เมื่อจิตหมกมุ่นกับสิ่งที่หมายปอง เรามักจะคิดปรุงแต่งเกินจริงไปสารพัด เราฝังใจกับข้อดีต่างๆ หรือสิ่งสุดยอดที่เคยเกิดขึ้น แล้วตั้งความคาดหวังเอาไว้สูง “คราวนี้แหละ! …” เราลืมไปเลยว่าเคยผิดหวังในเรื่องนั้นอย่างไร ลืมคิดว่าจะรู้สึกอย่างไรเมื่อความเพลิดเพลินนั้นหมดสิ้นไป เสียงแห่งสติปัญญาถูกกลบไปหมด เหมือนเป็นเสียงคนแก่ขี้บ่น คอยห้ามโน่นห้ามนี่ในงานปาร์ตี้ พอหลงอยู่ในความอยาก เราก็หลงลืมสิ่งที่ควรคิด ลืมคุณค่า เป้าหมายและหลักการของชีวิตที่เราควรยึดถือ
การอยู่ในโลกแห่งกามสุข เราจะขาดการตั้งจิตพิจารณาสิ่งต่างๆ ให้ถ่องแท้ไปไม่ได้ ขณะนี้ เรารู้สึกอย่างไร? ความรู้สึกจริงๆ เป็นอย่างไรบ้าง? เวลาจิตเกิดสันโดษพอดี ไม่ขาดอะไรและไม่ต้องการอะไรอีก ความรู้สึกแบบนั้นเป็นอย่างไรบ้าง? ความรู้สึกที่ว่านี้สำคัญกับเราอย่างไร? เราควรแบ่งเวลาแค่ไหนในการไล่ตามความสุขทางเนื้อหนังอันเปราะบาง และควรแบ่งเวลาแค่ไหนในการแสวงหาความสุขด้านใน โดยฝึกปล่อยวางสิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อความสงบทั้งปวง?
เมื่อเทียบกับความสุขแบบสันโดษแล้ว เวลาอยากได้อะไรสักอย่าง เรารู้สึกอย่างไรบ้าง? มีอาการทางกายอย่างไร? มีอาการทางจิตอย่างไร? มีความผาสุกดีไหม? เวลาที่ได้ตามปรารถนา เรารู้สึกอย่างไรบ้าง?
ลองพิจารณาให้ดีว่าเป็นความสุขที่ไม่มีอะไรเจือปนจริงหรือไม่? มีบางขณะไหมที่เรารู้สึกเฉยๆ หรือแม้กระทั่งไม่พอใจในความสุขนั้น? ความกลัวการพลัดพรากสูญเสียทำให้รู้สึกอย่างไรบ้าง? พอเกิดความสูญเสีย เรารู้สึกอย่างไรบ้าง?
หากจิตของเราติดกับดักความเพลิดเพลินทางเนื้อหนัง ก็ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นคนเลว แต่หมายถึงว่าเรายังไม่ได้ฝึกสังเกตและพิจารณาให้มากพอเท่านั้นเอง
ธรรมะคำสอน โดย พระอาจารย์ชยสาโร
แปลถอดความ โดย ศิษย์ทีมสื่อดิจิทัลฯ
******
Cr.https://www.facebook.com/100064337808864/posts/pfbid0KYVZHT4vAQhx5CiS4wAxTpyqrNAGtsvorjR6uMNCSSjeG4km4tuvatij8V6fuXmhl/?mibextid=Nif5oz
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น