วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2561
ปฏิบัติแล้วได้อะไร
ปฏิบัติธรรมแล้ว สุดท้ายเราจะได้แต่ความหลุดพ้นจากสิ่งทั้งหลาย
.....ผู้คนส่วนมากปฏิบัติธรรมด้วยความอยาก ความหวัง อยากให้จิตสงบ อยากได้บุญ อยากเห็นโน้นเห็นนี่เห็นสวรรค์ เห็นนรก อยากบรรลุ อยากไปนิพพาน ในความเป็นจริงหากเรายังปฏิบัติธรรมด้วยความอยาก เหมือนกับเรากำลังเติมเชื้อเพลิงแห่งกิเลสลงไปในจิตใจของเรา ยิ่งภาวนาแล้วเกิดความอยากขึ้นมา จิตใจของเรายิ่งวุ่นวาย ไม่มีวันที่จะพบความสงบที่แท้จริง หากเราลองปล่อยวางทุกอย่างในชีวิตลง แล้วมีสติดูกาย ดูใจของตนเองตามสภาพที่มันเป็นอยู่ในปัจจุบัน ไม่ต้องหวังว่าจะเกิดความสงบ เกิดสมาธิขั้นโน้นขั้นนี้ จิตใจของเราจะเริ่มปล่อยวาง และกลับมารู้กาย ใจตามความเป็นจริงของมัน
.....มีคนถามพระพุทธองค์ว่า ปฏิบัติธรรมแล้ว สุดท้ายเราจะได้อะไร?...พระพุทธองค์ตอบว่าไม่ได้อะไรเลย...จึงถามต่อไปว่า...ถ้าเช่นนั้นท่านจะปฏิบัติไปเพื่ออะไร? พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า...ตถาคตสามารถบอกเธอถึงสิ่งที่หายไปจากชีวิตหรือกายกับใจก็ คือ ความโกรธได้หายไป ความหม่นหมองวิตกกังวลก็หายไป ความเศร้าโศกท้อแท้ก็หายไป ความกังวลไม่สบายใจได้หายไป ความเห็นแก่ตัว ความโลภ ความหลงได้หายไป ความไม่รู้(อวิชชา)ได้หายไป คงเหลือแต่ความว่างเปล่า(สุญตา) จิตที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งหลาย มีแต่ความหลุดพ้น(วิมุตติ) เท่านั้นที่เราได้ ปฏิบัติธรรมแล้ว สุดท้ายเราจะได้แต่ความหลุดพ้นจากสิ่งทั้งหลาย
.....สร้างเหตุ แต่อย่าหวังผล มีสิ่งหนึ่งที่นักปฏิบัติธรรมต้องจำให้ขึ้นใจก็คือ เวลาปฏิบัติธรรมได้ผลดีก็อย่าดีใจ เวลาปฏิบัติธรรมได้ผลไม่ดีก็อย่าเสียใจ เพราะถ้าทำได้ผลดีแล้วเราดีใจก็จะทำให้เราติดในผลของการปฏิบัติ พอตอนหลังปฏิบัติได้ผลไม่ดีเท่าเดิมก็จะเกิดความไม่พอใจ เกิดความลังเลสงสัยว่าแต่ก่อนเคยทำได้ดี มาตอนนี้ทำไมจึงทำไม่ได้อีก เราต้องรู้ในเหตุในผลว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอนบางครั้งสติมีกำลังสมาธิดี เราก็สามารถทำสติสัมปชัญญะให้เกิดขึ้นได้ง่าย บางครั้งมีความฟุ้งซ่านมาก กังวลมาก เราก็ไม่สามารถทำสติสัมปชัญญะให้เกิดขึ้นได้ แม้ตั้งใจทำเท่าไรสติสัมปชัญญะก็ไม่เกิด บางครั้งเราอาจจะมีความรู้สึกว่าสภาพจิตของเราตกต่ำมาก เหมือนกับไม่เคยปฏิบัติธรรมมาก่อนเลย มีแต่ความหงุดหงิด ฟุ้งซ่านรำคาญใจอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราไม่เข้าใจก็อาจจะเกิดความท้อแท้ น้อยใจ ทำให้การปฏิบัติธรรมเสื่อมถอยลง หรืออาจจะถึงกับเลิกราไปเลยก็ได้ ก็ขอให้เราเข้าใจในเหตุในผลว่าเป็นธรรมดาของการปฏิบัติธรรม ที่ย่อมมีแพ้มีชนะ ผู้ที่ชนะตลอดก็มีแต่อรหันต์เท่านั้น แม้แต่โสดาบันก็ยังมีแพ้มีชนะ หน้าที่ของเราไม่ใช่การคิดมาก กังวล ท้อแท้ น้อยใจ แต่หน้าที่ของเราก็คือการฝึกหัดละอุปาทาน โดยการทำสติสัมปชัญญะให้เกิดขึ้นเสมอ ๆ ทำบ่อย ๆ ทำให้มาก ๆ เมื่อปฏิบัติได้ผลดีก็อย่าดีใจ เมื่อปฏิบัติได้ผลไม่ดีก็อย่าเสียใจ พยายามหาทางแก้ไขด้วยเหตุ ด้วยผล เพื่อให้การปฏิบัติธรรมก้าวหน้าต่อไป ให้เราพยายามสร้างเหตุให้ดีที่สุดแต่ผลลัพธ์ที่ได้จะดีหรือไม่ดีก็ช่างมัน เรียกว่า สร้างเหตุให้มากแต่อย่าหวังผล ถ้าเราทำได้อย่างนี้ก็เป็นการละความยินดียินร้ายในผลของการปฏิบัติ ตลอดทางของการปฏิบัติธรรม เราจะพบความจริงว่า ตราบใดที่เรามีความยินดียินร้ายในผลของการปฏิบัติ การปฏิบัติก็จะไม่ก้าวหน้า ต่อเมื่อเราละความยินดียินร้ายเสียได้ การปฏิบัติธรรมจึงจะก้าวหน้าต่อไป
ธรรมะห่มดอย
ขอบคุณข้อมูลจาก Fwd.Line
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)