วันอังคารที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2560

การสอนศาสนา





การสอนทางศาสนามี ๔ แบบ
.............
แบบที่ ๑ สอนให้โง่อยู่เท่าเดิม โง่อยู่เหมือนเดิม
ให้งมงาย ให้ยึดมั่นอะไรอยู่ก็สอนให้งมงาย
ยึดมั่นแบบนั้นไว้ ไม่กล้าบอกให้เลิก

แบบที่ ๒ สอนให้โง่มากกว่าเดิม
พยายามปลูกฝังในสิ่งที่ไร้สาระมากขึ้น
อุปาทานในสำนักตน รูปแบบตนมากขึ้น
จนกลายเป็นทิฏฐิมานะมากขึ้น

แบบที่ ๓ สอนให้ฉลาดขึ้น
พยายามให้รู้หลักว่าอะไรควรทำ
อะไรไม่ควรยึด อะไรเป็นอะไร

แบบที่ ๔ สอนให้ฉลาดมากขึ้นกว่าเดิม
พยายามสอนให้อิสระ พ้นจากความยึดติด
มีตนเป็นที่พึ่ง มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง

การสอนทั้ง ๔ แบบนี้
ขึ้นอยู่ที่สติปัญญาของผู้สอน
และวิบากของผู้ถูกสอนฯ

วัดพระมหาชนก บ้านพลังเพียร
8.21.2017

@@@@@@@@@
Cr.https://www.facebook.com/วัดพระมหาชนก-บ้านพลังเพียร

วันอาทิตย์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ไม่ใช่ปรัชญา


ภาพจาก http://www.thaiplumvillage.org

ไม่ใช่ปรัชญา

ครูมากมายหลายท่านตลอดจนนักปรัชญา เช่น เฮราคลิตุส (Heraclitus) และขงจื๊อ ต่างกล่าวถึงความเป็นอนิจจัง (ความไม่เที่ยง)

แต่อนิจจังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้นั้นไม่ใช่หลักปรัชญา แต่เป็นเครื่องมือเพื่อให้เธอได้ฝึกปฏิบัติการมองอย่างลึกซึ้ง ใช้อนิจจังนี้เป็นกุญแจไขประตูเพื่อเข้าสู่ความจริงแท้ ซึ่งก็คือธรรมชาติแห่งการเชื่อมโยงของสรรพสิ่ง ธรรมชาติแห่งการไร้ตัวตน และธรรมชาติแห่งความว่าง

จึงเป็นเหตุผลว่าเหตุใดเราจึงไม่ควรเห็นว่าอนิจจังเป็นความคิด ทฤษฎี หรือหลักปรัชญา แต่อนิจจังเป็นดั่งเครื่องมือที่พระพุทธองค์ทรงมอบไว้ให้ เป็นสิ่งที่พวกเราสามารถจะฝึกปฏิบัติการมองอย่างลึกซึ้ง เพื่อค้นพบธรรมชาติแท้แห่งความเป็นจริง

พระอาจารย์นัท ฮันห์
your true home

วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ความเงียบที่น่ายกย่อง


ขอขอบคุณ  ภาพจากอินเตอร์เนต

ความเงียบที่น่ายกย่อง

"เบื้องหลังของความเงียบ
มันประกอบไปด้วยความอบอุ่นและความน่ายกย่อง
จากประสบการณ์ที่ได้สัมผัสด้วยตัวเราเองในประเทศเยอรมันนี"

ในตอนเย็นวันหนึ่งของฤดูหนาว
เรากำลังเข้าแถวรอรถประจำทาง
มีคนรออยู่ในแถวห้าหกคน
ทุกคนล้วนยืนรอด้วยความสงบและเป็นระเบียบ

ในเวลาเดียวกัน มีคนจูงสุนัขเดินมาแต่ไกล
พอทั้งคู่เดินใกล้เข้ามา
ภาพที่ได้เห็นคือ 
ชายหนุ่มสูงใหญ่ หลังตรงงามสง่า
มีสุนัขที่เดินนำหน้า เป็นสุนัขที่ถูกฝึกมาเป็นพิเศษ
มันถูกฝึกมาสำหรับคนพิการทางสายตาโดยเฉพาะ
สังเกตเห็นได้จากสายรัดคอของสุนัข
เป็นสายรัดที่มีสัญลักษณ์โดยเฉพาะ

เขาเป็นชายหนุ่มที่พิการทางสายตา
ชายหนุ่มค่อยๆเดินตรงมายังป้ายรถประจำทาง
แล้วก็หยุดยืนอยู่ห่างจากแถวพวกเราเล็กน้อย

ไม่มีใครทักทายให้เสียงกับชายหนุ่มคนนั้น
เรากำลังคิดจะเดินไปนำพาเขามาเข้าแถว
แต่คุณผู้ชายวัยกลางคนที่อยู่หัวแถว
รีบเก็บพับหนังสือเล่มที่กำลังอ่าน
แล้วเดินตรงไปยืนอยู่หลังชายหนุ่ม
คนอื่นๆที่อยู่ในแถว ก็ทยอยเดินไปต่อแถวกันใหม่
ไม่มีเสียงแม้แต่นิดเดียว 

หญิงสาวผมสั้นสีแเดงที่ยืนติดกับเรา
มองหน้าสุนัขอย่างครุ่นคิด
คงเกรงว่ากลิ่นบุหรี่จะไปรบกวนโสดประสาทการดมกลิ่นของสุนัข
เธอลังเลอยู่แป๊บหนึ่ง
ก่อนจะดับบุหรี่ที่เพิ่งจุด
แล้วก็เดินตามกันไปต่อแถวใหม่

แถวใหม่เกิดขึ้นอย่างเรียบร้อย
เป็นแถวที่ชายหนุ่มกับสุนัขของเขาอยู่หัวแถว
เป็นการร่วมกันกระทำของกลุ่มคนแปลกหน้า
เป็นการกระทำที่ไม่ได้นัดแนะ 
เป็นการกระทำที่ไม่ต้องใช้เสียง
ทุกคนทำเหมือนเป็นหน้าที่
เรารู้สึกทึ่งอย่างบอกไม่ถูก

ทุกคนยังคงรอคอยด้วยความเงียบสงบ
แล้วรถประจำทางก็มาถึง
"รอสักครู่ ผมจะลงไปรับ......"
พนักงานขับรถกำลังขยับตัวจะลุกจากที่นั่งคนขับ
"ขอบคุณครับ ไม่ต้องรบกวนหรอกครับ"
ชายหนุ่มรีบปฏิเสธด้วยน้ำเสียงสุภาพ
ภายใต้การนำของสุนัขฝึกหัดตัวนั้น
ทั้งสองค่อยๆก้าวขึ้นรถไป

เวลานั้นเป็นเวลาหลังเลิกงาน
ผู้โดยสารก็เต็มคันรถอยู่แล้ว
แต่พอชายหนุ่มกำลังก้าวขึ้นรถ
ทุกคนรีบขยับตัวถอยร่นไปข้างหลัง
ทำให้มีพื้นที่ว่างที่บริเวณทางขึ้นทันที

ที่นั่งหลังคนขับ
มีเด็กผู้ชายอายุ 6-7 ขวบนั่งอยู่
คุณแม่รีบสะกิดลูกชายให้ลุกขึ้น
เพื่อสละที่นั่งให้ชายหนุ่ม
การกระทำที่ค่อนข้างกระทันหันของคุณแม่
ไม่ได้ทำให้เด็กผู้ชายงอแง
หนูน้อยรีบลุกขึ้นด้วยความเต็มใจ

สุนัขเห็นมีที่นั่งว่างอยู่
จึงนำพาเจ้าของเดินไปยังที่นั่ง
ส่วนตัวสุนัขเองก็นั่งตัวตรงอยู่ข้างๆบนทางเดิน
เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น
ชายหนุ่มไม่มีสิทธิ์ได้รับรู้ใดๆทั้งสิ้น

"สวัสดีครับ จะไปลงรถที่ไหนครับ"
"สวัสดีครับ ผมจะไปถนนมอร์ครับ"
"พะยะค่ะ ฝ่าบาท......"
ทุกคนหัวเราะในคำหยอกล้อด้วยอารมณ์ขันของคนขับ
แล้วรถประจำทางก็นำพาผู้คนเดินทางต่อไปด้วยบรรยากาศของความสดใส

ทุกคนบนรถเฝ้าสังเกตดูท่าทีอันสง่างามของสุนัข
แม้เวลาเลี้ยวรถ
สุนัขก็จะพยายามเอี้ยวตัวเพื่อรักษาการทรงตัวของตน
สายตาเพ่งมองไปข้างหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ
คงแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับสุนัขที่เลี้ยงดูกันตามบ้าน

ไม่มีใครคิดจะยื่นมือไปลูบหัวสุนัข
ไม่มีใครนำเอามือถือออกมาถ่ายรูป
เด็กน้อยที่คิดจะยื่นขนมปังครึ่งชิ้นที่เหลืออยู่ในมือไปป้อนเขา
ก็ถูกคุณแม่ดึงมือกลับ
กระซิบข้างหูเด็กน้อยแบบเบาๆ
"เขากำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ มีงานต้องรับผิดชอบ อย่าไปรบกวน"
พอได้ยินคำว่า "ปฏิบัติหน้าที่"
เด็กน้อยพยักหน้าด้วยความเข้าใจ

เมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆ
ไม่นานนักก็มาถึงจุดหมาย
เมื่ออำลากับคนขับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็ก้าวลงจากรถไป
ภายใต้การนำทางของสุนัขฝึกของเขา

รถประจำทางเดินทางต่อไป
แต่ความเงียบสงบยังคงครอบครองอยู่เต็มคันรถ
เราได้รับรู้ถึงความรักและความห่วงใยที่เกิดขึ้นภายใต้ความเงียบ
เป็นความน่ายกย่องที่รับรู้ได้ด้วยความรู้สึก
ภายนอกรถ ลมหนาวเย็นยะเยือก
แต่ภายในใจ เต็มไปด้วยความอบอุ่น

เรื่องราวที่น่าประทับใจนี้
คงไม่ใช่เพียงเพราะผู้คนเดินไปต่อแถวใหม่หลังชายหนุ่ม
คงไม่ใช่เพียงเพราะผู้คนรีบขยับถอยร่นให้มีพื้นที่ว่างเกิดขึ้น
และก็ไม่ใช่เพียงเพราะเด็กน้อยสละที่นั่งให้
แต่สิ่งที่น่าประทับใจที่สุดคือ
เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น
เป็นการกระทำที่ไร้เสียงแบบน่ายกย่องที่สุด

ความรัก ความห่วงใย ความเอื้ออาทรที่มีให้กับผู้อื่น
ไม่มีความจำเป็นต้องไปป่าวประกาศ
ไปเที่ยวบอกให้ผู้คนรับรู้ว่า
"พวกเรารักคุณ ห่วงใยคุณ"
บางเวลา
รักหรือห่วงใย ก็เป็นเรื่องเรียบๆง่ายๆ
แต่เป็นสิ่งที่เราสัมผัสได้ด้วยด้วยใจ ด้วยความรู้สึก

ความก้าวหน้าของประเทศ
คงไม่ได้วัดกันด้วยสภาพทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว

@@@@@@@@@@

Cr.ขอขอบคุณข้อมูล จาก  Fwd Line

วันพุธที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2560

เซน


คำเซน เป็นภาษาญี่ปุ่น ภาษาจีนว่า “เสี้ยง”
และเสียงกลางว่า“ฉัน” คือ “ฌาน” นั่นเอง 

นิกายนี้เจริญมาก ทั้งในยุโรป อเมริกา
เมื่อพระโพธิธรรม ท่านตั๊กม้อ ชาวอินเดีย 
จาริกไปเผยแผ่ธรรมที่เมืองจีนสมัยต้นศตวรรษที่ ๑๐

ความเป็นมาเมื่อครั้งพุทธกาล เมื่อพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฎ ทรงชูดอกไม้ขึ้นดอกหนึ่งท่ามกลางที่ประชุม โดยมิได้ตรัสอะไรเลย ที่ประชุมไม่มีผู้ใดเข้าใจความหมาย เว้นแต่พระมหากัสสปะที่เข้าใจทันที
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า กัสสปะ ตถาคตมีธรรมจักษุได้ และนิพพาน
ตถาคตมอบหมายให้แก่เธอ ณ บัดนี้ เซนจึงเคารพพระกัสสปะว่า ผู้ให้กำเนิดนิกาย ต่อมาก็สืบเนื่องกันมา ถึงพระโพธิธรรม ท่านตั๊กม้อ ลำดับที่ ๒๘
เมื่อพระโพธิธรรมจาริกมาเผื่อแผ่ธรรมที่เมืองจีนแล้ว ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าเหลียงบูฮ่องเต้
พระเจ้าเหลียงบูฮ่องเต้ ตรัสถามว่า ข้าพเจ้าได้สร้างวัดบวชพระเป็นจำนวนมาก ไม่ทราบว่าจะมีอานิสงส์มากเพียงไร ท่านตั๊กม้อ ตอบว่าไม่มีเลย เพราะกุศลกรรมเหล่านั้นเป็นวัฏฏคามี
(วัฎฎคามีกุศล แปลว่า กุศลเป็นทางสู่วัฏฏะ
กุศลนี้ สิ้นสุดกันตรงสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิ์ ในมนุษย์โลก)
ฮ่องเต้ไม่ทรงพอพระทัยจึงไม่ทรงอุปถัมภ์ พระโพธิธรรมจึงไปจำพรรษา ณ วัดเซียมลิ่มยี่ นั่งเข้าฌานหันหน้าเข้าฝาผนังอยู่ ๙ ปี ต่อมาท่านจึงได้มอบหมาย ลัทธิของท่านให้สมณะจีนตั้งเป็นนิกายเซนขึ้น เซน "ไม่ต้องอาศัยตัวอักษร ชี้ตรงไปที่ดวงจิตของมนุษย์ เห็นแจ้งในความจริงสำเร็จเป็นพุทธะ"
เซนถือว่า การบรรลุมรรคผลนั้น ไม่ใช่อยู่ที่ตัวบทอักษร หรือความรู้ในด้านปริยัติแต่ต้องอยู่ที่การขัดเกลาจิตของตนเป็นสำคัญ แม้ทรงพระไตรปิฎกก็ใช้ไม่ได้ ถ้าไม่เข้าถึงปฏิบัติ
เซน มุ่งสอนให้เป็นสุขโดยเห็นว่าการหลุดพ้นโดยใช้ปัญญา ใครก็ตามเข้าใจและรู้ถึงจิตใจของตนเองว่า
เป็นอะไร เขาก็หลุดพ้นแล้ว เพราะ รู้จิต รู้ใจ ก็จะรู้ว่าตอนไหน มีกุศล มีอกุศล ไม่มีกุศล ไม่มีอกุศล แยกแยะได้ รู้การทำให้จิต ให้ใจหลุดจากอกุศล ก็หลุดจากความทุกข์ได้
เซนจึงถือปัญญาเป็นสำคัญ ใครมีปัญญา ก็เข้าถึงเข้าใจได้
ดังนั้นคนที่จะเข้าถึงเซนได้ ต้องมีปัญญบารมีมา มีการสะสมปัญญามา
ระดับหนึ่ง จึงเรียนลัดได้
===========================================
เนื่องจากระดับปัญญาคนไม่เท่ากัน บางคนเรียนลัดได้ บางคนเรียนลัดไม่ได้
ก็ปฏิบัติไปตามลำดับได้ "อนุปุพพิกถา" จงพิจารณาตนเองและเลือกให้ถูกต้องเหมาะสมกับตนเอง ก็จะทำให้ไปถึงและถูกทางได้
วิวัฏฏคามีกุศล บุญกุศลที่ให้ถึงวิวัฏฏ์ คือพระนิพพาน กุศลนี้สิ้นสุดกันที่มรรคผลและนิพพานสมบัติ
วัฎฎคามีกุศล แปลว่า กุศลเป็นทางสู่วัฏฏะ กุศลนี้ สิ้นสุดกันตรงสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิ์ ในมนุษย์โลก
การสร้างกุศลแบบวัฏฏคามี แม้จะเป็นการสร้างกุศลที่มีผลให้วนอยู่ในวัฏฏะ เพราะหวังผลตอบแทนต่อตนมากกว่าการสร้างกุศลเพื่อประดับจิต คือ เพื่อให้จิตเป็นสมาธิได้ง่ายขึ้น
เพื่อจิตเป็นสมาธิแล้วก็ไปพิจารณาธรรมเพื่อหลุดพ้นต่อไป แต่ก็จัดเป็นสัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็นถูกเพียงแต่เป็นสัมมาทิฏฐิที่เป็นโลกิยะ เพราะหากไม่เห็นว่า บุญมีผล จะเป็นมิจฉาทิฏฐิไป
เมื่อพระพุทธองค์สอนสัตว์ ทรงสอนตามระดับอินทรีย์ พวกที่ยังก้าวล่วงความรู้สึกว่าเป็นตนไปไม่ได้ ก็ทรงสอนให้สร้างบุญกุศล ซึ่งก็คือวัฏฏคามีนี้เอง แต่ก็ทรงชี้ให้เห็นความเศร้าหมองของกาม
อานิสงส์ของการหลีกออกจากกามด้วย เมื่อสัตว์พร้อม ก็ทรงยกอริยสัจสี่ขึ้นมาตรัส เพื่อให้สัตว์เห็นทางออกจากวัฏฏะ
เรียนไปตามลำดับ
"อนุปุพพิกถา" จึงเป็นวิธีเตรียมใจ เพื่อฟอกอัธยาศัยของสัตว์ให้หมดจดเป็นๆ จากง่ายไปหายาก
@@@@@@@@@@@@@@
(จาก Facebook ;
Bhuritatta Samaneri กับ ภูริทัตตา ธรรมทาน  )

วันอาทิตย์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2560

วันศุกร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2560

วันพฤหัสบดีที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2560

กรรม...


สัตว์โลกทั้งหลาย มีกรรมเป็นของตนเอง
มีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นกำเนิด
มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่ง
มีกรรมเป็นเครื่องจำแนกให้สัตว์โลกดีเลวต่างกัน
กรรมดีจะจงรักภัคดีไปทุกภพ กรรมชั่วจะตามราวีไปทุกชาติ
คนไม่เข้าใจเรื่องกรรม ก็ไม่มีสติ ไม่มีปัญญา แยกแยะไม่ได้ ไม่รู้สิ่งใดกุศล สิ่งใดอกุศล จึงทำอกุศลกรรมได้ง่ายเพราะไม่เชื่อกฏแห่งกรรม คนเชื่อเรื่องกรรม ก็จะมีสติ มีปัญญา แยกแยะได้ รู้สิ่งใดกุศล สิ่งใดอกุศล ไม่ประมาท ระวังไม่ทำอกุศล ทำบาป เพราะรู้แล้ว สิ่งใดที่ทำลงไปจะย้อยกลับมาหาตนเอง ก็จะพยายามทำแต่กุศลกรรม จนเป็นปกติ เป็นนิสัย จนสุดท้าย เป็นความเคยชิน ไม่ต้องพยายาม เพราะทำดีเป็นนิสัย สันดานเสียแล้ว
คนเรานี้ย่อมมีกรรมเป็นของของตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้ติดตาม มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมอันใดไว้ เป็นบุญ หรือเป็นบาป เมื่อยังมีชีวิตอยู่ กรรมนั้นจักเป็นทายาท ให้เราได้รับผลของกรรมนั้นสืบต่อๆไป แม้ละโลกนี้ไปแล้วกรรมนี้ก็จะนำไเป็นแดนเกิดได้
คนที่ตายจากชาตินีแล้ว ก็ไม่มีใครเอาทรัพย์สมบัติที่สะสมไว้ไปได้เลย สิ่งที่เอาไปได้มีแค่ บุญกับบาป เท่านั้น
บุญทั้งหลาย เป็นที่พึ่งที่อาศัยของสัตว์ทั้งหลายในโลกหน้า
มีแต่บุญเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งที่อาศัยได้ ส่วนบาปไม่ใช่ที่พึ่งที่อาศัยแต่เป็นวิบากที่ทำให้ได้รับความทุกข์ทรมาร คนเราเมื่อตายจากโลกนี้แล้ว มีแต่บุญที่ทำไว้เท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่ง พ่อแม่ ญาติพี่น้อง สามีภรรยา เพื่อน หรือคนที่เรารักหรือคนรักเรา ติดตามไปไม่ได้สักคน
สมบัติใดๆ ที่เป็นของเรา ก็ติดตามไปเป็นที่พึ่งไม่ได้เลย ดังนั้นเมื่อได้โอกาสเป็นมนุษย์เป็นภพแห่งการสร้างบารมี ทำความดี ก็ไม่ควรพลาดโอกาส
เพราะ เกิดเป็นมนุษย์นี้ไม่ได้เกิดกันง่ายๆ ต้องเป็นผู้มีบุญมาบ้าง
ก็ควรเร่งทำความดี สร้างบารมีให้สมกับที่เกิดมา และเราก็ไม่รู้ด้วยว่าเราจะมีชีวิตอยู่นานเท่าใด
เมื่อวานนี้ ๒/๘/๖๐ เดินบิณบาตร เหมือนทุกวัน
กับ ท่านพระอาจารย์ ธัมมวิชชา ภิกษุณี
ก็มีญาติธรรมที่เคยใส่บาตรหลายครั้งมาใส่บาตร
แต่พรรษานี้เพิ่งเจอกันครั้งแรก ท่านพระอาจารย์
ก็ถามไปใหนมา ไม่เจอกันนานเลย
ญาติธรรมท่านนั้นก็ปรารภเล่าให้ฟังพร้อมน้ำตาว่า
ว่า ลูกชายคนเล็ก ที่อายุ ๑ ขวบ ป่วยมาก เป็นมะเร็ง
ก้อนเนื้อร้าย หมอบอก ๑๑ ซม. ต้องค่อยดูแลและไป
หาหมอ จึงไม่มีโอกาสมาตักบาตรเลย เป็นทุกข์มาก
ยังเด็กอยู่มาก มาเป็นโรคร้ายนี้ ไม่รู้ว่ากรรมอะไร
แต่ก็ทำใจ และ ขออโหสิกรรมตลอด
เด็กอายุ ๑ ขวบมาเป็นเนื้อร้ายมะเร็ง เป็นตั้งแต่เด็ก
เด็กยังไม่ช่วยตัวเองได้เลย กรรมดียังทำไม่ได้
กรรมไม่ดีก็ยังทำไม่ได้ เด็กได้รับอาหารทางสายรก
เด็กไม่น่าป่วย แต่กลับมาป่วย โดยที่แม่สุขภาพแข็งแรง
เป็นเรื่องแปลก แม่เด็กยังเล่าว่า ตนเองผูกพันธ์กับ
คุณตาของเด็กมาก พ่อของแม่ ก่อนตาตายเป็นมะเร็งตาย
แม่เด็กและและครอบครัว จึงเชื่อว่า อาจเป็นคุณตามาเกิด
เพราะมีลักษณะคล้ายๆ ตาที่เป็นมะเร็งที่เดียวกัน
นี้ก็เป็นเรื่องแปลก เก็บมาเป็นกรณีให้ศึกษากัน
เป็นแบบนี้อาจไม่ใช่กรรมชาตินี้ แต่อาจเป็นเศษกรรมที่
มาจากชาติก่อน เพราะพระพุทธองค์ได่ตรัสไว้แล้วว่า
สัตว์โลกทั้งหลาย มีกรรมเป็นของตนเอง
มีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นกำเนิด
มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่ง
มีกรรมเป็นเครื่องจำแนกให้สัตว์โลกดีเลวต่างกัน
กรรมดีจะจงรักภัคดีไปทุกภพ กรรมชั่วจะตามราวีไปทุกชาติ
ดังนั้น จงอย่าประมาทในกรรม
สิ่งที่พระพุทธองค์พบ ธรรมะ ก็ยังคงเป็นสัจธรรมและประจักษ์พยานอยู่ตลอดเวลา หากสังเกตุและพิจาณา สิ่งต่างๆ ได้ ก็ยังพบได้ ธรรมะเป็นสัจธรรม เหนือกาลเวลา เป็นอกาลิโกจริงแท้แน่นอน สาธุๆๆๆ
ภูริทัตตา
@@@@@@

บ้านที่แท้จริง..



:: บ้านที่แท้จริง ::

บ้านที่ซื้อมา หรือสร้างขึ้นมา หลวงพ่อชา สุภัทโท ท่านเรียกว่า
บ้านของโลก หรือ บ้านข้างนอก ไม่ใช่บ้านที่แท้จริง
อาศัยอยู่ได้ชั่วคราว แล้วก็ต้องจากไป

บ้านที่สอง คือร่างกาย เราเข้าใจว่าเป็นของเรา
ก็ไม่ใช่อีก
มันแก่ มันผุพังไปทุกวัน ห้ามก็ไม่ฟัง
อยากให้มัน คงทนถาวร อยู่ยาวนาน ก็เป็นไปไม่ได้

บ้านที่สาม คือ ตัวอัตตา ที่ความคิดจิตใจสร้างขึ้น
แล้วสมมติให้เล่นบท เป็นตัวนั่นตัวนี่
มีตำแหน่ง ยศฐาบรรดาศักดิ์  มีฐานะทางสังคมรองรับ
แต่พอถึงวันเกษียณอายุ บ้านหลังนี้ พังลงในพริบตา
จะยื้อยุดอย่างไรก็ไม่ได้
..
..

บ้านที่แท้จริง คือ ความรู้สึกที่มันสงบ
อยู่ในส่วนลึกของจิตใจ
ถูกความคิดและอารมณ์ต่างๆปกคลุมไว้
ต้องอาศัย...การเจริญสติ ให้เกิดสมาธิ และปัญญา
จึงจะมองเห็น และ เข้าไปอาศัยในบ้านหลังนั้นได้

บ้านหลังนี้ เป็นอกาลิโก อยู่ได้ตลอดกาล ไม่มีวันผุพัง
มีความสมบูรณ์พร้อมในตัว ไม่ต้องการเครื่องเรือน
หรือของตกแต่งใดๆเพิ่มเติม
คนที่จะเข้าไปได้ ต้องวางทุกอย่างให้หมดเสียก่อน
จึงจะเข้าไปอาศัยได้

ชีวิตของเราทุกคน เหมือนการเดินทาง
แวะพักชั่วคราว เข้าบ้านหลังนั้น ออกหลังนี้ เรื่อยไป
แต่ไม่เคยสบายใจได้นาน
เพราะมันไม่สงบ เหมือนได้อยู่บ้านตนเอง
บ้านที่แท้จริงของเราอยู่ที่ไหน ?
หลวงพ่อชา สุภัทโท ท่านสอนว่า
"ความสงบ" นั้นแหละ คือบ้านจริงๆของเรา

Cr. Fabebook ศาสนาและวิทยาศาสตร์
@@@@@@@@@
จาก Fwd Line

ปล่อยวาง...


ถ้าอ่านให้เข้าใจ
แล้วจะไม่โกรธใครอีกแล้ว

หลวงพ่อรูปหนึ่ง ปลูกกล้วยไม้ กระถางหนึ่งด้วยความทะนุถนอม กล้วยไม้ ก็แข็งแรง สวยงามยิ่งนัก...

วันหนึ่ง หลวงพ่อต้องออก
ไปธุระหลายวัน เลยฝาก
เณรน้อย ให้ช่วยดูแล เณรน้อย ก็เอาใจใส่ดูแลอย่างดี  กล้วยไม้ ก็ยิ่ง
งอกงามด้วยดี..

วันหนึ่ง เณรน้อย ต้องออกไปธุระ ก่อนออกไป ได้เอากระถางไปวาง
ตากแดดริมหน้าต่าง หลังจากนั้น เกิดพายุอย่างไม่คาดคิด พัดเอากระถางตกลงบนพื้นแตกกระจาย

ต้นกล้วยไม้หักเละ เณรน้อย กลับมาเห็น ตกใจ และ เสียใจมาก และ ยังกลัวถูก หลวงพ่อตำหนิด้วย...

ไม่กี่วัน หลวงพ่อ กลับมา เณรน้อย ก็บอกเล่าตามจริง เตรียมตัว เตรียมใจรับการถูกดุด่า

แต่หลวงพ่อ กลับไม่ได้ว่าอะไร ทำให้ เณรน้อยประหลาดใจ เป็นอย่างมาก เพราะ หลวงพ่อ รัก
กล้วยไม้ กระถางนี้มาก...

หลวงพ่อ เพียงยิ้ม ๆ แล้วกล่าวว่า
“ ข้า ปลูก กล้วยไม้ ไม่ได้ เพื่อไว้โกรธนะ ”
คำง่าย ๆ กลับกลายเป็น
สัจธรรมปลดปล่อยวาง...

คนเราทำงาน ไม่ได้เพื่อไว้โกรธกัน..
คนเรารักกัน ก็ไม่ได้เพื่อไว้โกรธกัน.
สิ่งที่ให้ไปแล้ว เมื่อเอากลับมาไม่ได้ ก็ไม่ต้องโทษใคร หรือ เสียใจ...

ตอนมี ต้องใส่ใจ
ตอนเสียไป ให้ปลดปลง
ใจ ไม่ติดค้างใคร
ก็พอแล้ว...

ถ้าคุณแค้น ชีวิต ก็เต็มไป
ด้วย ความแค้น ...
ถ้าคุณ นึกขอบคุณ
ที่ใด ๆ ก็เต็มไปด้วย
เรื่องที่น่าขอบคุณ...
ถ้าคุณ เติบกล้า การงาน ก็จะก้าวหน้า ...

ไม่ใช่ โลกนี้ เลือกคุณ แต่คุณ เป็นคนเลือก โลกใบนี้ ...

ฉะนั้น... จงอย่าโกรธลูก พ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนร่วมงาน และทุกสรรพสิ่งในโลก จงใจกว้าง  และ เมตตา  อุเบกขา ปลดปล่อยวาง
แค่นี้  ก็สุข

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร
@@@@@
Cr.fwd line

ดั่งหนามตำใจ


ดั่งหนามตำใจ
.....

ไม่มีชีวิตใครในโลกใบนี้ที่ราบรื่นตลอดชีวิต
ไม่มีชีวิตใครในโลกใบนี้ที่มีแต่ความสุขตลอดชีวิต
คนที่พบปะกับคุณมีมาก แต่ที่รู้ใจคุณจริงๆมีน้อย
คนที่พูดคุยกับคุณมีมาก แต่ที่ค้ำจุนคุณมีน้อย
คนที่เข้าใจคุณมีมาก แต่ที่เชื่อมั่นในตัวคุณมีน้อย
เพราะอย่างนี้
เจ็บเองก็รักษาเอง
ร้องไห้ก็ปลอบใจตัวเอง
ไม่มีใครเข้าใจก็เข้าใจตัวเอง
ไม่มีใครช่วยเหลือก็จงเป็นผู้อุปถัมภ์ตัวเอง
~~~

รู้ว่าเวลาไหนควรพูด รู้ว่าเวลาไหนควรเงียบ คือลักษณะหนึ่งของคนมีปัญญา
รู้ว่าเวลาไหนควรทำ รู้ว่าเวลาไหนควรถอย คือลักษณะหนึ่งของคนมีสติ
~~~

ของที่ดีที่สุด วันหนึ่งก็ต้องสูญเสียมันไป
ความรู้สึกที่ดีที่สุด วันหนึ่งมันก็ลืมกันไป
คนที่รักที่สุด วันหนึ่งก็ต้องพรากจากกันไป
เพราะต่อให้ฝันดีแค่ไหนก็ต้องตื่น
~~~

เรื่องบางเรื่อง อย่าใส่ใจให้มันมากนัก ปล่อยให้มันผ่านไปเหมือนลมพัด ผ่านแล้วก็ผ่านเลย
เรื่องบางเรื่อง อย่าพิสูจน์ให้มันแจ่มแจ้งมากนัก เพราะมันเหมือนตอหนาม ชัดมาก ก็เจ็บมากตาม
เพราะเรื่องบางเรื่อง เมื่อรู้ความจริง ก็ใช่ว่าจะทำใจยอมรับได้
คนบางคน เมื่อรู้ความจริงว่าเป็นอย่างไร ก็อย่าไปเสียใจร้องไห้ฟูมฟาย ร้องไห้ไปก็ใช่จะหนีความจริงพ้น จงยอมรับแล้วเดินหน้าต่อ
~~~

คนที่รักคุณ จะทิ้งคุณไปทำไม?
คนที่ไม่รักคุณ จะอยู่กับคุณได้อย่างไร?
ประสบการณ์ จะสอนคุณว่าควรทำอย่างไร?
เวลา จะสอนคุณเข้าใจโลกมากยิ่งขึ้น
~~~

นุสนธิ์บุคส์

@@@@@@
Cr.Fwd Line