(คลิกบนภาพเพื่อดูภาพขยายใหญ่ขึ้น)
*****
เทวทัต เป็นพระโอรสของพระเจ้าสุปปพุทธะ กับพระนางอมิตตา แห่งกรุงเทวทหะ เมื่อพระพุทธเจ้าประทับที่อนุปิยนิคม แคว้นมัลละ เทวทัตได้ออกบวชพร้อมกับเจ้าศากยะ อีก ๕ องค์คือ อานนท์ ภัททิยะ อนุรุทธะ ภัคคุ กิมพิละ และอุบาลี พนักงานภูษาของเจ้าชายทั้งหกองค์
พระบรมศาสดาทรงให้การศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยจนแตกฉานสามารถทำให้ฌานสมาบัติเกิดขึ้นได้ ต่อมาได้ชักชวนดึงเอาอชาตศัตรูกุมารเข้ามาเป็นศิษย์ จึงบริบูรณ์ด้วยลาภสักการะทั้งมวลทำให้เกิดโลภะเจตนาอยากจะเป็นใหญ่ทำการบริหารคณะสงฆ์เสียเอง ได้ไปกราบทูลขอต่อพระพุทธองค์ แต่ไม่ทรงอนุญาต จึงคบคิดกับโกกาลิกภิกษุ ทูลขอพุทธอนุญาต ๕ ประการเพื่อจะหาเรื่องกล่าวโทษพระพุทธองค์ เช่น ขออย่าให้ภิกษุฉันเนื้อ ฉันปลา เป็นต้น เมื่อไม่ได้รับอนุญาตจึงพากันเที่ยวโฆษณาว่า พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมไม่จริงตามที่แสดงไว้ เพราะสอนไม่ให้ทำปาณาติบาต พระภิกษุบวชใหม่ ๕๐๐ รูปเห็นดีเห็นชอบจึงแยกออกไปตั้งคณะสงฆ์ใหม่ด้วยการสนับสนุนของอชาติศัตรู ไปอยู่ที่ภูเขาคยาสีสะ เมืองคยา ต่อแต่นั้นมาก็ได้แต่แนะนำสั่งสอนพวกบริวารของตนให้ประพฤติแต่ทางผิดธรรมวินัย ส่วนตนเองก็คิดจะเป็นพระพุทธเจ้า จนถึงกับพยายามทำลายพระชนม์ชีพพระบรมศาสดาด้วยอุบายต่าง ๆ แต่ไม่สำเร็จ
ต่อมาพระโมคคัลลานะและพระสารีบุตร ได้มาพาภิกษุบวชใหม่ทั้ง ๕๐๐ รูป กลับคืนหมดในขณะที่พระเทวทัตกำลังนอนหลับอยู่ พอตื่นขึ้นมาถามพระโกกาลิกว่าพระไปใหนหมด ได้คำตอบว่าพระโมคคัลานะและพระสารีบุตรพากลับไปหมดแล้ว เลยเกิดทะเลาะกัน พระโกกาลิกบันดาลโทสะจึงเอาเข่ากระทุ้งที่หน้าอกจนพระเทวทัตกระอักเลือดได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส จึงระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าว่า ตัวเราคิดแต่เรื่องไม่เป็นประโยชน์ต่อสมณโคดม ส่วนพระองค์หามีจิตคิดร้ายต่อเรา พวกภิกษุทั้งหลายก็ทิ้งเราไปหมดแล้ว ควรจะไปขอขมาโทษต่อสมณโคดม จึงให้บริวารที่เหลืออยู่หามตนเดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่แคว้นโกศล
เมื่อพระอานนท์ทราบข่าวว่าพระเทวทัตจะมาถวายนมัสการพระบรมศาสดา ก็เข้าไปกราบทูลให้ทรงทราบ พระพุทธองค์ตรัสว่า เทวทัตไม่มีโอกาสได้เห็นเราตถาคตเสียแล้ว พอพระเทวทัตมาถึงประตูเมืองสาวัตถี พระอานนท์ก็เข้าไปกราบทูลอีก พระพุทธองค์ก็ยังคงตรัสอยู่อย่างเดิมว่า เทวทัตไม่มีโอกาสเห็นเราเสียแล้ว
เมื่อพระเทวทัตมาถึงสระโบกขณีซึ่งอยู่บริเวณหน้าประตูเชตวันมหาวิหาร บาปที่พระเทวทัตทำไว้ก็ให้ผลถึงที่สุดในที่นั้นคือ เกิดเร่าร้อนขึ้นทั้งตัว จึงบอกแก่ลูกศิษย์ว่าอยากจะอาบน้ำและดื่มน้ำ จงวางเตียงลง พระเทวทัตก็ลุกขึ้นนั่ง หย่อนเท้าทั้งสองลงไปจดแผ่นดิน แผ่นดินก็แยกออกเป็นช่องสูบตัวพระเทวทัตลงไปจนถึงคอ พระเทวทัตระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า จึงกล่าวขอขมาโทษและขอยึดพระพุทธองค์ว่าเป็นสรณะที่พึ่งอันประเสริฐต่อไป กล่าวแล้วก็ถูกแผ่นดินสูบจมหายลงไปสู่อเวจีมหานรก....
******
ภิกษุทั้งหลาย กราบทูลถามพระศาสดาว่า
พระเทวทัตเมื่อถูกธรณีสูบแล้วไปเกิดอยู่ ณ ที่ใด พระศาสดาตรัสว่า ในอเวจีมหานรก
เมื่อพระภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า พระเทวทัตเดือดร้อนในโลกนี้
จะไปเกิดในที่เดือดร้อนในโลกหน้าอีกหรือไม่ พระศาสดาตรัสว่า “เป็นอย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย ชนทั้งหลาย จะเป็นบรรพชิตก็ตาม คฤหัสถ์ก็ตาม
มีปกติอยู่ด้วยความประมาท ย่อมเดือดร้อนในโลกทั้งสองทีเดียว”......
******
(จาก หนังสือตามรอยพระบาทพระศาสดา
ศึกษาพุทธประวัติจากสังเวชนียสถาน)
******
พระเจ้าสุปปพุทธะ
ตอบลบพระเจ้าสุปปพุทธะเป็นกษัตริย์โกลิยะวงศ์เป็นพระราชบิดาของพระเทวทัต เมื่อทราบว่าพระเทวทัตถูกธรณีสูบ ลงมหาอเวจีนรกก็มิสำนึกในบาปบุญคุณโทษ กลับมีจิตอาฆาตพยาบาทพระพุทธองค์ เพราะนอกจากจะทำให้พระเทวทัตต้องธรณีสูบ พระพุทธองค์ยังทำให้เจ้าหญิงยโสธราธิดาของพระเจ้าสุปปพุทธะเป็นหม้าย จึงกลั่นแกล้งพระพุทธองค์ด้วยการเกณฑ์อำมาตย์ข้าราชบริพารไปนั่งเสพเมรัยขวางทางที่พระพุทธองค์จะออกบิณฑบาตโปรดเวไนยสัตว์ ซึ่งทางนั้นมีเพียงทางเดียวเท่านั้นที่พระพุทธองค์จะทรงเสด็จดำเนินไปได้ เมื่อเสด็จดำเนินผ่านไม่ได้เพราะพระเจ้าสุปปพุทธะกับบริวารขวางอยู่วันนั้น พระพุทธองค์ทรงอดพระกระยาหาร ๑ วัน พระอานนท์จึงทูลถามอยากจะทราบโทษของพระเจ้าสุปปพุทธะ พระพุทธองค์จึงทรงได้มีพุทธฎีกาตรัสว่า “ อานันทะดูก่อนอานนท์ หลังจากนี้ไปนับได้ ๗ วัน พระเจ้าสุปปพุทธะจะลงอเวจีตามเทวทัตไป ”
เมื่อบริวารของพระเจ้าสุปปพุทธะกลับไปถวายรายงาน พระเจ้าสุปปพุทธะก็มีจิตต้องการให้พุทธฎีกาของพระพุทธองค์มิเป็นความจริง จึงขึ้นประทับ ณ ปราสาท ๗ ชั้น แต่ละชั้นมีนายทวารป้องกันแข็งขัน ทรงตรัสกับนายทวารที่มีร่างกายกำยำนั้นว่า “ ในระหว่าง ๗ วันนี้ ถ้าฉันลงมาละก็ พวกเธอจงขัดขวางเอาไว้ไม่มีใครทำโทษ ” โดยประกาศต่ออำมาตย์ ข้าราชบริพาร และพระบรมวงศานุวงศ์ไว้ดังนั้น เพื่อมิให้นายทวารทั้งหลายต้องโทษ จนกระทั่งถึงวันที่ ๗ วันนั้นปรากฏว่า ม้าแก้ว ซึ่งเป็นม้าทรงศึกที่พระเจ้าสุปปพุทธะโปรดปราน อาละวาดกระทืบโรง ร้องเสียงดังมาก พระเจ้าสุปปพุทธะเกิดเป็นห่วงม้า ด้วยอาการขาดสติจึงทรงลงจากปราสาทชั้น ๗ แต่ปรากฏว่านายทวารมิได้ขัดขวาง ด้วยคิดว่าเลยครบกำหนด ๗ วันแล้ว พอพระเจ้าสุปปพุทธะย่างพระบาทเหยียบแผ่นดิน ก็ถูกพระธรณีสูบหายไปสู่มหานรกอเวจี ตรงตามพุทธะฎีกาที่ตรัสไว้แก่พระอานนท์
(จาก http://www.kanlayanatam.com/sara/sara60.htm)