*****
วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2562
วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2562
เก็บมาฝาก
คุยกันวันนี้
————
ปริยัติ ก็คือ การเรียนรู้วิธีจบ วิธีวาง
วิธีปลง วิธีดับ วิธียอม
ปฏิบัติ ก็คือ การลงมือทำ
การฝึกจบ ฝึกวาง ฝึกปลง ฝึกดับ ฝึกยอม
ปฏิเวธ ก็คือ ผลที่ได้รับในขณะที่ฝึกจบ
ฝึกวาง ฝึกปลง ฝึกดับ ฝึกยอม
ในขณะนั้นๆ ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น
๓ ตัวนี้ทำงานพร้อมกัน แต่คนละหน้าที่
แปลผิด เข้าใจผิด ทำผิด ก็ต้องงง
ต้องงมไปทุกภพทุกภูมิ
ไม่มีวันสว่างไสว คลี่คลาย
การทำภาวนาไม่ใช่เรื่องยาก
ถ้ายากไม่ใช่เรื่องการภาวนาแล้ว
ถ้ายากมันเป็นเรื่องของ ตัณหา
เพราะตัณหา คือ ตัวทำเอา ทำยึด
ยึดอยู่แค่รูปแบบ แค่ตามเขาว่า
มันยึดไม่ได้อยู่แล้ว อยู่แล้ว
สวากขาโต มันง่ายอยู่แล้ว
สันทิฏฐิโก ต้องทำเอง เห็นเอง รู้เอง
อะกาลิโก ต้องจบทุกขณะ ไม่ต้องรอเวลา
โอปะนะยิโก ต้องฉลาดน้อมมาจบ
เอหิปัสสิโก ต้องจบชัดๆ รู้ชัดๆ ดูชัด
ปัจจัตตัง ต้องจบเอง รู้เองฯ
ได้เวลาจบแล้ว สว่างไสวแล้วฯ
วัดพระมหาชนก บ้านพลังเพียร
3.14.2019
******
Cr.Facebook วัดพระมหาชนก บ้านพลังเพียร
————
ปริยัติ ก็คือ การเรียนรู้วิธีจบ วิธีวาง
วิธีปลง วิธีดับ วิธียอม
ปฏิบัติ ก็คือ การลงมือทำ
การฝึกจบ ฝึกวาง ฝึกปลง ฝึกดับ ฝึกยอม
ปฏิเวธ ก็คือ ผลที่ได้รับในขณะที่ฝึกจบ
ฝึกวาง ฝึกปลง ฝึกดับ ฝึกยอม
ในขณะนั้นๆ ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น
๓ ตัวนี้ทำงานพร้อมกัน แต่คนละหน้าที่
แปลผิด เข้าใจผิด ทำผิด ก็ต้องงง
ต้องงมไปทุกภพทุกภูมิ
ไม่มีวันสว่างไสว คลี่คลาย
การทำภาวนาไม่ใช่เรื่องยาก
ถ้ายากไม่ใช่เรื่องการภาวนาแล้ว
ถ้ายากมันเป็นเรื่องของ ตัณหา
เพราะตัณหา คือ ตัวทำเอา ทำยึด
ยึดอยู่แค่รูปแบบ แค่ตามเขาว่า
มันยึดไม่ได้อยู่แล้ว อยู่แล้ว
สวากขาโต มันง่ายอยู่แล้ว
สันทิฏฐิโก ต้องทำเอง เห็นเอง รู้เอง
อะกาลิโก ต้องจบทุกขณะ ไม่ต้องรอเวลา
โอปะนะยิโก ต้องฉลาดน้อมมาจบ
เอหิปัสสิโก ต้องจบชัดๆ รู้ชัดๆ ดูชัด
ปัจจัตตัง ต้องจบเอง รู้เองฯ
ได้เวลาจบแล้ว สว่างไสวแล้วฯ
วัดพระมหาชนก บ้านพลังเพียร
3.14.2019
******
Cr.Facebook วัดพระมหาชนก บ้านพลังเพียร
วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2562
จิตสุดท้ายก่อนตาย
“จิตสุดท้ายก่อนตาย”
หลังตายไปภายใน20นาที
นพ.สรศักดิ์. ศุภผล รพ.รามาผู้ส่งบทความดีๆนี้มาให้ครับ
สำคัญก็จริง แต่ .......
“จิตหลังความตาย 20 นาทีแรก”
ก็มีความสำคัญในการเปลี่ยนภพด้วย
“การศึกษาทางประสาทสรีรวิทยา นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
พบว่าหนูที่ตายใหม่ๆ หัวใจหยุดทำงาน เลือดหยุดไปเลี้ยงสมอง แต่คลื่นสมองยังคงอยู่ในภาวะ “ตื่นตัวขั้นสูง”
บ่งบอกถึงการมีสติสัมปชัญญะของคนเมื่อหัวใจหยุดเต้น”
ดังนั้น ทางการแพทย์บอกว่า “ตาย” แต่สมองยังทำงานอยู่ เป็น “การสร้างภาพจากสังขารจิต 20 นาที” ว่าจะไปภพภูมิใด
ดังนั้น จึงควร “เหนี่ยวนำ ไม่ให้นิมิตมาหลอกหลอน 20 นาที หลังหัวใจหยุดเต้น (กรรม กรรมนิมิต คตินิมิต) การเข้าสู่ความมืด(ภวังคจิต) บังสุกุล คำศักดิ์สิทธิ์ของแต่ละศาสนาจะปลุกจิตให้ตื่นหรือถอนออกมาเอง”
แปลว่า ต่อให้ก่อนตายญาติและคนไข้ได้เตรียมตัวเหนี่ยวนำจิตเป็นอย่างดี จนตายไปแล้ว (ก็คือหัวใจหยุดทำงาน)
สมองก็ยังเหนี่ยวนำสิ่งที่ทำก่อนตายอยู่ เช่น ถ้ากำลังสวดมนตร์ภาวนา ตายไปแล้วจิตและสมองก็ยังหมกมุ่นอยู่กับการสวดมนต์ภาวนา ดวงจิตก็ย่อมเปลี่ยนภพภูมิไปที่ดี
แต่หากสมมติว่า ก่อนตายเตรียมตัวดีมาก แต่เมื่อตายไปแล้ว
ญาติๆ ร้องไห้ระงมเสียงดังลั่น หรือ ลูกหลานทะเลาะแย่งสมบัติด้วยเสียงแซ่งแซ่ บรรยากาศเหล่านั้นก็จะเหนี่ยวนำให้สมองครุ่นคิดตรงนั้นและก็นำพาดวงจิตไปสู่ภพภูมิไม่ดีได้นั่นเอง
ดังนั้น สิ่งที่ควรทำหลังความตาย 20 นาทีแรก คือ สวดมนต์ เมื่อรู้ว่ามีคนตาย ก็หยิบขวดน้ำมนต์เย็นๆ ในตู้เย็นติดมือไป และหยดน้ำมนต์ที่ตาที่สาม (จักระ 6) ตรงหน้าผากหว่างคิ้ว เพื่อให้ความเย็นของน้ำไปส่งสัญญาณให้สมองที่ตรงกลางข้างในซึ่งยังทำงานอยู่ได้ตื่นตัวฟังเสียงสวดมนต์หรือบังสุกุล แต่ถ้าใครไม่มีน้ำมนต์ ก็ให้ใช้น้ำเย็นธรรมดาก็ได้
สรุป
บรรยากาศในการเตรียมตัวก่อนตายและหลัง
ความตาย 20 นาที
จะต้องปราศจากเสียงร้องไห้เศร้าโศก
การทะเลาะเบาะแว้ง
หรือการพูดเรื่องไม่สบายใจ
เพื่อให้คนตายได้เปลี่ยนภพภูมิที่ดีขึ้น
แต่ทั้งนี้ ตอนที่มีชีวิตอยู่ก็ต้องทำความดี ละความชั่ว ขัดเกลาจิตใจให้ผ่องใสด้วย
จะได้พร้อมเปลี่ยนภพภูมิได้ทุกที่ ทุกเวลา
จิตใครเศร้าหมอง ก็สั่งจิตให้คลายความเศร้าหมอง ให้อภัยปล่อยวาง
คิดซะว่ากฎหมายเอาผิดไม่ได้ แต่ก็หนีกฏแห่งกรรมไม่พ้น ปล่อยให้เป็นหน้าที่กฏแห่งกรรม
เราไม่ต้องไปเอาคืนแก้แค้น เอาเวลามาทำจิตให้ผ่องใสเข้าสู่ความว่างดีกว่า
ผู้ใด เผยแผ่ ผู้นั้น ได้สะสมบุญ บารมี
สาธุ สาธุ สาธุ
****
Fwd.Line
หลังตายไปภายใน20นาที
นพ.สรศักดิ์. ศุภผล รพ.รามาผู้ส่งบทความดีๆนี้มาให้ครับ
สำคัญก็จริง แต่ .......
“จิตหลังความตาย 20 นาทีแรก”
ก็มีความสำคัญในการเปลี่ยนภพด้วย
“การศึกษาทางประสาทสรีรวิทยา นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
พบว่าหนูที่ตายใหม่ๆ หัวใจหยุดทำงาน เลือดหยุดไปเลี้ยงสมอง แต่คลื่นสมองยังคงอยู่ในภาวะ “ตื่นตัวขั้นสูง”
บ่งบอกถึงการมีสติสัมปชัญญะของคนเมื่อหัวใจหยุดเต้น”
ดังนั้น ทางการแพทย์บอกว่า “ตาย” แต่สมองยังทำงานอยู่ เป็น “การสร้างภาพจากสังขารจิต 20 นาที” ว่าจะไปภพภูมิใด
ดังนั้น จึงควร “เหนี่ยวนำ ไม่ให้นิมิตมาหลอกหลอน 20 นาที หลังหัวใจหยุดเต้น (กรรม กรรมนิมิต คตินิมิต) การเข้าสู่ความมืด(ภวังคจิต) บังสุกุล คำศักดิ์สิทธิ์ของแต่ละศาสนาจะปลุกจิตให้ตื่นหรือถอนออกมาเอง”
แปลว่า ต่อให้ก่อนตายญาติและคนไข้ได้เตรียมตัวเหนี่ยวนำจิตเป็นอย่างดี จนตายไปแล้ว (ก็คือหัวใจหยุดทำงาน)
สมองก็ยังเหนี่ยวนำสิ่งที่ทำก่อนตายอยู่ เช่น ถ้ากำลังสวดมนตร์ภาวนา ตายไปแล้วจิตและสมองก็ยังหมกมุ่นอยู่กับการสวดมนต์ภาวนา ดวงจิตก็ย่อมเปลี่ยนภพภูมิไปที่ดี
แต่หากสมมติว่า ก่อนตายเตรียมตัวดีมาก แต่เมื่อตายไปแล้ว
ญาติๆ ร้องไห้ระงมเสียงดังลั่น หรือ ลูกหลานทะเลาะแย่งสมบัติด้วยเสียงแซ่งแซ่ บรรยากาศเหล่านั้นก็จะเหนี่ยวนำให้สมองครุ่นคิดตรงนั้นและก็นำพาดวงจิตไปสู่ภพภูมิไม่ดีได้นั่นเอง
ดังนั้น สิ่งที่ควรทำหลังความตาย 20 นาทีแรก คือ สวดมนต์ เมื่อรู้ว่ามีคนตาย ก็หยิบขวดน้ำมนต์เย็นๆ ในตู้เย็นติดมือไป และหยดน้ำมนต์ที่ตาที่สาม (จักระ 6) ตรงหน้าผากหว่างคิ้ว เพื่อให้ความเย็นของน้ำไปส่งสัญญาณให้สมองที่ตรงกลางข้างในซึ่งยังทำงานอยู่ได้ตื่นตัวฟังเสียงสวดมนต์หรือบังสุกุล แต่ถ้าใครไม่มีน้ำมนต์ ก็ให้ใช้น้ำเย็นธรรมดาก็ได้
สรุป
บรรยากาศในการเตรียมตัวก่อนตายและหลัง
ความตาย 20 นาที
จะต้องปราศจากเสียงร้องไห้เศร้าโศก
การทะเลาะเบาะแว้ง
หรือการพูดเรื่องไม่สบายใจ
เพื่อให้คนตายได้เปลี่ยนภพภูมิที่ดีขึ้น
แต่ทั้งนี้ ตอนที่มีชีวิตอยู่ก็ต้องทำความดี ละความชั่ว ขัดเกลาจิตใจให้ผ่องใสด้วย
จะได้พร้อมเปลี่ยนภพภูมิได้ทุกที่ ทุกเวลา
จิตใครเศร้าหมอง ก็สั่งจิตให้คลายความเศร้าหมอง ให้อภัยปล่อยวาง
คิดซะว่ากฎหมายเอาผิดไม่ได้ แต่ก็หนีกฏแห่งกรรมไม่พ้น ปล่อยให้เป็นหน้าที่กฏแห่งกรรม
เราไม่ต้องไปเอาคืนแก้แค้น เอาเวลามาทำจิตให้ผ่องใสเข้าสู่ความว่างดีกว่า
ผู้ใด เผยแผ่ ผู้นั้น ได้สะสมบุญ บารมี
สาธุ สาธุ สาธุ
****
Fwd.Line
วันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2562
เสียงของปัจจุบัน
ฉันเคยเชื่อว่าเวลาสามารถรักษาบาดแผลทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ที่จริงแล้ว การพาใจตัวเองกลับมาอยู่กับเวลาในปัจจุบันได้ต่างหากคือยารักษาโรคที่ดีที่สุด
..
พี่คนหนึ่งที่มักจะอยู่กับโลกปัจจุบันเสมอบอกฉันเป็นนัย ๆ ว่า ช่วงเวลาในปัจจุบันเป็นช่วงเวลาที่มีเสน่ห์ เป็นช่วงเวลาที่เราได้สัมผัสสิ่งสวยงามที่มันเกิดขึ้น ณ เวลานั้น ถ้าอยากสัมผัสกับปัจจุบันให้ลึกซึ้งที่สุดคือการให้เวลาตัวเองได้อยู่กับความเงียบ และเราจะได้ยินเสียงของปัจจุบันมากขึ้น
..
ฉันเข้าใจเองว่า เสียงของปัจจุบัน มันก็เป็นเสียงธรรมดาในชีวิตที่เราอาจจะหลงลืมมันไป เสียงของลมพัดใบไม้ เสียงนกร้อง เสียงของแมลง น่าจะเป็นเสียงที่เราไม่ได้สังเกต ไม่ได้ใส่ใจฟัง จนเรากลับมาอยู่ในโลกปัจจุบัน เราถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าเสียงธรรมดาที่เราได้ยินอยู่ทุกวันมันเป็นเสียงของ “การมีชีวิตอยู่”
..
การรู้สึกตัวทุกขณะว่าห้วงเวลา ณ ปัจจุบัน เป็นโลกที่มีความหมายกับชีวิต ค่อย ๆ พาใจตัวเองเดินทางกลับมาอยู่กับโลกปัจจุบัน รับรู้ถึงความงามของปัจจุบันนั้น เราจะพบว่าการได้มีชีวิตอยู่ และได้สัมผัสกับความเงียบบ้าง เพื่อฟังเสียงของปัจจุบันอย่างลึกซึ้ง เพียงแค่นี้ในหนึ่งวันของชีวิตก็มีคุณค่ามากมายแล้ว
..
#เสียงของปัจจุบัน #Wednesdayvibes
*****
Cr. Facebook:https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=2239657066353046&id=100009263247763
วันอังคารที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2562
เก็บมาฝาก
อ่านเรื่องนี้แล้วรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้อ่าน
อาจารย์พรหม หรือพระวิสิทธิสังวรเถร เป็นชาวอังกฤษ เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ชา ก่อนที่จะไปก่อตั้งวัดป่าโพธิญาณใกล้เมืองเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย
ช่วงก่อตั้งวัดป่าโพธิญาณเมื่อปี ๒๕๒๖ พระอาจารย์พรหมเล่าว่า หลังจากซื้อที่ดินแล้ว เงินก็แทบไม่เหลือ ต้องสร้างวัดด้วยมือของตัวเอง ตั้งแต่ผสมปูน จนถึงการก่อกำแพงอิฐ
ท่านเล่าว่า ตอนที่ลงมือทำ ก็รู้สึกว่าได้ทำอย่างประณีตที่สุดจนกระทั่งกำแพงอิฐเสร็จลง แต่พอถอยออกมายืนดู ก็พบว่าก่ออิฐพลาดไป ๒ ก้อน กำแพงอิฐเรียงเรียบสวยงาม แต่มีอยู่ ๒ ก้อนที่เอียงๆ
พระอาจารย์พรหมขอเจ้าอาวาสทุบกำแพงทิ้งเพื่อก่อใหม่ แต่เจ้าอาวาสไม่ยอม จากนั้นเป็นต้นมา ทุกครั้งที่พระอาจารย์พรหมพาแขกเยี่ยมวัด ท่านจะพยายามหลีกเลี่ยงไม่พาแขกเดินผ่านกำแพงบริเวณนี้ เพราะอายที่ก่ออิฐผิดพลาดไป ๒ ก้อน
จนกระทั่งวันหนึ่ง พระอาจารย์พรหมกำลังเดินกับผู้มาเยือนวัดคนหนึ่ง เขาเห็นกำแพงอิฐนี้แล้วเปรยขึ้นมาว่า
“กำแพงนี้สวยดี”
พระอาจารย์พรหมถามด้วยอารมณ์ขันว่า
“คุณลืมแว่นสายตาไว้ในรถหรือเปล่า คุณไม่เห็นหรือว่ามีอิฐ ๒ ก้อนที่ก่อผิดพลาดจนกำแพงดูไม่ดี”
แต่แล้วผู้มาเยือนคนนี้ก็เอ่ยประโยคที่ทำให้พระอาจารย์พรหมเปลี่ยนแปลงทัศนคติทั้งหมดที่เคยมีต่อกำแพงนี้
“ผมเห็นอิฐที่วางไม่ดีสองก้อนนั้น แต่ผมก็ได้เห็นด้วยว่ามีอิฐอีก ๙๙๘ ก้อนที่ก่อไว้อย่างสวยงาม”
“นับเป็นครั้งแรกในรอบ ๓ เดือน ที่อาตมาสามารถมองเห็นอิฐก้อนอื่น ๆ บนกำแพงนั้น นอกเหนือจากเจ้า ๒ ก้อนที่เป็นปัญหา ไม่ว่าจะเป็นอิฐที่อยู่ด้านบน ด้านล่าง ด้านซ้าย และด้านขวาของเจ้าอิฐ ๒ ก้อนนั้นล้วนแต่เป็นอิฐที่ก่อไว้อย่างดีไม่มีที่ติ ยิ่งไปกว่านั้นจำนวนอิฐที่ดี มีมากกว่า เจ้าอิฐไม่ดี ๒ ก้อนนั้น”
ช่วง ๓ เดือนที่ผ่านมา สายตาของพระอาจารย์พรหมเฝ้ามองแต่อิฐ ๒ ก้อนนั้น ท่านยอมรับว่าสายตาของท่าน มืดบอดต่อสิ่งอื่น ๆ ท่านอยากทลายกำแพง เพราะมองเห็นแต่อิฐ ๒ ก้อนที่ผิดพลาด
แต่ทันทีที่ความรู้สึกเปิดกว้าง มองเห็นอิฐก้อนดี ๆ จำนวนมากบนกำแพงนี้ กำแพงเดิมที่อยากทลาย ก็กลับงดงามขึ้นมาทันที
“ใช่ กำแพงนี้สวยดี” พระอาจารย์พรหมหันไปบอกกับผู้มาเยี่ยมคนนั้น
จนถึงวันนี้ พระอาจารย์พรหมก็นึกไม่ออกแล้วว่า อิฐก้อนที่ผิดพลาด ๒ ก้อนนั้นอยู่ตรงไหนของกำแพง
“ทัศนคติ” ในการมองโลกที่เปลี่ยนแปลง ทำให้อิฐ ๒ ก้อนนั้นเลือนหายจากความทรงจำ
พระอาจารย์พรหมเปรียบเปรยว่า คู่ชีวิตที่ตัดสัมพันธ์ หรือหย่าร้างกันก็เพราะทั้งคู่เพ่งมองแต่ “อิฐที่ไม่ดี ๒ ก้อน” ในตัวคู่ชีวิตของเขา
คนที่คิดท้อแท้ อยากฆ่าตัวตายก็เพราะเรามองเห็นแต่ “อิฐ ๒ ก้อน” ในตัวเราเอง
ทั้งที่ในความเป็นจริง นอกจาก “อิฐ ๒ ก้อน” ที่ผิดพลาดแล้ว ยังมี “อิฐก้อนที่ดี” และ “อิฐก้อนที่ดีจนไม่มีที่ติ” มากมายอยู่ในตัวเรา เพียงแต่เรามองไม่เห็นเท่านั้น
วันนี้เราเห็นอิฐก้อนที่ดีในตัวเราแล้วหรือยังครับ
*****
Cr.Fwd line
อาจารย์พรหม หรือพระวิสิทธิสังวรเถร เป็นชาวอังกฤษ เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ชา ก่อนที่จะไปก่อตั้งวัดป่าโพธิญาณใกล้เมืองเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย
ช่วงก่อตั้งวัดป่าโพธิญาณเมื่อปี ๒๕๒๖ พระอาจารย์พรหมเล่าว่า หลังจากซื้อที่ดินแล้ว เงินก็แทบไม่เหลือ ต้องสร้างวัดด้วยมือของตัวเอง ตั้งแต่ผสมปูน จนถึงการก่อกำแพงอิฐ
ท่านเล่าว่า ตอนที่ลงมือทำ ก็รู้สึกว่าได้ทำอย่างประณีตที่สุดจนกระทั่งกำแพงอิฐเสร็จลง แต่พอถอยออกมายืนดู ก็พบว่าก่ออิฐพลาดไป ๒ ก้อน กำแพงอิฐเรียงเรียบสวยงาม แต่มีอยู่ ๒ ก้อนที่เอียงๆ
พระอาจารย์พรหมขอเจ้าอาวาสทุบกำแพงทิ้งเพื่อก่อใหม่ แต่เจ้าอาวาสไม่ยอม จากนั้นเป็นต้นมา ทุกครั้งที่พระอาจารย์พรหมพาแขกเยี่ยมวัด ท่านจะพยายามหลีกเลี่ยงไม่พาแขกเดินผ่านกำแพงบริเวณนี้ เพราะอายที่ก่ออิฐผิดพลาดไป ๒ ก้อน
จนกระทั่งวันหนึ่ง พระอาจารย์พรหมกำลังเดินกับผู้มาเยือนวัดคนหนึ่ง เขาเห็นกำแพงอิฐนี้แล้วเปรยขึ้นมาว่า
“กำแพงนี้สวยดี”
พระอาจารย์พรหมถามด้วยอารมณ์ขันว่า
“คุณลืมแว่นสายตาไว้ในรถหรือเปล่า คุณไม่เห็นหรือว่ามีอิฐ ๒ ก้อนที่ก่อผิดพลาดจนกำแพงดูไม่ดี”
แต่แล้วผู้มาเยือนคนนี้ก็เอ่ยประโยคที่ทำให้พระอาจารย์พรหมเปลี่ยนแปลงทัศนคติทั้งหมดที่เคยมีต่อกำแพงนี้
“ผมเห็นอิฐที่วางไม่ดีสองก้อนนั้น แต่ผมก็ได้เห็นด้วยว่ามีอิฐอีก ๙๙๘ ก้อนที่ก่อไว้อย่างสวยงาม”
“นับเป็นครั้งแรกในรอบ ๓ เดือน ที่อาตมาสามารถมองเห็นอิฐก้อนอื่น ๆ บนกำแพงนั้น นอกเหนือจากเจ้า ๒ ก้อนที่เป็นปัญหา ไม่ว่าจะเป็นอิฐที่อยู่ด้านบน ด้านล่าง ด้านซ้าย และด้านขวาของเจ้าอิฐ ๒ ก้อนนั้นล้วนแต่เป็นอิฐที่ก่อไว้อย่างดีไม่มีที่ติ ยิ่งไปกว่านั้นจำนวนอิฐที่ดี มีมากกว่า เจ้าอิฐไม่ดี ๒ ก้อนนั้น”
ช่วง ๓ เดือนที่ผ่านมา สายตาของพระอาจารย์พรหมเฝ้ามองแต่อิฐ ๒ ก้อนนั้น ท่านยอมรับว่าสายตาของท่าน มืดบอดต่อสิ่งอื่น ๆ ท่านอยากทลายกำแพง เพราะมองเห็นแต่อิฐ ๒ ก้อนที่ผิดพลาด
แต่ทันทีที่ความรู้สึกเปิดกว้าง มองเห็นอิฐก้อนดี ๆ จำนวนมากบนกำแพงนี้ กำแพงเดิมที่อยากทลาย ก็กลับงดงามขึ้นมาทันที
“ใช่ กำแพงนี้สวยดี” พระอาจารย์พรหมหันไปบอกกับผู้มาเยี่ยมคนนั้น
จนถึงวันนี้ พระอาจารย์พรหมก็นึกไม่ออกแล้วว่า อิฐก้อนที่ผิดพลาด ๒ ก้อนนั้นอยู่ตรงไหนของกำแพง
“ทัศนคติ” ในการมองโลกที่เปลี่ยนแปลง ทำให้อิฐ ๒ ก้อนนั้นเลือนหายจากความทรงจำ
พระอาจารย์พรหมเปรียบเปรยว่า คู่ชีวิตที่ตัดสัมพันธ์ หรือหย่าร้างกันก็เพราะทั้งคู่เพ่งมองแต่ “อิฐที่ไม่ดี ๒ ก้อน” ในตัวคู่ชีวิตของเขา
คนที่คิดท้อแท้ อยากฆ่าตัวตายก็เพราะเรามองเห็นแต่ “อิฐ ๒ ก้อน” ในตัวเราเอง
ทั้งที่ในความเป็นจริง นอกจาก “อิฐ ๒ ก้อน” ที่ผิดพลาดแล้ว ยังมี “อิฐก้อนที่ดี” และ “อิฐก้อนที่ดีจนไม่มีที่ติ” มากมายอยู่ในตัวเรา เพียงแต่เรามองไม่เห็นเท่านั้น
วันนี้เราเห็นอิฐก้อนที่ดีในตัวเราแล้วหรือยังครับ
*****
Cr.Fwd line
เก็บมาฝาก จาก Line
หลวงปู่เทสก์ ..
#เล่าเรื่องพระอาจารย์มั่น
หลวงปู่เทสก์ ..เล่าให้
อาตมา (พระครูอุดมสังวรญาณ)
ฟังว่า ..
มีโยมนำแตงโมมาถวาย
ท่านพระอาจารย์มั่น ..
ท่านบอกเขาว่า “ท่านไม่รับ”
โยมก็ ..
คะยั้นคะยอ “ทำไมถึงไม่รับ”
ท่านพระอาจารย์มั่นบอกว่า ..
“ของไม่บริสุทธิ์”
โยมเขาก็ชักสงสัยที่ ..ท่านพูด
อย่างนั้นว่าของไม่บริสุทธิ์ ก็เรา
เก็บมาจากไร่ของเราเอง
#ผลที่สุดจึงได้ไปดูที่ไร่ของตน
ปรากฏว่าเถาแตงโมมันเลื้อยมา
จากไร่ของคนอื่น ....
นี้คือประสบการณ์ ..
ที่หลวงปู่เทสก์เล่าให้ฟัง
หลวงปู่เทสก์ไปอยู่เชียงใหม่
กับท่านพระอาจารย์มั่นนี้ ...
#หลวงปู่เทสก์เล่าอีกเรื่องว่า ..
ท่านพระอาจารย์มั่น ... มาพัก
ปฏิบัติธรรมแถวเชียงใหม่
มีชาวเขาเผ่าอะไรไม่ทราบ ...
ขณะที่ท่านเดินจงกรมไปมาอยู่นั้น
พวกชาวเขามาเห็นพระอาจารย์มั่น
แล้วถามท่านว่า “ตุ๊เจ้าหาอะไร”
ท่านตอบเขาว่าหา “พุทโธ”
เขาบอกท่านว่า
“จะช่วยท่านหาพุทโธ”
#ท่านก็เลยแนะนำอย่างนี้ๆ ..
ชาวเขาผู้นั้นเป็นผู้ใหญ่บ้าน
ของเผ่านั้นๆ พอมาหาพุทโธ
ปรากฏว่า ..
#ผู้ใหญ่คนนั้นเกิดความสงบ
#มีความสว่างไปทั่วป่า ...
เขาเห็นพุทโธ ..
ได้พุทโธแล้วก็ดีอกดีใจ
#ชวนลูกบ้านในเผ่ามาหาพุทโธ
ซึ่งไม่รู้ภาษากันน่ะ ....
แต่ ..
ท่านพระอาจารย์มั่นก็สามารถ
ให้ชาวเขาเผ่านั้นรู้จักธรรมได้
อีกเรื่องหนึ่ง ..
ที่หลวงปู่เทสก์ท่านเล่า
เป็นเรื่องที่ ...เกิดขึ้นที่
จังหวัดเชียงใหม่เหมือนกัน
แต่ท่านไม่ทราบสถานที่ใด
ท่านพระอาจารย์มั่นเล่าว่า
“ตรงนั้นภาวนาดีเหลือเกิน จะนั่ง
จะพิจารณาอะไรก็ดูสว่างไสวไปหมด”
#แล้วท่านก็พิจารณา ..
“สถานที่นี้เกี่ยวข้องอะไรกับเรา”
ก็ปรากฏขึ้นมาในจิต ..
ท่านเล่าให้หลวงปู่เทสก์ฟังว่า
“แต่ก่อนเราเคยเป็นหมูป่าเป็น
หมูป่าถูกนายพรานยิงและก็มาตายตรงนี้”
#หลวงปู่เทสก์ท่านก็ช่างจำ
ได้กราบเรียนถาม ...
ท่านพระอาจารย์มั่นหลายเรื่อง
ท่านก็จะเล่าให้หลวงปู่เทสก์ฟังเสมอ
มีสามเณรองค์หนึ่ง ...มาจาก
อุบลราชธานี จำชื่อสามเณรไม่ได้
ตั้งใจ ..
มาปฏิบัติ ..ได้ยินข่าวว่าท่าน
พระอาจารย์มั่นเป็นพระอรหันต์
#อยากไปปฏิบัติกับท่าน
พอไปถึงแล้ว ..
ท่านพระอาจารย์มั่นคงรู้ในจิต
ท่านก็เลยรับสามเณรไว้
คราวนี้สามเณรได้ไป ..
ปฏิบัติไปนวดท่านพระอาจารย์มั่น
ท่านก็หลับไป ...
สามเณรก็คิดไปว่า
“เอ! พระอรหันต์ ...
ทำไมนวดอยู่ก็ยังหลับ”
ท่านก็สวนขึ้นทันที
“เออ เณร พระอรหันต์ไม่หลับหรอก”
#แสดงว่าท่านรู้วาระจิตสามเณร
“พระอรหันต์ไม่หลับหรอก
หลับแต่ธาตุขันธ์เท่านั้นเอง”
ตอนนั้น ...
หลวงปู่เทสก์มีความรู้สึกว่า
“อยากเป็นพระอรหันต์บ้าง ได้
มาปฏิบัติกับท่านพระอาจารย์มั่น
เราคิดอะไร ท่านก็รู้ แล้วนำมา
เทศน์ และก็ตรงกับที่เราคิดทุกครั้ง”
อย่างเรื่อง ...เจ้าคุณพระอุบาลี
คุณูปมาจารย์ที่วัดบรมนิวาส
ซึ่งท่านพระอาจารย์มั่นมีความ
เคารพท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ มาก
คราวหนึ่ง ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ
#คิดเรื่องข้อธรรม ...
อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถ
ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน
#และคิดเรื่องอนัตตา
ท่านคิดพิจารณาอยู่ตั้งดึก ..
คิดแล้วท่านก็ค้นหนังสือคำที่ว่านี้
ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ค้นหนังสือ
และคิดอยู่ที่วัดบรมนิวาส ...
ต่อมาเมื่อท่านพระอาจารย์มั่น
ลงมาที่วัดพระบรมนิวาส ...
ได้เรียนถามเจ้าคุณอุบาลีฯ ว่า
“ท่านเจ้าคุณสงสัยเรื่องอะไร?
เมื่อคืนนั้น... ท่านเจ้าคุณ
ค้นเรื่องนั้นๆ... หน้านั้นๆ... ใช่ไหม?”
ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯตอบว่า ...
“ท่านมั่นนี้แน่จริงๆ นะ”
#นี้คือเรื่องที่หลวงปู่เทสก์ ...
เล่าให้อาตมาฟังต่อว่า
“ผู้ใหญ่ท่านคุยกัน ...
ปราชญ์ท่านคุยกันอย่างนี้แหละ”
นอกจากนี้ ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง
#ซึ่งหลวงปู่เทสก์เท่านั้น ...
ที่บางเรื่อง ..
ท่านสามารถแย้งความเห็น
กับท่านพระอาจารย์มั่นได้
#ท่านมีความเห็นอะไร ...
ท่านก็พูดตรงๆ
ท่านพระอาจารย์มั่นบอกว่า ...
“ท่านเทสก์น่ะดื้อ เพราะเคยเป็น
หลานท่านมาก่อน (ในอดีตชาติ)
เคยเป็นทหาร ไม่ยอมใครง่ายๆ”
#ที่มา บูรพาจารย์
#เล่าเรื่องพระอาจารย์มั่น
หลวงปู่เทสก์ ..เล่าให้
อาตมา (พระครูอุดมสังวรญาณ)
ฟังว่า ..
มีโยมนำแตงโมมาถวาย
ท่านพระอาจารย์มั่น ..
ท่านบอกเขาว่า “ท่านไม่รับ”
โยมก็ ..
คะยั้นคะยอ “ทำไมถึงไม่รับ”
ท่านพระอาจารย์มั่นบอกว่า ..
“ของไม่บริสุทธิ์”
โยมเขาก็ชักสงสัยที่ ..ท่านพูด
อย่างนั้นว่าของไม่บริสุทธิ์ ก็เรา
เก็บมาจากไร่ของเราเอง
#ผลที่สุดจึงได้ไปดูที่ไร่ของตน
ปรากฏว่าเถาแตงโมมันเลื้อยมา
จากไร่ของคนอื่น ....
นี้คือประสบการณ์ ..
ที่หลวงปู่เทสก์เล่าให้ฟัง
หลวงปู่เทสก์ไปอยู่เชียงใหม่
กับท่านพระอาจารย์มั่นนี้ ...
#หลวงปู่เทสก์เล่าอีกเรื่องว่า ..
ท่านพระอาจารย์มั่น ... มาพัก
ปฏิบัติธรรมแถวเชียงใหม่
มีชาวเขาเผ่าอะไรไม่ทราบ ...
ขณะที่ท่านเดินจงกรมไปมาอยู่นั้น
พวกชาวเขามาเห็นพระอาจารย์มั่น
แล้วถามท่านว่า “ตุ๊เจ้าหาอะไร”
ท่านตอบเขาว่าหา “พุทโธ”
เขาบอกท่านว่า
“จะช่วยท่านหาพุทโธ”
#ท่านก็เลยแนะนำอย่างนี้ๆ ..
ชาวเขาผู้นั้นเป็นผู้ใหญ่บ้าน
ของเผ่านั้นๆ พอมาหาพุทโธ
ปรากฏว่า ..
#ผู้ใหญ่คนนั้นเกิดความสงบ
#มีความสว่างไปทั่วป่า ...
เขาเห็นพุทโธ ..
ได้พุทโธแล้วก็ดีอกดีใจ
#ชวนลูกบ้านในเผ่ามาหาพุทโธ
ซึ่งไม่รู้ภาษากันน่ะ ....
แต่ ..
ท่านพระอาจารย์มั่นก็สามารถ
ให้ชาวเขาเผ่านั้นรู้จักธรรมได้
อีกเรื่องหนึ่ง ..
ที่หลวงปู่เทสก์ท่านเล่า
เป็นเรื่องที่ ...เกิดขึ้นที่
จังหวัดเชียงใหม่เหมือนกัน
แต่ท่านไม่ทราบสถานที่ใด
ท่านพระอาจารย์มั่นเล่าว่า
“ตรงนั้นภาวนาดีเหลือเกิน จะนั่ง
จะพิจารณาอะไรก็ดูสว่างไสวไปหมด”
#แล้วท่านก็พิจารณา ..
“สถานที่นี้เกี่ยวข้องอะไรกับเรา”
ก็ปรากฏขึ้นมาในจิต ..
ท่านเล่าให้หลวงปู่เทสก์ฟังว่า
“แต่ก่อนเราเคยเป็นหมูป่าเป็น
หมูป่าถูกนายพรานยิงและก็มาตายตรงนี้”
#หลวงปู่เทสก์ท่านก็ช่างจำ
ได้กราบเรียนถาม ...
ท่านพระอาจารย์มั่นหลายเรื่อง
ท่านก็จะเล่าให้หลวงปู่เทสก์ฟังเสมอ
มีสามเณรองค์หนึ่ง ...มาจาก
อุบลราชธานี จำชื่อสามเณรไม่ได้
ตั้งใจ ..
มาปฏิบัติ ..ได้ยินข่าวว่าท่าน
พระอาจารย์มั่นเป็นพระอรหันต์
#อยากไปปฏิบัติกับท่าน
พอไปถึงแล้ว ..
ท่านพระอาจารย์มั่นคงรู้ในจิต
ท่านก็เลยรับสามเณรไว้
คราวนี้สามเณรได้ไป ..
ปฏิบัติไปนวดท่านพระอาจารย์มั่น
ท่านก็หลับไป ...
สามเณรก็คิดไปว่า
“เอ! พระอรหันต์ ...
ทำไมนวดอยู่ก็ยังหลับ”
ท่านก็สวนขึ้นทันที
“เออ เณร พระอรหันต์ไม่หลับหรอก”
#แสดงว่าท่านรู้วาระจิตสามเณร
“พระอรหันต์ไม่หลับหรอก
หลับแต่ธาตุขันธ์เท่านั้นเอง”
ตอนนั้น ...
หลวงปู่เทสก์มีความรู้สึกว่า
“อยากเป็นพระอรหันต์บ้าง ได้
มาปฏิบัติกับท่านพระอาจารย์มั่น
เราคิดอะไร ท่านก็รู้ แล้วนำมา
เทศน์ และก็ตรงกับที่เราคิดทุกครั้ง”
อย่างเรื่อง ...เจ้าคุณพระอุบาลี
คุณูปมาจารย์ที่วัดบรมนิวาส
ซึ่งท่านพระอาจารย์มั่นมีความ
เคารพท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ มาก
คราวหนึ่ง ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ
#คิดเรื่องข้อธรรม ...
อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถ
ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน
#และคิดเรื่องอนัตตา
ท่านคิดพิจารณาอยู่ตั้งดึก ..
คิดแล้วท่านก็ค้นหนังสือคำที่ว่านี้
ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ค้นหนังสือ
และคิดอยู่ที่วัดบรมนิวาส ...
ต่อมาเมื่อท่านพระอาจารย์มั่น
ลงมาที่วัดพระบรมนิวาส ...
ได้เรียนถามเจ้าคุณอุบาลีฯ ว่า
“ท่านเจ้าคุณสงสัยเรื่องอะไร?
เมื่อคืนนั้น... ท่านเจ้าคุณ
ค้นเรื่องนั้นๆ... หน้านั้นๆ... ใช่ไหม?”
ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯตอบว่า ...
“ท่านมั่นนี้แน่จริงๆ นะ”
#นี้คือเรื่องที่หลวงปู่เทสก์ ...
เล่าให้อาตมาฟังต่อว่า
“ผู้ใหญ่ท่านคุยกัน ...
ปราชญ์ท่านคุยกันอย่างนี้แหละ”
นอกจากนี้ ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง
#ซึ่งหลวงปู่เทสก์เท่านั้น ...
ที่บางเรื่อง ..
ท่านสามารถแย้งความเห็น
กับท่านพระอาจารย์มั่นได้
#ท่านมีความเห็นอะไร ...
ท่านก็พูดตรงๆ
ท่านพระอาจารย์มั่นบอกว่า ...
“ท่านเทสก์น่ะดื้อ เพราะเคยเป็น
หลานท่านมาก่อน (ในอดีตชาติ)
เคยเป็นทหาร ไม่ยอมใครง่ายๆ”
#ที่มา บูรพาจารย์
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)