พระพุทธองค์ทรงสอนว่ามีปาฏิหาริย์สามประการ คือ
(๑) อิทธิปาฏิหาริย์ แสดงฤทธิ์ได้เป็นอัศจรรย์ เช่น เดินบนน้ำได้ หรือเหาะได้
(๒) อาเทศนาปาฏิหาริย์ อ่านจิตผู้อื่นได้เป็นอัศจรรย์
(๓) อนุสาสนีปาฏิหาริย์ แสดงคำสอนอันส่งผลได้จริงเป็นอัศจรรย์
พระองค์ทรงยืนยันว่ามีพุทธสาวกมากมายที่แสดงปาฏิหาริย์ทั้งสามอย่างนี้ได้ ทว่า ในปาฏิหาริย์ทั้งหมดนี้ พระพุทธองค์ตรัสสรรเสริญอนุสาสนีปาฏิหาริย์ว่าประเสริฐสุด พระอรรถกถาจารย์อธิบายพุทธวินิจฉัยเพิ่มเติมว่า ปาฏิหาริย์สองข้อแรกอาจนำไปสู่ประโยชน์สุขอันยิ่งๆ ขึ้นไปของสรรพสัตว์หรือไม่ก็ได้ แต่ปาฏิหาริย์ข้อที่สามมีธรรมชาติที่จะนำไปสู่ประโยชน์สุขนั้นอยู่ในตัว
คำสอนที่นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงในจิตของผู้ศึกษาเป็นปาฏิหาริย์อันแท้จริง เพราะยากนักที่จะบรรลุผลเช่นนั้นได้ ดังพระพุทธองค์ทรงตั้งข้อสังเกตว่า คนทั้งหลายหลงใหลในความยึดมั่นถือมั่น การมีมานะ ความตื่นเต้นเพลิดเพลิน และอวิชชา เนื่องจากยินดีพอใจในสิ่งเหล่านี้ แต่กระนั้น เมื่อพระตถาคตหรือพระสาวกรูปใดรูปหนึ่งแสดงธรรมอันเป็นไปเพื่อละความยึดมั่นถือ ถอดถอนซึ่งมานะ เข้าถึงความสงบ และขจัดอวิชชา ก็ยังมีผู้ปรารถนาจะฟัง ให้ความสนใจ และมุ่งมั่นทำความเข้าใจในหลักธรรมเหล่านั้น
ทุกวันนี้ คงมีผู้ปฏิบัติธรรมน้อยมากที่สามารถแสดงฤทธิ์หรืออ่านจิตอ่านใจคนได้ แต่ปาฏิหาริย์ประการที่สามซึ่งประเสริฐสุดกลับเข้าถึงได้มากกว่า เราทั้งหลายอาจมีส่วนเกื้อกูลให้เกิดปาฏิหาริย์อันแท้จริงนี้ได้ ด้วยการประพฤติตนเป็นแบบอย่างอันดีงาม หรือแบ่งปันธรรมะในโอกาสที่เหมาะสมด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่มีอะไรในโลกนี้จะน่าอัศจรรย์ไปกว่า จิตที่เปิดรับต่อ ‘การรู้เห็นตามความเป็นจริง’
ธรรมะคำสอน โดย พระอาจารย์ชยสาโร
แปลถอดความ โดย ศิษย์ทีมสื่อดิจิทัลฯ
******
Cr.https://www.facebook.com/share/8p7jcUcvCi1umJRE/?mibextid=oFDknk
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น