วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

เก็บมาฝาก...จาก ไลน์



มีเรื่องเล่าว่า  อาจารย์วิษณุเป็นคุรุที่มีลูกศิษย์มาก แต่มีศิษย์เด่นสองคน คือ ชัย กับ จิต เป็นผู้ชายทั้งคู่

ชัยมักรู้สึกน้อยใจที่อาจารย์วิษณุโปรดปรานจิตมากกว่า ส่วนอาจารย์รู้ว่าชัยคิดอย่างไรกับตน แต่ก็ไม่ได้พูดหรืออธิบายเหตุผลว่าทำไมจึงโปรดปรานจิตมากกว่า

วันหนึ่งอาจารย์เรียกลูกศิษย์ทั้งสองคนมาหา แล้วพาไปดูห้องเปล่าสองห้องที่อยู่ไม่ไกลกันนัก มอบเงินให้ลูกศิษย์คนละหนึ่งรูปี แล้วมอบหมายว่า พวกเธอทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้ห้องของเธอเต็ม อาจารย์จะมาดูผลงานของเธอค่ำนี้

เมื่อได้รับมอบหมาย ชัยก็รีบไปที่ตลาดทันที แต่เงินหนึ่งรูปีนั้นมีค่าน้อยมาก ซื้ออะไรก็ได้นิดหน่อย เขาคิดอยู่สักพัก ก็ไปหาคนเก็บขยะ  ขอซื้อขยะทั้งกองด้วยเงินหนึ่งรูปี คนเก็บขยะยินดียกขยะให้หมด  ชัยใช้เวลาหลายชั่วโมงในการขนขยะเข้าไปไว้ในห้องจนเต็ม  เขาภูมิใจที่ทำงานที่อาจารย์มอบหมายเสร็จทันเวลา

ส่วนจิตเมื่อรับมอบหมายจากอาจารย์ เขาก็นั่งสมาธิพักใหญ่ จากนั้นก็ค่อย ๆ เดินไปที่ตลาด  ใช้เงินหนึ่งรูปีซื้อไม้ขีดไฟ ธูป และประทีบ พอใกล้ค่ำก็จุดธูปและประทีป  ไม่นานห้องก็สว่างและอบอวลด้วยกลิ่นหอม

เมื่อได้เวลาอาจารย์ก็มาตรวจผลงานของลูกศิษย์  โดยไปที่ห้องของชัยก่อน พอเปิดห้องอาจารย์ก็ผงะ เพราะว่ากลิ่นขยะเหม็นตลบอบอวลเต็มห้องเลย

จากนั้นก็เดินไปยังห้องของจิต พอเปิดประตูมาก็เห็นแสงสว่างสีนวลเต็มห้อง และมีกลิ่นหอมอบอวล อาจารย์ยิ้มให้กับบรรยากาศที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า  ถึงตรงนี้ชัยก็รู้แล้วว่าอาจารย์ชอบห้องไหน และเข้าใจแล้วว่าทำไมอาจารย์จึงโปรดปรานจิตมากกว่าตน

ทั้งสองคนตอบโจทย์อาจารย์ได้ทั้งคู่ เพราะใช้เงินหนึ่งรูปีทำให้ห้องของตัวเองเต็ม แต่ห้องหนึ่งเต็มไปด้วยขยะ ส่วนอีกห้องเต็มไปด้วยกลิ่นหอมและแสงสว่าง
         
นิทานเรื่องนี้ไม่ได้ชี้เพียงแค่ว่าใครฉลาดกว่าใครเท่านั้น แต่สะท้อนให้เห็นมุมมองหรือวิธีคิดของสองคนที่แตกต่างกัน ชัยคิดแต่ในเชิงวัตถุ มองในแง่ปริมาณ เมื่อได้รับโจทย์ว่าทำห้องให้เต็ม เขาก็คิดถึงแต่การหาวัตถุเยอะๆ มาเติมเต็มห้อง ซึ่งลงเอยด้วยการหาขยะมาใส่ ส่วนจิตไม่ได้คิดในเชิงวัตถุ เขามีความคิดที่ละเมียดละไมและประณีตกว่านั้น  เขาให้ความสำคัญกับคุณภาพ  เพราะฉะนั้นจึงทำให้ห้องนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นหอมและแสงสว่าง

ชัยและจิตเป็นตัวแทนของคนในโลกนี้ที่มีมุมมองต่างกัน ประเภทหนึ่งคิดในเชิงวัตถุ เวลามีปัญหา ก็นึกถึงวัตถุเป็นคำตอบ วัดความสำเร็จในแง่ปริมาณ อีกประเภทนึกถึงสิ่งที่มีคุณค่าในเชิงนามธรรม  วัดความสำเร็จในแง่คุณภาพ

นิทานเรื่องนี้เต็มไปด้วยอุปมาอุปไมย ห้องนั้นเปรียบเสมือนชีวิตของคนเรา เงินหนึ่งรูปี ซึ่งน้อยนิดนั้นหมายถึงเวลาในชีวิตของคนเราซึ่งสั้นมาก การทำให้ห้องเต็ม หมายถึงการเติมเต็มชีวิตของเรา

เมื่อพูดถึงการเติมเต็ม คนจำนวนไม่น้อยจะนึกถึงการมีชีวิตที่พรั่งพร้อมด้วยวัตถุ เงินทอง ทรัพย์สมบัติ ยิ่งมีเวลาน้อยเท่าไรยิ่งต้องรีบหามาให้เยอะๆ ชีวิตจะได้ไม่ว่างเปล่า

แต่บางคนเห็นว่าชีวิตควรจะเติมเต็มด้วยสิ่งที่งดงาม มีคุณค่าและความหมาย นั่นคือ คุณธรรมและปัญญา  กลิ่นหอมเป็นสัญลักษณ์ของคุณงามความดี  ส่วนแสงสว่างเป็นสัญลักษณ์ของปัญญา สองอย่างนี้ต่างหากที่ทำให้ชีวิตงดงามและมีคุณค่าอย่างแท้จริง

ชีวิตของคนเราจะเติมเต็มและอิ่มเอมได้ ก็เพราะอุดมด้วยคุณธรรมและปัญญา แต่คนจำนวนมากไม่สามารถมองเห็นอย่างนั้นได้ จึงเลือกที่จะไปหาวัตถุมาเติมเต็มชีวิต แต่สุดท้ายสิ่งของเหล่านั้นบางครั้งก็ไม่ต่างจากขยะ นอกจากไม่น่าชื่นชมแล้วยังเป็นภาระ

........

Cr. พระไพศาล วิสาโล

วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

วันพุธที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

จงทำเสมอ 7 อย่าง


จาก Fwd.line......
นักปราชญ์โบราณของจีนผู้เชี่ยวชาญเรื่องสุขภาพในสมัยราชวงศ์หมิง แนะนำข้อปฏิบัติ

“จงทำเสมอ 7 อย่าง” เพื่อให้จิตใจสงบและสดใสดังต่อไปนี้

1. จงมีความสงบใจอยู่เสมอ อย่าเป็นคนสิ้นหวัง อย่าโลภ อย่าต้องการสิ่งที่ไม่ถูกต้อง อย่าหมกมุ่นอยู่กับเรื่องได้เรื่องเสีย ถ้าความต้องการของเรามีน้อย จิตใจก็จะมีความสุข จึงเกิดสันติสุขขึ้น คนที่อยู่ในชนบทที่ห่างไกล มีความต้องการน้อย ชีวิตของพวกเขาจึงมีสันติสุขและอายุยืนยาว

2. จงมีจิตเมตตากรุณาอยู่เสมอ คนมีจิตใจเมตตา จะมีความสุขในการช่วยเหลือผู้อื่น ไม่คิดและไม่ทำร้ายผู้อื่น เมื่อเขาจะทำอะไรเขา จะคิดอยู่เสมอว่า จะเป็นคุณหรือเป็นโทษต่อผู้อื่น คนประเภทนี้ย่อมมีความสุข มีสุขภาพดี และอายุยืนยาว

3. จงมีจิตใจที่เที่ยงตรงเที่ยงธรรมอยู่เสมอ ต้องแยกความดีออกจากความชั่ว ความถูกออกจากความผิดได้อย่างชัดเจน การที่คนเรามีจิตใจที่เที่ยงตรง และเที่ยงธรรมนั้น จะไม่ถูกกิเลสชักนำพา ก่อให้เกิดความเดือดร้อนและในจิตใจ เขาจะไม่มีปัญหายุ่งยากและความวิตกกังวลเป็นเสี้ยนหนามชีวิต

4. จงมีสติสัมปชัญญะอยู่เสมอ คือปลุกความรู้สึกตัวตื่นตัวอยู่เสมอไม่ใจลอย ขยะความคิดก็จะไม่เกิดขึ้น เรื่องไม่สบายใจคิดซ้ำคิดซ้อนก็จะไม่เกิดขึ้น เหมือนแสงตะวันส่องมายังโลก ความมืดก็จะถูกขับออกไป

5. จงทำใจให้รื่นเริงเสมอ อย่าเป็นคนอมทุกข์เก็บทุกข์ไว้
ในใจ ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ใดอยู่ในสถานการณ์ใด ก็จงมีจิตใจรื่นเริงแจ่มใส แต่ไม่ใช่หน้าเป็นทะเล้นรำคาญผู้อื่น อย่าพูดหรือทำให้ผู้อื่นเสียใจ7 ไบ จูยี่ นักปราชญ์จีนกล่าวว่า.....“จงรื่นเริงเสมอ ไม่ว่าเราจะรวยหรือจน
จงหัวเราะเสมอ(ไม่ใช่ทะเล้นหน้าเป็น) ถ้าเราไม่อยากเป็นคนโง่” ขอให้หัวเราะและยิ้มจากหัวใจ การหัวเราะและยิ้มที่ดีครั้งหนึ่ง ทำให้หนุ่มขึ้นมาก การวิตกกังวลครั้งหนึ่ง ทำให้หัวหงอกไปหลายเส้น การหัวเราะทำให้สุขภาพใจ และ สุขภาพกายดีขึ้น มีกำลังใจต่อสู้กับโลกอันสับสน

6. จงทำตัวให้กลมกลืนกับมนุษย์ทั้งหลายเสมอ อย่าให้ค
รอบข้างกลายเป็นศัตรู การทำตัวให้ผสมกลมกลืน มิได้หมายความว่า...ทำตัวให้ตกต่ำชั่วช้าไปตามคนรอบข้าง เช่น คนโดยรอบเขาชอบดื่มเหล้า ชอบเล่นการพนัน เราก็ปรับตัวเอากับเขาด้วย อย่างนี้เรียกว่าชั่วตามกัน ไม่ใช่การปรับตัวให้กลมกลืนที่ถูกต้อง เราต้องทำตัวให้ถูกต้องให้ดีท่ามกลางความชั่วทั้งหลาย สามารถยืนหยัดอยู่ได้ในความดี แม้จะอยู่ท่ามกลางความชั่ว

7. จงพอใจในสิ่งที่มีอยู่เสมอ ไม่ว่าเราจะมีน้อยหรือมีมาก
ได้เป็นน้อยหรือได้เป็นมาก ก็จงพอใจในสิ่งที่มีที่เป็น ซึ่งได้มาโดยชอบธรรม
"หยัน ฟีไต" ...นักปราชญ์โบราณของจีนกล่าวว่า...
“ถ้ามองไปข้างหน้า จะพบว่าเรายังไม่มีสิ่งนั้นสิ่งนี้ ถ้ามองไปข้างหลัง เราจะรู้สึกพอใจว่าเราได้สิ่งต่าง ๆ ในชีวิตมามากมายแล้ว จงใช้ชีวิตอย่างง่ายๆ ข้าวต้มสักชาม เสื้อผ้าเล็กน้อยพอปิดกายไม่น่าเกลียด เท่านั้นก็พอแล้ว”

.............* การรู้จักพอ ย่อมก่อให้เกิดความสุข*...........
*******
ขอบคุณข้อมูลจาก Fwd.line