วันศุกร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2560
รอคอย..
มีชายหนุ่มคนหนึ่ง ผู้ที่มีนิสัยใจเร็วด่วนได้ ไม่ว่าจะกระทำสิ่งใด ล้วนไม่สามารถสงบจิตสงบใจ เพราะต้องการเร่งรัดให้ทุกสิ่งเป็นไปดั่งใจตน
ครั้งหนึ่ง เขานัดพบคนรักที่ใต้ต้นไม้ แต่ทว่ามาก่อนเวลานัดมากเกินไป ด้วยนิสัยใจร้อนไม่ชอบรอ ทำให้เดินวนไปวนมา กระสับกระส่ายอยู่ใต้ต้นไม้แห่งนั้น ยามนั้นเอง ปรากฏอาจารย์เซน ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นเซียนวิเศษผู้หนึ่ง เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มผู้นั้น พร้อมทั้งยื่นวัตถุทรงกลมชิ้นหนึ่งให้ พลางกล่าวว่า
"นี่เป็นของวิเศษ หากเจ้าไม่ชอบการรอคอย ก็จงหมุนปุ่มนี้ไปทางขวาหนึ่งรอบ เจ้าก็สามารถที่จะย่นระยะเวลาจากความเป็นจริงให้เร็วขึ้นไปตามที่เจ้าต้องการ"เมื่อชายหนุ่มได้ฟังดังนั้น ยังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เมื่อเขาลองหมุนปุ่มไปตามคำบอก พลันคนรักของเขาก็ปรากฏกายขึ้น ทั้งยังส่งสายตาหวานซึ้งให้กับเขา
ในใจชายหนุ่มบังเกิดความอยากครอบครอง จึงคิดว่าหากเร่งเวลาไปจนทั้งสองแต่งงานกันได้คงดียิ่ง จากนั้นหมุนปุ่มไปอีกรอบหนึ่ง ก็พลันพบว่าตนเองกลายเป็นเจ้าบ่าวอยู่ในงานแต่งงานอันเลิศหรูอลังการ ส่วนคนรักของเขาอยู่ในชุดเจ้าสาวงดงาม รายรอบไปด้วยแขกเหรื่อมากมาย
ไปถึงตอนที่เขามีบุตรชาย กระทั่งมีหลานชาย ทั้งยังมิใช่เพียงคนเดียว แต่มีบุตรหลานเต็มบ้าน กระทั่งบุตรหลาน สร้างเนื้อสร้างตัวกลายเป็นขุนนางใหญ่ไปปกครองทั่วทุกสารทิศ ผู้คนต่างพากันเคารพนับถือ ถึงตอนนี้ ในใจชายหนุ่มเต็มไปด้วยความปีติยินดี ไปถึงตอนที่เขามีบุตรชาย กระทั่งมีหลานชาย ทั้งยังมิใช่เพียงคนเดียว แต่มีบุตรหลานเต็มบ้าน กระทั่งบุตรหลานสร้างเนื้อสร้างตัวกลายเป็นขุนนางใหญ่ไปปกครองทั่วทุกสารทิศ ผู้คนต่างพากันเคารพนับถือ ถึงตอนนี้ ในใจชายหนุ่มเต็มไปด้วยความปีติยินดี
จากนั้นเมื่อหมุนปุ่มอีกรอบ ชายหนุ่มกลับกลายเป็นเฒ่าชรา โรคร้ายรุมเร้านอนรอความตายอยู่บนเตียง บรรดาบุตรหลานอกตัญญูบางส่วน พากันมาขนทรัพย์สินภายในบ้านออกไปจนเกลี้ยง ทั้งยังใจดำอำมหิตนำเฒ่าชราไปทิ้งยังชายป่า ชายที่ตอนนี้ทั้งชราทั้งป่วยไข้อดอยากหิวโหย ค่อยๆ อ่อนแรงลง ลมหายใจขาดช่วง ก้าวเข้าสู่ความตายทีละน้อย
ถึงตอนนี้ ชายหนุ่มแตกตื่นตกใจจนขนหัวลุก หยาดเหงื่อไหลโทรมกาย"เป็นอย่างไรบ้าง?" เสียงอาจารย์เซนดังขึ้น "พ่อหนุ่ม ท่านยังอยากให้เวลาหมุนไปอย่างรวดเร็วอยู่หรือไม่?"
"ข้าจวนจะจบชีวิตแล้ว ยังจะต้องการให้เวลาหมุนไปเร็วอันใดอีกเล่า" ชายหนุ่มตอบอย่างทอดอาลัย อาจารย์เซนจึงรับของวิเศษจากมือของชายหนุ่มกลับคืนมา พลันทุกสิ่งล้วนกลับคืนสู่สภาพเดิม พาชายหนุ่มย้อนกลับไปตอนที่เขายังคงยืนรอคนรักอยู่ที่ใต้ต้นไม้
ในยามนั้น ชายหนุ่มจึงค่อยสัมผัสถึงความอบอุ่นของแสงแดดที่สาดส่องลงมา สดับเสียงร้องอันไพเราะของนกน้อย มองเห็นผีเสื้อโผบินเหนือมวลดอกไม้ เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มรู้สึกว่า การรอคอยอะไรบางอย่างนั้น ถือเป็นความสุขที่หอมหวานประการหนึ่ง
*****
CR.Facebook BHURITATTA SAMANERI
วันพฤหัสบดีที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2560
เพื่อรอยยิ้ม เมื่อสิ้นลม
หลายคนอาจสงสัยว่า
ทำไมต้องบริหารจิต
คำตอบก็คือ
จะได้เอาใช้ในเวลาที่สำคัญที่สุดคือ
ตอนสภาวะจิต ณ ขณะตาย ซึ่งจิตก็จะไปตามสภาวะนั้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยู่ในวัยชราภาพด้วยแล้ว ย่อมมีโรคภัยที่จะมาสร้างความเวทนา ความเจ็บปวดตอนจิตจะละสังขาร ดังนั้น ถ้าจิตไม่ได้รับการฝึกหัดมา บ่มบุญ บ่มสติมา ก็ยากที่จะตั้งจิตไว้ได้
โดยปกติแล้วห้องไอซียู มักมีแต่ความตึงเครียด หดหู่น่ากลัว จึงเป็นธรรมดาที่ห้องไอซียูเป็นความทรงจำที่ผู้ผ่านประสบการณ์มักต้องการลบและลืม แต่สำหรับคุณยายพิสมัย และลูกหลานอีกสองคน กลับเป็นความประทับใจ ที่ต้องจดจำไปอีกยาวนาน คงเป็นเพราะคุณยายทำบุญมาดี เลยมีพระดีมาโปรดทำให้คุณยายพิสมัยมาป่วยพร้อมๆ กับพระอาจารย์คำเขียน สุวณฺโณ ผู้เป็นเสาหลักของการเผยแผ่ธรรมจากภูโค้ง จ.ชัยภูมิ ซึ่งท่านมีลูกศิษย์มาก ด้วยเหตุนี้ภายในห้องไอซียู จึงมีพระสงฆ์อยู่เฝ้าไข้เป็นประจำ ซึ่งค่ำคืนนี้เป็นเวรของพระอธิการครรชิต อกิญฺจโน เจ้าอาวาสวัดป่าสันติธรรม ต.ท่าหินโงม อ.เมือง จ.ชัยภูมิ
แต่ด้วยเหตุห้องไอซียู
ไม่เอื้อต่อบรรยากาศในการสนทนาความ แต่อาการชักของคุณยายพิสมัย จึงอยู่ในสายตาของพระอธิการครรชิตโดยตลอด ท่านก็ได้แต่เฝ้าดูอยู่ห่างๆ คอยแผ่เมตตาส่งแรงใจช่วย ตลอดคืนนั้นอาการของคุณยายพิสมัยไม่ดีขึ้น อาการชักมีต่อเนื่องไม่ผ่อนคลาย มาตรวัดที่มอนิเตอร์ข้างเตียงบ่งบอกถึงอาการที่ไม่น่าไว้วางใจ จนแพทย์เวรต้องมาเปรยกับลูกหลาน ว่า คุณยายควรทำสังฆทานได้แล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้น ลูกหลานของคุณยายพิสมัยได้เข้ามาอาราธนาท่านให้ไปรับสังฆทานจากคุณยาย แม้ว่าจะเห็นหน้ากันคุ้นเคย แต่การสนทนาที่แท้จริงเพิ่งจะเกิดขึ้นครั้งแรก
พระอธิการได้สอบถามถึงความป่วยไข้ จึงรู้ว่า เป็นด้วยความชราภาพอ่อนกำลัง ไม่ใช่ความผิดปกติจากโรคภัยใดๆ อาการชักนั้นไม่รู้สาเหตุที่แท้จริง แพทย์บอกได้เพียงว่า มาจากสภาพเสียสมดุลของเคมีภายในร่างกาย
ลูกหลานขอให้พระอธิการครรชิต รับสังฆทาน แล้วช่วยสวดมนต์ให้คุณยายด้วย
พระอธิการตอบรับ แต่ในใจนั้นท่านมีวิธีการอื่นที่น่าลองมากกว่า
พระอธิการได้ถามถึงกิจวัตรของคุณยาย รู้ว่า
คุณยายใส่บาตรทุกเช้าไม่เคยขาด
คุณยายเคยผ่านการอบรมกรรมฐานมาบ้าง และชอบไปไหว้หลวงพ่อทองคำ ที่ วัดไตรมิตรฯ เป็นประจำ
ที่ข้างเตียงของคุณยายพิสมัย ในห้องไอซียู
คุณยายยังคงอยู่ในสภาพที่ร่างกายกระตุกตลอดเวลา
พระอธิการครรชิตได้พิจารณาอาการ และคิดหาหนทางแก้ไข และเห็นว่า การน้อมนำจิตของคุณยายออกจากเวทนา ไปสู่ที่หมายใหม่ให้จิตได้ตั้งมั่น และที่ง่ายที่สุดน่าจะพึ่งอานิสงส์จากการใส่บาตรเป็นประจำทุกเช้านี่แหละ ท่านนั่งลงที่ข้างเตียงแล้วเริ่มบทสนทนา แน่นอนว่า เป็นการพูดข้างเดียว เพราะคุณยายมีสายยางสอดผ่านลำคอ แต่ยังดีที่คุณยายมีสติพยักหน้ารับรู้
“คุณโยม อาตมาเป็นพระนะ วันนี้ มาเยี่ยมไข้คุณโยม คุณโยมรับรู้หรือไม่ ถ้ารับรู้ช่วยพยักหน้ารับทีได้ไหม”
พระอธิการเริ่มการสนทนา
คุณยายผงกศีรษะรับรู้
พระอธิการจึงเข้าเรื่องทันที
“คุณโยม วันนี้ วันพระนะ เช้าแล้วไปใส่บาตรกันดีไหม”
คุณยายผงกศีรษะรับอีก
“เข้าครัวกันดีกว่า........ หาขันข้าวเจอหรือยัง......... กับข้าวอยู่ไหน...... เรียงใส่ถาดให้ครบนะ ค่อยๆ ใจเย็นๆ ”
พระอธิการเริ่มนำจินตนาการ เป็นจังหวะช้าๆ หน่วงเวลาให้คุณยายได้สร้างมโนภาพตาม ด้วยความคุ้นเคยในกิจวัตรที่กระทำในทุกเช้า จึงไม่ยากเลยที่คุณยายจะคล้อยตาม
“ไปหน้าบ้านกันดีกว่าโยม ใกล้เวลาพระมาแล้ว เอาเก้าอี้ไปด้วยนะ จะได้นั่งให้สบาย”
คุณยายผงกศีรษะรับ
“ไหนคุณโยมพระมาหรือยัง หันไปทางซ้ายดูซิ มีพระมาไหม”
คุณยายสั่นศีรษะ
พระอธิการรู้ทันทีว่า ที่บ้านของคุณยายทุกเช้าพระบิณฑบาตมาจากทางขวามือ
“ทางขวาล่ะ พระมาหรือยัง”
คราวนี้คุณยายผงกศีรษะรับ
“คุณโยมพระมาแล้ว ท่านมายืนข้างหน้าเปิดฝาบาตรรอแล้ว คุณโยมยกขันข้าวขึ้นอธิษฐานก่อน”
คราวนี้คุณยายเลื่อนมือที่เคยวางทอดอยู่ข้างเตียงขึ้นมาประสานกันที่บริเวณหน้าท้อง ในลักษณะประคองขันข้าว พระอธิการได้กล่าวคำอธิษฐานนำ ซึ่งมีแต่สิ่งดีงามเพื่อน้อมนำจิตใจ
“อ้าวคุณโยมตักข้าวใส่บาตรนะ ....ใส่กับข้าวด้วย ........เอาดอกไม้ธูปเทียนวางบนฝาบาตร......เสร็จแล้วองค์ที่หนึ่ง ......พระไปยืนรอทางซ้ายแล้ว”
“องค์ที่สอง ตักข้าวใส่บาตรนะ........ ใส่กับข้าวด้วย .........อย่าลืมดอกไม้ธูปเทียนวางบนฝาบาตร........เสร็จแล้วองค์ที่สอง .........พระไปยืนรอทางซ้าย”
พระอธิการนำจินตนาการใส่บาตรทีละองค์ ทีละองค์ จนครบหกองค์
เป็นการพูดนำทีละขั้นตอน เป็นจังหวะที่เนิบช้าอยู่หกรอบ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการย้ำภาพเดิมที่คุณยายคุ้นเคย เพื่อปลุกเร้าจินตนาการให้เกิดนิมิตอันแรงกล้าขึ้น เพียงการนำจินตนาการใส่บาตรพระผ่านไปยังไม่ทันครบ ผลที่เกิดขึ้นอย่างเด่นชัดก็คือ อาการกระตุกของร่างกายเริ่มลดลง คุณยายเริ่มมีความผ่อนคลายมากขึ้น แล้วเมื่อการนำจินตนาการใส่บาตรครบสมบูรณ์ทั้งหกองค์
“คราวนี้กรวดน้ำรับพรนะ เตรียมตัวพระจะสวดแล้ว .......... ยะถา วาริวะหา ปูรา ปาริปูเรนติ........”
พระอธิการสวดอนุโมทนายะถาสัพพีทั้งบทอย่างสมจริงให้คุณยายได้ตั้งจิตรับพร
ไม่น่าเชื่อว่า ความปกติได้หวนคืนกลับมา คุณยายพิสมัยไม่มีอาการกระตุกหลงเหลืออีกแล้ว
“คุณโยม ใส่บาตรรับพรจากพระเรียบร้อยแล้ว อิ่มอกอิ่มใจกันแล้ว วันนี้เราไปไหว้พระ ที่วัดไตร มิตรฯ กันต่อดีไหม”
คุณยายผงกศีรษะรับ พระอธิการจึงพาไปเที่ยวไหว้พระต่อ ที่วัดไตรมิตรฯ ทันที
ที่วัดไตรมิตรฯ ตามจินตนาการ พระอธิการครรชิต ได้พาคุณยายพิสมัย กราบหลวงพ่อทองคำ ท่านถามคุณยายว่า พระพุทธรูปงามไหม คุณยาย ผงกศีรษะรับว่างดงาม
พระอธิการยังได้ชวนคุณยายนั่งลงภาวนาพุทโธ ที่หน้าองค์พระ โดยที่ท่านนำการภาวนาด้วยตัวเอง โดยออกเสียง พุท – โธ
พุท – โธ
เป็นจังหวะช้าๆ
เมื่อการภาวนาผ่านไปไม่นานนัก สิ่งที่พระอธิการสังเกตเห็นก็คือ เส้นกราฟแสดงผลการเต้นของหัวใจที่ปรากฏบนจอมอนิเตอร์ข้างเตียงนั้น จากที่เคยยุ่งเหยิงสับสน ก็เริ่มจัดระเบียบตัวเอง และเมื่อผ่านไประยะหนึ่ง เส้นกราฟก็เริ่มขยับเป็นจังหวะ สอดคล้องตรงกับจังหวะเสียง พุท – โธ ที่ท่านพูดนำ ท่านรู้ทันทีว่าจิตของคุณยายได้ดิ่งสู่สมาธิภาวนาที่สมบูรณ์แบบแล้วในขณะนั้น
ในท่ามกลางความเป็นไปในห้องไอซียู ความเคลื่อนไหวรอบกายยังคงยุ่งเหยิงไปตามปกติของภารกิจในหมู่พยาบาลและแพทย์
แต่ที่เตียงของคุณยายพิสมัยนั้นเป็นข้อยกเว้น ทุกอย่างสงบและควบคุมอยู่ในอาการภาวนา พุท – โธ ที่ราบเรียบ
โชคดีที่ไม่มีใครในห้องหันมาให้ความสนใจ หรือเข้ารบกวนขัดจังหวะ มีแต่ลูกหลานทั้งสองที่สังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด เกิดปีติจนน้ำตาพรั่งพรู
เพราะนี่คือความสงบระงับของคุณยายอันน่าอัศจรรย์
เพราะร่างกายของคุณยายได้กระตุกต่อเนื่องนานหลายเวลาแล้ว
เวลาล่วงเลยไปนานหลายนาน การภาวนา พุท – โธ ยังคงดำเนินต่อเนื่อง
มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นที่จอมอนิเตอร์ ระดับชีพจรของคุณยายเริ่มช้าลง แรงดันโลหิตลดระดับลง และลดลงอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดความเคลื่อนไหวทั้งหมดได้หยุดนิ่งลง
เส้นกราฟราบเรียบเป็นเส้นตรง ตัวเลขทุกตัวแสดงค่าเป็นศูนย์ บ่งชี้ว่าคุณยายพิสมัยได้สิ้นลมแล้วอย่างสงบ เป็นการละสังขารในขณะที่ยังตั้งมั่นอยู่ในจิตภาวนาที่สมบูรณ์แบบ อันเป็นภาวะที่หาได้ยากยิ่ง โดยเฉพาะสำหรับปุถุชนที่ไม่ได้ผ่านการฝึกฝนจิตอย่างช่ำชอง
ความเป็นไปทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในห้องไอซียู ห้องที่มักพบแต่ความอาภัพอับเฉาของชีวิตผู้คน
แต่สำหรับวันนี้ของคุณยายพิสมัย ด้วยการนำจินตนาการของพระอธิการครรชิต ที่ไม่เคยเสวนาธรรมกันมาก่อนเลยในชีวิต
แต่วันนี้พระอธิการ ได้พาคุณยายก้าวเดินสู่การละวางสังขารที่สมบูรณ์แบบ ภายใต้อารมณ์ของการภาวนาอย่างแท้จริง
พระอธิการครรชิต ได้อรรถาธิบายว่า อาการกระตุกของคุณยายเกิดจากเวทนา ด้วยความเสื่อมไปของสังขาร เมื่อเวทนาแรงกล้า จิตย่อมขาดที่พึ่งพิง การน้อมนำสู่จินตนาการใส่บาตรที่คุ้นเคย เป็นการสร้างปุญฺญานุสสติ ใช้ความดี ใช้บุญกุศลเป็นที่ตั้ง เมื่อจิตมีที่หมายที่แรงกล้าได้พักพิง จิตย่อมสงบ เมื่อจิตสงบ กายย่อมระงับเป็นธรรมดา เมื่อกายระงับและจิตสงบ ย่อมง่ายที่จะน้อมนำไปสู่สมาธิภาวนาได้ในท้ายที่สุด
!! คุณยายทำบุญมาดี เลยมีพระดีมาโปรด !!
แล้วเราจะโชคดีแบบคุณยาย มั้ย ?????
** พระอธิการครรชิต อกิญฺจโน
เจ้าอาวาสวัดป่าสันติธรรม ต.ท่าหินโงม อ.เมือง จ.ชัยภูมิ
* จากหนังสือ
“เพื่อรอยยิ้ม เมื่อสิ้นลม”
******************
Cr.Fwd Line
วันนี้ของอ้อม
......แล้ววันหนึ่งก็มีข่าวส่งมาทาง Facebook.......
ลุงขอแสดงความยินดีด้วยนะ อ้อม...
"ว่าที่ร้อยตรีหญิง กานดา สาไพรวัณ"
แห่งบ้านหนองกุงปาว อ.ศรีธาตุ จ.อุดรธานี
*************
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ
วันจันทร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2560
..ครูเขียนว่าอะไรครับ แม่..
ภาพจากอินเตอร์เนต
วันหนึ่งโทมัส เอดิสันในวัยเด็กกลับมาบ้านพร้อมกับยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้แม่ของเขา
เขาพูดว่า "แม่ครับ ครูให้นำกระดาษแผ่นนี้มาให้แม่และบอกว่า แม่คนเดียวเท่านั้นที่มีสิทธิ์อ่าน ครูเขียนว่าอะไรครับแม่"
ตาของแม่เต็มไปด้วยน้ำตา เธออ่านกระดาษแผ่นนั้นด้วยเสียงอันดังต่อหน้าลูกชายว่า "ลูกชายของคุณเป็นเด็กอัจฉริยะ โรงเรียนของเราเล็กเกินไปสำหรับเขา และไม่มีครูที่ดีเพียงพอที่จะสอนเขาได้ กรุณาสอนลูกของคุณด้วยตัวคุณเอง"
ตั้งแต่วันนั้น เธอจึงสอนโทมัสอยู่ที่บ้านด้วยตัวเอง จนกระทั่งเธอป่วยและเสียชีวิตไป
หลายปีต่อมาหลังจากแม่โทมัส เอดิสันเสียชีวิต เขาได้กลายมาเป็นหนึ่งนักประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งศตวรรษนั้น
วันหนึ่งโทมัสได้ค้นหาสิ่งของและไปพบเจอกระดาษแผ่นที่ครูเคยเขียนและแม่ได้อ่านให้เขาฟังเมื่อตอนที่เขาเป็นเด็ก เขาจึงเปิดอ่าน ที่แท้จริงแล้ว ในกระดาษแผ่นนั้น ครูเขียนว่า "ลูกชายของคุณมีความบกพร่องทางปัญญา เราไม่สามารถให้เขาร่วมชั้นเรียนอีกต่อไป" นั่นแปลว่า โทมัส เอดิสันโดนไล่ออกจากโรงเรียน
โทมัส เอดิสันได้รู้ความจริง จึงได้เขียนบันทึกลงในไดอารี่ของเขาว่า"โทมัส เอดิสันคือเด็กที่มีความบกพร่องทางปัญญา แต่แม่ของเขาคือผู้พลิกฟื้นให้เขากลับกลายมาเป็นบุคคลอัจฉริยะแห่งศตวรรษ"
*คำพูดบวกเพียงประโยคเดียว สามารถสร้างแรงบันดาลใจ เปลี่ยนชีวิตคนได้ทั้งชีวิต
ไม่ว่าวันนี้คุณจะดีพอในสายตาตนเอง หรือในสายตาคนอื่นแล้วหรือยัง จงพูดกับตัวเองต่อไป ว่าเราจะสำเร็จแน่นอน...ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
@@@@@@@@@
Cr.Fwd Line
วันอาทิตย์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2560
ความฝัน
มีผู้หญิงคนหนึ่ง ถ้าพูดถึงความตายเขามีความกลัวและเป็นทุกข์มาก เขามองว่าความตายเป็นสิ่งที่ไม่ดี ไม่ควรนำมาพูด ไม่ควรนำมาคิด เป็นอัปมงคลที่สุด
วันหนึ่ง เขานอนหลับแล้วฝันไปว่า มียมบาลมารับให้ไปเมืองนรก เพราะหมดอายุในเมืองมนุษย์แล้ว เมื่อไปถึงเมืองนรก ยมบาลเกิดความสงสัยจึงตรวจดูบัญชีอีกครั้ง ปรากฎว่ายังไม่ถึงกำหนด จึงนำมาส่งยังเมืองมนุษย์อีก เขาตกใจตื่นขึ้นมา จึงรีบไปหาหลวงพ่อที่วัดและเล่าเหตุการณ์ให้ฟังโดยตลอด
หลวงพ่อจึงพูดว่า
"ความฝัน ก็คือ ความคิดนั่นเอง แต่เป็นความคิดในขณะที่นอนหลับ จึงเรียกว่า ความฝัน ถ้าเราผูกพันอยู่กับเรื่องใด ก็มักจะฝันในเรื่องนั้น ผู้ที่จิตใจสงบ มีสติสัมปชัญญะ นอนหลับจะไม่ฝัน"
******************
จากหนังสือ นิทานพุทธะ พระคัมภีรญาณ อภิปุญโญ
วันศุกร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2560
ไม่จำเป็นต้องชนะ
(ภาพจากอินเตอร์เนต)
มีแม่ทัพคนหนึ่งเล่นหมากล้อมเก่งมาก
ไม่ค่อยมีคนเล่นชนะได้
วันหนึ่ง. แม่ทัพออกรบผ่านหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
เห็นบ้านเล็ก ๆ หลังหนึ่ง มีป้ายติดว่า..
“เล่นหมากล้อมอันดับ 1 ของประเทศ”
แม่ทัพไม่เชื่อจึงเข้าไปหาเจ้าของบ้านและเล่นด้วย
ปรากฎว่า.. เจ้าของบ้านแพ้ ทั้ง 3 กระดาน
แม่ทัพหัวเราะ “555 แกเอาป้ายลงได้แล้ว”
แล้วแม่ทัพก็ไปออกรบด้วยความดีใจ
ไม่นาน.. แม่ทัพรบชนะกลับมา
ผ่านมาที่เดิม ก็ยังเห็นป้าย
แขวนอยู่ที่บ้านหลังเดิม
แม่ทัพจึงเข้าไปหาเจ้าของบ้าน
และท้าดวลอีก ปรากฎว่าครั้งนี้
แม่ทัพแพ้ทั้ง 3 กระดาน
แม่ทัพประหลาดใจมาก
ถามเจ้าของบ้านว่าเพราะอะไร
เจ้าของบ้านตอบว่า
“ครั้งก่อน ท่านมีภารกิจออกรบ
ข้าน้อยจะไม่ทำท่านเสียกำลังใจ
ท่านหมดขวัญกำลังใจไม่ได้
แต่ครั้งนี้ ท่านชนะกลับมา
ข้าน้อยก็ไม่ต้องออมมือแล้ว”
คนที่เก่งจริงในโลกนี้ คือ..
ชนะได้ แต่ไม่จำเป็นต้องชนะ
มีใจกว้างขวาง ก็พอ
การใช้ชีวิต ก็เหมือนกัน
"รู้ ไม่จำเป็นต้องพูด
ไม่พูดใช่ว่า จะไม่รู้"
ต่อหน้าคนใจแคบ คุณต้องใจกว้าง
ถ้าทำใจกว้างไม่ได้ ก็ต้องแกล้งโง่
บทความนี้ อยากให้อ่าน
*****************
Cr.Fwd line
อยู่ที่ใจ...
มีพระหนุ่มรูปหนึ่ง อารมณ์ไม่ค่อยเบิกบานสักเท่าไร แต่ละวันมีเรื่องขุ่นเคืองใจ ไม่พอใจอยู่เสมอ เวลานั่งสมาธิ ถ้ายินเสียงคนพูดคุยกันก็ไม่พอใจ บางครั้งตบะแตกก็ไปต่อว่าคนที่พูดคุยกัน เวลากวาดใบไม้ก็บ่นว่าใบไม้ร่วงเยอะ กวาดไปก็หงุดหงิดไป เวลาทำงานก็มักรู้สึกว่าถูกเพื่อนกินแรงอยู่เสมอ บางทีเขียนหนังสือแล้วปากกาฝืด ก็โมโหขว้างปากกาทิ้ง ทั้งหมดนี้อยู่ในสายตาของหลวงพ่อมาตลอด
วันหนึ่งหลวงพ่อบอกให้พระหนุ่มไปเอาเกลือจากในครัวมาหนึ่งห่อ เอาน้ำมาหนึ่งแก้ว แล้วก็ให้เทเกลือครึ่งหนึ่งลงไปในแก้ว จากนั้นก็ให้พระหนุ่มชิมน้ำนั้นดู แล้วถามว่าเป็นอย่างไร พระหนุ่มก็ตอบว่า เค็มมากครับหลวงพ่อ ทีนี้หลวงพ่อก็พาไปที่ลำธาร เอาเกลือที่เหลือโรยลงไปในลำธาร แล้วให้พระหนุ่มชิมน้ำในลำธาร
หลวงพ่อถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง พระหนุ่มตอบว่าจืดครับหลวงพ่อ ในใจก็สงสัยว่าหลวงพ่อตั้งใจจะสอนอะไรหรือ หลวงพ่อให้พระหนุ่มคิดสักพัก พระหนุ่มก็คิดไม่ออก หลวงพ่อจึงบอกพระหนุ่มว่า ความทุกข์ก็เหมือนกับเกลือ มันจะเค็มหรือไม่ขึ้นอยู่กับใจเราว่าเป็นแค่น้ำแก้วหนึ่ง หรือเป็นลำธารหนึ่งสาย
ความทุกข์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรามันเป็นอย่างนั้น มันจะหนักหรือเบา ก็ขึ้นอยู่กับใจของเรา ว่าใจเราเปรียบเหมือนกับน้ำแก้วเล็ก ๆ หรือลำน้ำอันกว้างใหญ่ เวลาเราเจออะไรที่ไม่พอใจ ถ้าหากว่าเรามีความขุ่นเคือง มีความทุกข์มาก แสดงว่าใจของเรานั้นเล็กและแคบเหมือนกับแก้วน้ำ
สิ่งที่มากระทบเรา สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา จะทำให้เราเจ็บปวดหรือขุ่นเคืองหรือไม่ อยู่ที่ใจเรา ถึงแม้ใบไม้จะเยอะ เพื่อนร่วมงานจะไม่น่ารัก ดินฟ้าอากาศจะไม่เป็นใจ แต่มันทำให้เราทุกข์ไม่ได้ ถ้าหากว่าใจเราใหญ่เหมือนแม่น้ำ จะสุขหรือทุกข์นั้นขึ้นอยู่กับคุณภาพจิตของเรา คนที่ใจแคบ ใจเล็ก คิดถึงแต่ตัวเอง เจออะไรมากระทบก็ทุกข์ โกรธ ไม่พอใจไปหมด แต่คนที่ใจกว้างใหญ่ แม้จะมีเรื่องใหญ่ ๆ เกิดขึ้น เขาก็สามารถรักษาใจให้เป็นปกติได้
ข้อธรรม คำสอน พระไพศาล วิสาโล
@@@@@
Cr.Fwd line :Supol Lohachitkul
***************************************
ปล่อยวาง (คลิก)
บางเรื่องก็ต้องตัดใจ (คลิก)
*********
วันพฤหัสบดีที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2560
บางเรื่องก็ต้องตัดใจ
(ภาพจากอินเตอร์เนต)
บางเรื่องก็ต้องตัดใจ
คิดไปก็เสียเวลา
--------------
อย่าตัดบท ประชดโลก ทำโศกเศร้า
รื้อเรื่องเก่า เอามาฟุ้ง จนยุ่งสมอง
ผ่านมาแล้ว ก็แล้วไป ไม่ควรมอง
ปัญญาตรอง ลองลืมดู จะอยู่เย็น
คิดไปก็เสียเวลา
--------------
อย่าตัดบท ประชดโลก ทำโศกเศร้า
รื้อเรื่องเก่า เอามาฟุ้ง จนยุ่งสมอง
ผ่านมาแล้ว ก็แล้วไป ไม่ควรมอง
ปัญญาตรอง ลองลืมดู จะอยู่เย็น
ก็เพราะเรา ที่เฝ้ายื้อ ยึดถือไว้
จึงช้ำใจ ไม่มีหยุด สุดช่วยเข็น
บางเรื่องราว ต้องตัดใจ ใช่จำเป็น
อย่าได้เห็น ว่านั่นนี่ ดีกว่าตัวฯ
จึงช้ำใจ ไม่มีหยุด สุดช่วยเข็น
บางเรื่องราว ต้องตัดใจ ใช่จำเป็น
อย่าได้เห็น ว่านั่นนี่ ดีกว่าตัวฯ
วัดพระมหาชนก บ้านพลังเพียร
9.6.2017
9.6.2017
วันพุธที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2560
พึ่งอะไร..
ถ้าจะต้องพึ่ง พึ่งอะไร
พึ่งตนเองให้มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เป็นสรณะ
ทำให้เกิด ให้มีขึ้นที่ใจ ของตนเอง แล้วการเดิน
ทางในสังสารวัฏ จะปลอดภัย แม้ต้องยาวนาน
แต่ก็มีที่สิ้นสุด ถ้ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ถ้าเจ้าชายสิทธถะไม่ตั้งเป้าหมาย
ที่จะออกบวชและอดทนค้นหาธรรม
เราก็คงไม่มีพระพุทธองค์ในวันนี้
และธรรมะที่มาช่วยดับทุกข์ของสรรพสัตว์
ทั้งหลาย...ดังนั้น ทางก็มีแล้ว ถ้าไม่ลงมือทำ
ไม่มีวันถึงสุดทาง ถ้าเดิน ยังไงต้องมีวันถึง
ถึงจะช้าจะเร็ว ดังเต่าที่วิ่งถึงเส้นชัย
สาธุๆๆค่ะ
ภูริทัตตา.
Cr: facebook Bhuritatta Samaneri
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)