#ปัญญา
#คือแสงสว่างที่จะนำพาชีวิตของพวกเรา
ใน "วัฏฏะ" คือ ความมืด
ในทางสภาวธรรม ก็เหมือนกายภาพ
ถ้ามันมืด.. ก็มองอะไรไม่เห็น
ก็หลงอยู่อย่างนั้นแหละ
#สิ่งที่เป็นคู่ปรับกับความมืด
#คือความสว่าง
เมื่อสว่างมองอะไร
มันก็เห็นหมด อะไรเป็นอะไร
ที่ไม่รู้.. อะไรเป็นอะไร
เพราะว่าไม่มีความสว่างในตัวเอง
ที่เรียกว่าไม่มีปัญญานั่นเอง
เมื่อไม่มีปัญญา
ก็หลงคิดผิด พูดผิด ทำผิดอยู่ร่ำไป
เพราะฉะนั้นพอเราฝึกปฏิบัติ
ถึงจุดหนึ่งมองด้วยปัญญาได้
มันพลิกคว่ำ พลิกจากของที่คว่ำอยู่
เป็นของที่หงายขึ้น
การมองทุกอย่างจะเปลี่ยนไป
อันนี้เป็นผลจากการปฏิบัติ
ที่เราต้องเพาะบ่มขึ้นมาอยู่เนือง ๆ
#วิถีของพระพุทธศาสนา
#จึงเป็นวิถีของผู้ที่มีสติปัญญา
การที่เราจะละกิเลสเครื่องเศร้าหมองต่าง ๆ
ก็ละกันด้วยสติปัญญานี่แหละ
เรียกว่าดำเนินชีวิตด้วยปัญญา
ซึ่งการเพาะบ่มในด้านปัญญานั้น
มีอยู่ 3 ระดับ ด้วยกัน
#สุตมยปัญญา
ปัญญาที่เกิดจากการสดับตรับฟัง
.. จากการฟังธรรม
.. จากการศึกษาเล่าเรียน
.. ข้ออรรถ ข้อธรรมต่าง ๆ
นี้ก็เพาะบ่มให้เกิดปัญญาเช่นกัน
.. เกิดความรู้ความเข้าใจ
.. เกิดความเห็นที่ถูกต้อง
สมัยพุทธกาลสำหรับผู้ที่มีบารมี
ฟังธรรมครั้งเดียวก็สามารถ
บรรลุธรรมฉับพลันได้เลย
#จินตามยปัญญา
ปัญญาเกิดจากการขบคิด
พิจารณาโดยแยบคาย
ภาษาธรรมท่านเรียกว่า "โยนิโสมนสิการ"
การพิจารณาโดยการแยบคาย
ส่วนใหญ่แล้วในชีวิตประจำวัน
ก็จะเกิดจาก "โยนิโสมนสิการ"
มองด้วยปัญญา พิจารณาโดยแยบคาย
มันจะพลิกจากของที่คว่ำอยู่
จากใจเราที่มันคว่ำอยู่
การที่ใจเรามีกิเลส มีความหลงอยู่
มองอะไรก็เป็นกิเลสไปหมด
ความโลภ ความโกรธ ความหลง ไปหมด
แต่เมื่อพลิกเป็นปัญญาได้ปุ๊บ
มันหลุดออกจากกรอบเหล่านี้
สมัยพุทธกาล...
ผู้ที่ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า
จึงเปล่งอุทานว่า พระองค์ชี้ทางสว่างให้
#เหมือนพลิกจากของที่คว่ำ
#เป็นของที่หงายขึ้นมา
บอกทางจากผู้ที่หลงทาง
นี่แสงสว่างแห่งปัญญา
การมองโลกมันจะเปลี่ยนไป
จากที่เคยจมไปกับความทุกข์
ก็หลุดออกจากทุกข์ได้เลย
จากความมืดก็กลายเป็นความสว่าง
#สิ่งที่จะชะความมืดก็คือความสว่าง
#สิ่งที่จะชะความหลงก็คือปัญญา
เพาะบ่มปัญญา ในชีวิตประจำวัน
ส่วนใหญ่จะใช้ในเรื่องโยนิโสมนสิการมาก
การพิจารณาโดยปัญญา
จากปกติเรามองอะไรด้วยตาเนื้อ
สัมผัสด้วยหู อายตนะ
แล้วก็ใช้สมอง ใช้ตรรกะ
#แต่มองด้วยปัญญา
#ก็คือมองด้วยใจที่มีสติปัญญา
.. มันทะลุไปหมด
.. มันเข้าใจ รู้ว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด
.. สิ่งใดควรละ สิ่งใดควรทำนั่นเอง
.
ธรรมบรรยาย โดย พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
บ่ายวันที่ 6 พฤษภาคม 2566
*******
Cr.https://www.facebook.com/100044526665714/posts/pfbid0sKdNXXLHs1DPSazFVZPbqUEfarvPLpHuDueA8ipWu48RN1ijWXBCkcYZsi6bjC6el/?mibextid=Nif5oz
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น