หากตัวเอกในบทละครโศกนาฏกรรมของเช็คสเปียรส์เป็นเจ้าชายอินเดีย ไม่ใช่เจ้าชายเดนมาร์ก แฮมเล็ตอาจมีบทรำพึงรำพันเชิงปรัชญาว่า "จะ(มีชีวิต)อยู่หรือจะไม่อยู่ นั่นคือข้อกังขา หรือจะทั้งอยู่และทั้งไม่อยู่ หรือจะอยู่ก็ไม่ใช่ไม่อยู่ก็ไม่ใช่" เพราะปรัชญาอินเดียมีทางเลือกที่ละเอียดกว่าปรัชญาตะวันตก
ในวัยนั้น แฮมเล็ตคงจะครุ่นคำนึงถึงปัญหาโลกแตกที่มีทางเลือกสี่ทางนี้ระหว่างเรียนในสำนักตักศิลาเป็นแน่แท้ และหากได้พบพระภิกษุในพระพุทธศาสนา แฮมเล็ตก็อาจจะยิ่งสับสนไปใหญ่ หรือว่าบางทีอาจจะไม่สับสนเท่านี้ก็ได้ เนื่องจากพระรูปนั้นคงสอนว่า ทางเลือกทั้งสี่นี้ไม่อาจใช้กับผู้บรรลุธรรมได้
ครั้งหนึ่ง โทณพราหมณ์รู้สึกทึ่งเมื่อเห็นรอยพระบาทของพระพุทธองค์ จึงทูลถามว่าทรงเป็นเทวดา คนธรรพ์ หรือยักษ์ ทรงตอบว่าไม่ได้เป็น พราหมณ์จึงทูลถามอีกว่า ถ้าอย่างนั้นทรงเป็นมนุษย์ธรรมดาหรือ ทรงรับสั่งว่าไม่ได้เป็น ทรงเป็น 'พระพุทธเจ้า' ต่างหาก พุทธดำรัสนี้แสดงว่าไม่ได้ทรงแยกหมวดหมู่ของความเป็นพุทธะออกมาอีกประเภท แต่ทรงกล่าวถึงโลกุตรธรรมอันพ้นไปจากความเข้าใจของมนุษย์
การจัดประเภทและหมวดหมู่เป็นอุบายอันมีประโยชน์ในการจัดระเบียบข้อมูลให้นำไปใช้ได้ ทว่า ความจริงสูงสุดอยู่นอกเหตุเหนือผลจนไม่อาจจัดลงในกรอบความคิดอันจำกัดของมนุษย์ได้ จึงเหลือวิสัยที่มนุษย์จะใช้ภาษาไปอธิบายสิ่งที่อยู่เหนือภาษาได้
มีทางเดียวที่วางใจได้ว่าจะช่วยให้เราเข้าถึงปัญหาลึกซึ้งของความเป็นพุทธะ นั่นคือการลงมือปฏิบัติธรรม ดังที่พระพุทธองค์ทรงสอนพระวักกลิว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นพระตถาคต"
ธรรมะคำสอน โดย พระอาจารย์ชยสาโร
แปลถอดความ โดย ปิยสีโลภิกขุ
******
Cr.https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid038FzZTUarDupKLosiHKJ5hhSV3Ym7MJosnjU73S1o7BpsDZjchqU1R3B7EuAVVdnfl&id=100064337808864&mibextid=Nif5oz
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น