที่ได้ทำกันมาตลอดเวลาในแวดวงกลุ่มเพื่อนที่สนิทกันทำงานในหน่วยเดียวที่สามารถติดต่อกันง่ายๆ...แต่หลังจากมีเฟสบุค มีไลน์ ฯลฯ ทำให้การติดต่อถึงกันสะดวกและง่ายขึ้น ประกอบการส่งเงินช่วยเหลือกันก็ง่ายขึ้น.."เพื่อนช่วยเพื่อน" ก็ขยายเป็นวงกว้างขึ้นในกลุ่มทั้งรุ่นไม่ว่าจะอยู่ห่างไกลกันอย่างไร..ประธานรุ่น ชาญณรงค์ ว.ได้มุ่งมั่นดำเนินการต่อยอดจน"เพื่อนช่วยเพื่อน"เป็นรูปธรรมที่ชัดเจนจนถึงวันนี้...ประธานรุ่น สมศักดิ์ ย.สานงานต่อให้พวกเราได้ช่วยเหลือกันคนละเล็กคนละน้อยตามกำลังตามสถานภาพของแต่ละคน...ขอขอบคุณเพื่อนๆ ๐๙๑๑๕๘ ทุกท่าน.."เพื่อนช่วยเพื่อน..เพื่อนไม่ทิ้งกัน..เพื่อนกันจนวันตาย"💝💝💝



"เพื่อนช่วยเพื่อน"เพื่อนอุดม ทรัพย์มณี เมื่อ ๓๐ สิงหาคม ๖๕ วัดทรงคนอง สามพราน นครปฐม


"หนทางแสนไกลก็ยังแพ้น้ำใจเพื่อน"..เพื่อน ๐๙๑๑๕๘ ร่วมพิธีพระราชทานเพลิง เมื่อ ๓๑ สิงหาคม ๖๕

********

เล่าสู่กันฟัง (คลิกที่นี่)


วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2565

ทำร้ายตัวเอง..

Cr.Facebook:ครูทัศน์

 เวลาเรา "พูด" ถึงคนอื่น

ไม่ได้บ่งบอกว่า "เขาเป็นคนยังไง"

แต่บ่งบอกว่า "เราเป็นคนยังไง"


เวลาเรา "วิจารณ์" คนอื่น

ไม่ได้บ่งบอกว่า "ผลงานเขาไม่ดีพอ"

แต่บ่งบอกว่า "เราไม่มีอะไรทำมากพอ"


เวลาเรา "ดูถูก" คนอื่น

ไม่ได้บ่งบอกว่า "เขาด้อยกว่าเรา"

แต่บ่งบอกว่า "เราพยายามเหนือกว่าเขา"


เวลาเรา "หัวเราะเยาะ" คนอื่น

ไม่ได้บ่งบอกว่า "เขาน่าขำ"

แต่บ่งบอกว่า "เราไม่มีความสุข"


เวลาเรา "เหน็บแนม" คนอื่น

ไม่ได้บ่งบอกว่า "เขาทำผิด"

แต่บ่งบอกว่า "เราผิดปกติทางจิตใจ"


อย่าใช้การ "ทำร้าย" คนอื่น

"ทำลาย" ตัวเอง !

*******

Cr.Facebook:ครูทัศน์

วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2565

พลังบวก

 Cr.Fwd line



🌸❇️นี่คือภาพยนตร์การศึกษาเชิงจิตวิทยาที่ดี..


☆☆☆☆☆


 ม้าที่จมบ่อโคลน​.. หมดแรง​ สิ้นหวัง​ ที่จะขึ้นจากบ่อโคลน.. ด้วยตัวของมันเอง​..


แต่เมื่อมันได้รับการสนับสนุนและ.. แรงกระตุ้นจากฝูงม้าทำให้มันเกิดพลังใจ.. มีความกล้าหาญและความมั่นใจที่จะปลดเปลื้องตัวเองจากโชคร้ายและอันตราย!


☆☆☆☆☆


 ดังนั้น

เมื่อคนอื่นตกอยู่ในภาวะตกต่ำ​.. ทุกข์ยาก​ ท้อแท้​ สิ้นหวัง.. กำลังใจจากคนรอบข้าง.( มิตรที่ดี )... จะทำให้เขาขึ้นจาก หล่มได้ 

(..) เหมือนมีตัวอย่างที่ดี​

... จงให้พลังบวกแก่เขา....

... ให้กำลังใจและความมั่นใจแก่เขา


***



เมื่อมีโอกาส..จงช่วยผู้อื่น​ ...

เพราะ

คำพูดหรือการกระทำของคุณ​..

.. จะเปลี่ยนชีวิตคนอื่นได้



TEAM  หมู่คณะ และ ทีม - จึงสำคัญมาก

*****

Cr.Fwd line

เก็บมาฝาก 7

 






เก็บมาฝาก 6 (คลิกที่นี่)

เก็บมาฝาก 6

 







วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2565

อโหสิกรรม...

 อโหสิกรรม

เถิดนะคนดี......…….


*อโหสิกรรมที่ยิ่งใหญ่

ของคุณแม่ท่านหนึ่ง*


(เรื่องจริงที่ได้สร้าง

ความประทับใจ

ให้ผู้คนมาแล้วมากมาย  


เมื่อแม่ส่งลูกชายไปเรียนต่างเมือง แล้วได้ทราบข่าวว่าลูกชายประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตทางรถยนต์...)


จากหมู่บ้านเกาหมิง

ในมณฑลหูหนาน  

เดินทางมายังเมืองต้าเหลียน

ของ มณฑลเหลียวหนิง  

ระยะทางไม่ต่ำกว่า 

3,000 ก.ม.  


หลัวอิงใช้เวลาเดินทาง

สองวันหนึ่งคืนเต็มๆ  


ตอนแรก  คู่กรณีทางฝั่ง

ต้าเหลียนกำชับให้นั่งเครื่องบินไป  แต่พอหล่อนเห็นราคาตั๋วเครื่องบินแล้ว  

คิดว่าช่วยคู่กรณีประหยัดเงินไว้หน่อยน่าจะดีกว่า  


ชั่วชีวิตเขาอย่างเก่งก็แค่เดินทางเข้าไปซื้อของ

จากตลาดนัดในตัวเมือง  


เดินทางไกลขนาดนี้ถือเป็นครั้งแรกในชีวิตของเธอจริงๆ


ต่อรถมาแล้วสองทอด และนี่คือขบวนรถไฟตรงสู่จุดหมายปลายทางต้าเหลียนเสียที  


พอได้ที่นั่งเรียบร้อย 

เหงื่อยังไม่ทันแห้ง  

แต่น้ำตาก็เริ่มซึมแล้ว  


หากไม่เดินทางออกจากบ้านมาก็คงไม่มีวันรู้ว่า  โลกนี้มันช่างกว้างใหญ่ไพศาลเสียเหลือเกิน  


หล่อนคิดแค่ว่า  การที่ลูกชายตนดั้นด้นเดินทางจากหมู่บ้านเล็กๆที่ไกลโพ้นขนาดนั้นเพื่อไปศึกษาต่อ  มันไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลยสักนิด


สองปีก่อน  เพื่อนบ้านมาส่ง 

เซียงเอ๋อลูกชายของตนถึง

หน้าหมู่บ้านพร้อมรอยยิ้ม  

ต่างกำชับว่า  


"ตั้งอกตั้งใจเรียนหนังสือให้เก่งๆ  เรียนจบแล้วมารับแม่แกไปเสพสุขในเมือง  แม่แกเลี้ยงดูแกตั้งแต่เล็กจนโตโดยลำพัง  ถึงเวลาต้องรู้จัก

ทดแทนบุญคุณแม่นะ"


สองปีผ่านไป.....  

เพื่อนบ้านต่างมาส่งตนหน้าหมู่บ้านพร้อมคราบน้ำตา  กำชับหล่อนว่า  ........


"เอาเรื่องไอ้คนขับรถให้ถึงที่สุด  เขาคือคนที่พังทลายอนาคตครอบครัวแกจนหมดสิ้น"


มีญาติๆอาสาจะเดินทางไปเป็นเพื่อนเพื่อเจรจาต่อรอง  


หลังตรึกตรองแล้ว  หล่อนเกรงว่าพอมีคนเยอะ  จะเข้าตำรา


”มากหมอมากความ”  

มีแต่จะทำให้เธอ

ตัดสินใจลำบากขึ้น  


เธอจึงตัดใจเดินทางไปคนเดียว


          ***********


พอขบวนรถไฟมาถึง

สถานีต้าเหลียน  

คณะครูบาอาจารย์  

เพื่อนๆของลูกชายตน  

ยังมีเจ้าหน้าที่ของ


บริษัทรถโดยสารสาธารณะ  รวมทั้งคนขับรถคู่กรณี

ชื่อเสี่ยวซูก็มาต้อนรับเธออย่างพร้อมหน้าพร้อมตา  


หลังจากบริษัทจัดการให้หล่อนเข้าพักผ่อนที่โรงแรมแล้ว  


หล่อนขอไปเยี่ยมบ้านของคนขับรถคนนั้นทันที  ขอร้องให้ทุกคนกลับไปก่อน


บริษัทต้นสังกัดกำชับคนขับที่ชื่อเสี่ยวซูว่า  ไม่ว่าหล่อนจะโวยวายขนาดไหน  ก็ต้องทนรับสภาพให้ได้  


หล่อนสูญเสียลูกชายเพียงคนเดียวของหล่อนไปแล้ว  จะอาละวาดขนาดไหนก็ย่อมมีโอกาสเกิดขึ้นได้


หลังมาถึงบ้านพักของเสี่ยวซู  แท้จริงมันก็เป็นแค่ห้องพักห้องขนาดค่อนข้างเล็กไม่เกินห้าสิบตารางเมตร  อยู่กันห้าคน  พ่อ แม่  ของเสียวซูที่เริ่มใกล้เข้าสู่วัยชราแล้ว พร้อมภรรยาและลูกที่ยังเรียนชั้นประถมอยู่  ทุกคนในบ้านต่างเกร็งกันจนพูดอะไรไม่ออก  หล่อนพูดขึ้นอย่างราบเรียบก่อนว่า  "คนในเมืองอย่างพวกคุณช่างมีที่อยู่อาศัยกันแบบคับแคบเหลือเกิน"


ภรรยาของเสี่ยวซูน้ำตาซึมทันที  เธอพูดว่า  "หลังจากแต่งงานแล้วก็อยู่ด้วยกันมาตลอด  พวกเราล้วนทำมาหากินแบบคนธรรมดาๆ  ไม่มีปัญญาจะไปหาบ้านช่องใหญ่โตมาอยู่กัน  ราคาห้องนี้หมื่นกว่าหยวนต่อตารางเมตร  ห้องเพียงแค่นี้ก็ผ่อนกันไปทั้งชาติแล้ว......"

หลัวอิงตกใจ  "อะไรนะ  ตารางเมตรนึงกว่าหมื่นหยวน  ห้องใหญ่เท่ารูหนูแค่นี้ละนะ"


ภรรยาของเสี่ยวซูพูดต่อว่า  "เสี่ยวซูมีเงินเดือนไม่ถึงสองพันหยวน  เดือนหนึ่งมีวันหยุดไม่เกินสามวัน  ทำเช้าทำเย็น  เบี้ยเลี้ยงอาจได้เพิ่มบ้างก็มาจากระยะทางของรถที่วิ่ง  วิ่งน้อยก็ได้น้อย  นับจากวันที่ทำงานที่นี่  ไม่เคยได้นอนเต็มอิ่มสักครั้ง  จนกลายเป็นคนเส้นประสาทอ่อนล้าไปแล้ว  พี่เขาไม่เคยมีโอกาสได้ร่วมกินข้าวฉลองเทศการใดๆกับคนในครอบครัวเลย  แล้วคราวนี้ก็ยังไปก่อเรื่องใหญ่ขึ้น......."  พูดไปก็ร้องไห้ไป


หลัวอิงเห็นสภาพแล้วก็ได้แต่เห็นใจ  เพื่อที่จะไม่ให้บรรยากาศตึงเครียดเกินไป  หล่อนเปรยขึ้นว่า  "ฉันขอกินข้าวด้วยกันสักมื้อในบ้านนะ"


เธอรีบเช็ดน้ำตา  กำชับให้สามีรีบออกไปจ่ายตลาด  แต่หลัวอิงห้ามไว้  "ในบ้านมีอะไรก็กินแบบนั้นแหละ  ไม่ต้องลำบาก"


นั่นเป็นมื้ออาหารที่เรียบง่ายมากๆ สมาชิกในครอบครัวก็แลดูเรียบง่ายเหมือนกับข้าวกับปลาบนโต๊ะ  ล้วนแลดูซื่อๆตรงๆ  เกรงอกเกรงใจ และไม่ใช่พวกช่างเจรจา  


หลังทานข้าวเสร็จ  หลัวอิงขอตัวไปเยี่ยมชมโรงเรียนที่ลูกเคยเรียน  ตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินเข้าบ้านจนออกจากบ้านไปแล้ว  หลัวอิงไม่ได้เอ่ยปากพูดถึงการตายของลูกชายตนเลยสักคำ


         ***********


เพื่อนๆของเซียงเอ๋อพาหลัวอิงเดินชมห้องเรียนที่ลูกหล่อนเคยนั่งเรียนหนังสือ  หอพักที่เคยพัก  สนามบาสเกตบอลที่เล่นประจำ  ทางโรงเรียนได้เตรียมทนายความคณะใหญ่ให้เรียบร้อยแล้ว  เป้าหมายมีอยู่สองข้อ  คือลงโทษคนขับรถให้หนัก  และเรียกร้องค่าเสียหายให้มากที่สุด


หลัวอิงยังไม่ต้องการพบคณะทนายความ  แต่ขอคุยกับคุณครูผู้ปกครองของลูกชายก่อน  "ต้องขอโทษที่เซียงเอ๋อก่อปัญหาทิ้งไว้ให้วุ่นวาย  ดิฉันขอรบกวนคุณครูต่ออีกหน่อย  ช่วยจัดการเผาศพเซียงเอ๋อให้เรียบร้อย  แล้ววานให้เพื่อนที่สนิทของเซียงเอ๋อ  พาดิฉันและเซียงเอ๋อเที่ยวชมเมืองต้าเหลียนสักรอบ  เอาที่ๆเซียงเอ๋อไม่เคยไปมาก่อน  ส่วนเรื่องอื่นๆนั้น  เดี๋ยวดิฉันจะจัดการเอง  ไม่ขอรบกวนโรงเรียนให้มากกว่านี้  และก็ไม่อยากให้นักเรียนทั้งหลายต้องมาเสียการเรียนเพราะเรื่องของลูกชายดิฉัน"


ก่อนที่คุณครูผู้ปกครองจะทันพูดอะไรออกมา  หล่อนพูดต่อว่า  "เมื่อคืนลูกชายมาเข้าฝัน  กำชับให้ทำอย่างที่ดิฉันได้บอกไปแล้ว  ช่วยกรุณาจัดการตามที่ดิฉันขอร้องให้ด้วย"


หลัวอิงอุ้มกล่องอัฐิของลูกชายไว้ที่อก  เหมือนอุ้มลูกน้อยเมื่อตอนยังเล็ก  ใช้เวลาหนึ่งวันเต็มๆ  เพื่อเที่ยวชมแหล่งท่องเที่ยวของเมืองต้าเหลียนที่ลูกชายยังไม่เคยไป


ตลอดทั้งวัน  เพื่อนของเซียงเอ๋อน้ำตาร่วงแล้วร่วงอีก  แต่ไม่เห็นน้ำตาสักหยดจากคนเป็นแม่  เพื่อนของลูกบอกว่า  "คุณน้าครับ  ถ้าอยากร้องไห้ก็ร้องเถอะครับ"


แต่หลัวอิงบอกว่า  "พ่อเซียงเอ๋อตายตั้งแต่ตอนลูกอายุแค่สี่ขวบ  ตั้งแต่นั้นมา  น้าก็ไม่เคยร้องไห้ต่อหน้าลูกแม้แต่ครั้งเดียว  เพราะเกรงว่าลูกจะหนักใจถ้าเห็นน้ำตาแม่......"


         ***********


วันถัดมา  ทางโรงเรียนตามหาหลัวอิงไม่พบ  ปรากฏว่าหล่อนได้นัดแนะและตรงไปยังบริษัทโดยลำพัง  บริษัทได้เตรียมเงินก้อนหนึ่งไว้เรียบร้อยแล้ว  เป็นจำนวนเงินตามที่กฏหมายกำหนดไว้  รวมกับเงินที่คนขับรถพร้อมจะรับผิดชอบ  แค่คิดว่าหากหล่อนรับได้ก็จบเรื่องกันเพียงเท่านี้  แต่ก็พร้อมพิจารณาหากคู่กรณีมีข้อเรียกร้องมากกว่านี้ที่พอรับได้  ไม่เช่นนั้นก็ต้องไปตกลงกันที่ศาล


เพื่อกันไม่ให้บรรยากาศเกิดความอ่อนไหวเกินไป  ผู้ใหญ่ของบริษัทกำชับไม่ให้คนขับรถมาปรากฏตัวในระหว่างการเจรจา  พวกเขามีทนายความพร้อมเตรียมรับมือกับทุกสถานการณ์ของความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้น 


หลังจากหลัวอิงก้าวลงจากรถและเดินเข้าห้องเจรจา  ทุกอย่างเต็มไปด้วยความเงียบสงบ  พวกเขารู้ว่า  นี่เป็นความสงบนิ่งก่อนพายุฝนจะโหมกระหน่ำ  แต่สิ่งหนึ่งที่รู้สึกอุ่นใจคือ  หล่อนมาเพียงลำพังอย่างพลิกความคาดหมาย  พวกเขามีคนเยอะกว่า  ถ้าช่วยกันพูดกันคนละประโยคสองประโยค  ก็สามารถประวิงเวลาให้ทอดยาวออกไปได้แล้ว  เรื่องเจรจาต่อรอง  การซื้อเวลา  หรือการถ่วงเวลาไปเรื่อยๆเป็นเทคนิคที่สำคัญ  พอเวลาทอดยาวออกไป  เดี๋ยวก็สามารถผ่อนหนักเป็นเบา  โดยเฉพาะเรื่องเลวร้ายใหญ่โตขนาดนี้  คงต้องใช้เวลามากมายในการต่อรอง


หลัวอิงใช้เวลาอยู่กับคณะเจรจาไม่ถึงสิบนาที  หล่อนสรุปอย่างเรียบง่ายที่สุด  "ดิฉันมีเรื่องขอร้องอยู่สองเรื่อง  เรื่องแรก  ขอร้องอย่าลงโทษคนขับรถที่ชื่อเสี่ยวซูในกรณีนี้  เรื่องที่สอง  คนขับคนนี้มีปัญหาเรื่องของการนอนหลับพักผ่อนที่อาจไม่เพียงพอ  บริษัทควรพิจารณากรณีใช้งานพนักงานหนักเกินไปหรือเปล่า  และนี่เป็นสูตรยาพื้นบ้านที่หมู่บ้านเรามีไว้รักษาอาการของคนที่หลับไม่ดี   ช่วยมอบสิ่งนี้ให้เสี่ยวซู  ทำตามที่บอก  แค่เดือนเดียวก็น่าจะเห็นผล"


คณะเจรจายังงงเป็นไก่ตาแตกอยู่  หล่อนหยุดชะงักไปนิด  ก่อนจะพูดต่อว่า  "ต้องขอโทษที่ลูกดิฉันได้ก่อปัญหาให้ปวดหัววุ่นวาย  ดิฉันอยากให้เรื่องจบเพียงเท่านี้"


หล่อนลุกเดินออกจากห้องเจรจา  พอทุกคนที่เหลือตั้งสติได้  หัวหน้าคณะเจรจารีบวิ่งไปมอบเงินที่เตรียมไว้ให้หล่อน  แต่หล่อนปฏิเสธไม่ยอมรับ  "ดิฉันคงไม่ขอรับเงินจำนวนนี้  คุณช่วยเอาเงินส่วนของคนขับคืนเขาไป  ส่วนที่เหลือไปแบ่งให้คนขับรถในบริษัททุกคน  เมืองนี้รถราเยอะมาก  การจราจรหนาแน่น  คนเดินถนนก็ไม่ปลอดภัย  และคนขับรถทั้งหลายก็ขับรถด้วยความยากลำบาก  ดิฉันเข้าใจและเห็นใจ"


        ***********


หลังจากหลัวอิงกลับบ้านไปแล้ว  พร้อมกับสัมภาระที่เพิ่มขึ้นอีกชิ้น  นั่นคืออัฐิของลูกชาย  หล่อนอุ้มกล่องอัฐิไว้ในอ้อมอกอย่างทะนุถนอมตลอดทาง


เจ้าหน้าที่ทุกคนของบริษัทล้วนตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  หลังจากนั้นไม่นาน  บริษัทได้จัดงบประมาณพิเศษไว้จำนวนหนึ่ง  ใช้รถบรรทุกขนาดใหญ่สองคัน  บรรทุกข้าวสาร  เส้นบะหมี่  น้ำมันพืช  และเสบียงอาหารแห้ง  ตรงสู่หมู่บ้านเกาหมิง  ก่อนออกเดินทาง  พวกเขาทำใจไว้แล้วว่า  นั่นเป็นหมู่บ้านที่อยู่ไกลมาก  แต่พอเดินทางมาถึง  พวกเขาต้องตกตะลึงกับความยากจนของหมู่บ้าน  บ้านทุกหลัง  โรงเรียนของหมู่บ้าน  ล้วนเก่าและทรุดโทรมมาก  เด็กๆไม่เคยได้ลิ้มรสหรือรู้จักอาหารดีๆเลย  บ้านของหลัวอิงเป็นบ้านที่ค้ำด้วยเสาเพียงไม่กี่ต้น  ถ้าเจอลมแรงๆก็อาจมีสิทธิ์ล้มได้


หลัวอิงพาเจ้าหน้าที่จากบริษัท  นำเอาเสบียงอาหารไปฝากทุกบ้าน  หล่อนบอกเพื่อนบ้านว่า  "เห็นไหม  ฉันไม่ได้พูดเกินจริง  พวกเขาล้วนเป็นคนที่จิตใจดีงามทั้งนั้น"


ได้เวลาเดินทางกลับ  คณะที่มาเยือนประกอบไปด้วยเจ้าหน้าที่สิบห้าคน  เก็บเงินไว้กับตัวคนละเล็กละน้อยแค่เพียงพอที่จะใช้จ่ายในการเดินทางกลับบ้าน  แล้วก็รวบรวมเอาเงินที่เหลือทั้งหมดแอบทิ้งไว้ที่บ้านหลัวอิง  นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดที่พวกเขาจะทำได้ในขณะนั้น


        **********


วันเวลาผ่านไป  นับจากวันที่เกิดอุบัติเหตุก็เป็นเวลาห้าปีแล้ว  แต่ก็มีผู้คนจากเมืองต้าเหลียนมาเยี่ยมหมู่บ้านเกาหมิงบ่อยๆ  ไม่เพียงแค่เจ้าหน้าที่จากบริษัทคู่กรณี  ยังมีผู้คนอีกมากมายรวมทั้งพวกนักศึกษาที่รู้ที่มาที่ไปของเรื่องนี้แล้วเกิดความศรัทธา  พวกเขาไม่ได้มาแค่เยี่ยมคุณน้าหลัวอิงที่บัดนี้แก่ชราภาพลงไปทุกปี  แต่พวกเขาทำตัวเป็นพวกจิตอาสามาช่วยหมู่บ้านเกาหมิงสร้างถนนหนทาง  ซ่อมแซมบ้านให้ชาวบ้าน  ช่วยพัฒนาวิชาชีพให้ชาวบ้าน  และยังบริจาคเงินสร้างตึกหลังใหม่ให้โรงเรียน........


เซียงเอ๋อเป็นลูกที่แม่หลัวอิงภูมิใจเป็นนักหนาในชั่วชีวิตหล่อน

แต่การตัดสินใจให้อโหสิกรรมของแม่ที่ยิ่งใหญ่ท่านนี้

ทำให้เรื่องที่เศร้าที่สุดกลับมีทางออกที่น่ายกย่องที่สุด

และอานิสงส์ของมันได้แผ่กระจายไปทั่วหมู่บ้านอย่างไม่เคยคาดคิดมาก่อน


"ขจรศักดิ์"

*******

Cr.fwd line

วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2565

ธรรมนำทาง...

 30 สิ่ง ที่ผู้ปฎิบัติธรรมที่ถูกต้องจะได้รับทุกคน


1.ความโกรธน้อยลง เห็นความไม่พอใจและละมันได้เร็วขึ้น


2.เปิดใจ ยอมรับ และเข้าใจผู้อื่นได้มากขึ้น ไม่ตัดสินถูกผิด ดีชั่วผู้อื่น


3.สนใจที่จะมองความผิดพลาดของตน แต่สนใจที่จะมองข้อดีของผู้อื่น


4.เปิดใจรับฟังมากขึ้น เป็นผู้ฟังที่ดีขึ้น ความอยากอวดภูมิรู้ของตนหมดไป


5.เป็นคนซื่อตรง ไม่โกหก หลีกเลี่ยงการนินทาว่าร้าย และไม่พูดในเรื่องไร้สาระ


6.มีความต้องการความสุขแบบโลกๆ เพื่อตัวเองน้อยลง เพราะเห็นความไร้สาระแก่นสารของโลก แต่เห็นความมีสาระแก่นสารของธรรมมากขึ้น


7.มีสมาธิในการทำงานมากขึ้น การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น มีความสุขกับงานที่ตนทำมากขึ้น


8.ใช้ทรัพย์สินเงินทองเพื่อประโยชน์ของตนเองน้อยลง แต่กลับเสียสละทุกอย่างของตนให้ผู้อื่นได้มากขึ้น


9.สนใจพูดคุยแต่เรื่องราวอันเป็นไปเพื่อการละกิเลส ไม่สนใจในเรื่องราวที่เพิ่มกิเลส


10.ไม่จุกจิก จู้จี้ ไม่ขี้บ่น ไม่คิดมาก ไม่สับสนว้าวุ่น ไม่น้อยอกน้อยใจ และไม่อิจฉาริษยา


11.มีความละอายใจในสิ่งไม่ดีแม้เล็กน้อย มีความรักความเมตตามากขึ้น คิดถึงผู้อื่น ปรารถนาที่จะไม่เบียดเบียน และปรารถนาที่จะทำให้ผู้อื่นมีความสุขมากขึ้น


12.เห็นคุณค่าของวัตถุสิ่งของเครื่องใช้มากขึ้น เรียนรู้ที่จะใช้มันอย่างคุ้มค่า เก็บรักษา ทนุถนอม แต่ไม่หวงแหนขี้เหนียว


13.ยึดติดในผู้อื่นน้อยลง มีความเป็นอิสระจากผู้อื่นมากขึ้น มีความอยากให้ผู้อื่นเข้าใจตนน้อยลง


14.หลับสบาย ไม่ว้าวุ่นใจ ตื่นนอนเป็นเวลา สามารถกำหนดเวลาตื่นได้


15.ไม่ยึดติดในความเป็นบวกเป็นลบ และความเป็นคู่ทั้งหลาย เห็นความธรรมดาของโลกสมมุติอันเป็นสิ่งปรุงแต่ง หาสาระแก่นสารที่แท้จริงมิได้


16.ร่วมหมู่คณะตามกาลเทศะ หากมันนำมาซึ่งประโยชน์ทางธรรม ไม่คลุกคลีตามอำเภอใจอันเป็นไปเพื่อการปรารภโลก จะใช้เวลาส่วนใหญ่ในการ มองตน เรียนรู้ตน และแก้ไขข้อผิดพลาดของตนเอง


17.เห็นแจ้งและรับรู้สัมผัสในความงามและคุณค่าของธรรมชาติได้มากขึ้น มีความรักความกตัญญูต่อธรรมชาติมากขึ้น


18.ไม่มีความต้องการที่จะสะสมอะไร จะมีสิ่งใดก็คำนึงถึงประโยชน์แก่ผู้อื่น ไม่ทุกข์ไปกับสิ่งนั้น และไม่ยึดติดในความเป็นเจ้าของ


19.เมื่อมีความปรารถนาในสิ่งใด มักได้ในสิ่งนั้น เพราะความปรารถนานั้นเป็นไปด้วยความพอเหมาะพอควรแก่เหตุปัจจัย และไม่เป็นไปเพื่อการได้ ดี มี เป็นของตน


20.เห็นอุปสรรคและปัญหาไม่ใช่สิ่งที่เป็นปัญหา กลับเป็นเรื่องสนุก เป็นหนทางแห่งการฝึกตน เป็นหนทางแห่งปัญญา


21.ไม่ยินดีในคำสรรเสริญ ไม่ยินร้ายในคำนินทา


22.มีโอกาสพบกับผู้รู้และ พบครูผู้ชี้ทางให้เจริญยิ่งขึ้น


23.เห็นสรรพชีวิตเสมอภาคกันเป็นเพื่อนกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีการแบ่งชนชั้นวรรณะ แบ่งเขาแบ่งเรา แบ่งภพแบ่งภูมิ รักและปรารถนาดีต่อทุกๆชีวิตได้เสมอกัน


24.ไม่คิดที่จะควบคุม หรือเปลี่ยนแปลงผู้อื่น ยอมรับในความเป็นตัวตนของผู้อื่น และตนเป็นที่พึ่งของตนมากขึ้น


25.มองเห็นคุณค่าของทุกๆสิ่งรอบตัว ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน


26.เข้าใจถึงผลและวิบากที่จะเกิดของทุกๆการกระทำได้มากขึ้น


27.ตระหนักถึงความตายและความไม่เที่ยงแท้ของชีวิตมากขึ้น เห็นคุณค่าของชีวิต และดำรงตนอยู่ด้วยความไม่ประมาท ไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์


28.มีความคิดสร้างสรรค์ คิดที่จะยังประโยชน์แก่ผู้อื่น ไม่ติดในกรอบหรือจารีต แต่ก็ไม่ปฏิเสธต่อต้าน แก้ไขปัญหาได้ตรงจุด มีความคิดเป็นเหตุเป็นผลและเป็นระบบอันละเอียดอ่อนลึกซึ้งมากขึ้น


29.ไม่มีความรู้สึกโดดเดี่ยว หรืออ้างว้างเดียวดาย มีแต่ความเบาอิสระ และหนักแน่น มั่นคง


30.มีความรู้ตัว รู้เท่าทันกายใจของตนเองอยู่ตลอดเวลา


ที่มา สวนธรรมะโพธิญาณ

#ธรรมะ #อมตะธรรม #ธรรมะสอนใจ

*****

Cr.https://www.facebook.com/327724040647273/posts/pfbid02AGxZLLjDNg2GUuQdPbfHmcdp7mshZCBjghDHAfRPz7RW5d9eu35jtWKJzPxJVpvcl/