ธรรมทาน..🙏..หลักสำคัญ ๔ ประการ ในการปฏิบัติต่อความทุกข์และความสุข💕😷
วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2564
ความสุขที่สมบูรณ์
อย่าคบคนพาล
อะเสวะนา จะ พาลานัง อย่าคบคนพาล
๒๙ พฤษภาคม ๒๕๖๔
คนพาลมีลักษณะเด่นอยู่ ๓ ประการ คือ
๑. ชอบคิดชั่ว เช่น ละโมบอยากได้ของคนอื่น
๒. ชอบพูดชั่ว พยาบาทปองร้ายผู้อื่น
๓. ชอบประพฤติชั่ว สร้างความเดือดร้อน รำคาญให้แก่ผู้อื่น
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร ว่าใครเป็นคนพาล รู้ได้จากพฤติกรรม ดังนี้
๑. ชอบชักนำในทางที่ผิดจากความเป็นจริง และมักเป็นคนเห็นแก่ตัว
๒. ชอบยุให้เขาแตกแยกและมีนิสัยอิจฉา ใจคอคับแคบ
๓. ชอบทำ พูด คิด แต่เรื่องชั่วร้าย แต่ตนกลับคิดเห็นว่าเป็นเรื่องดี
๔. ชอบเสแสร้งสร้างภาพให้ดูดี แต่แท้จริงแล้วจิตใจโสมม มักมาก ทะยานอยาก
๕. ชอบทำตนให้ละเมิดกฎเกณฑ์ กติกา ระเบียบ วินัย โดยคิดว่าเท่
๖. ชอบสร้างปัญหาให้แก่คนรอบข้าง และตัวเองอย่างโง่เขลา
๗. ไม่เชื่อในอะไรทั้งนั้น จะเชื่อก็แต่ตัวเอง แม้ที่สุดก็จะไม่เชื่อผลที่เกิดจากการกระทำของตน
เมื่อรักที่จะเป็นคนพาล ผลที่จะได้รับมีอยู่ ๘ อย่าง คือ
๑. มีมิจฉาทิฐิ เห็นผิดจากทำนองคลองธรรม ชอบสร้างปัญหาและก่อเวร
๒. เสื่อมเสียชื่อเสียง สร้างความอับอายให้แก่วงศ์ตระกูล
๓. เป็นที่เกลียดชังของผู้มีปัญญา
๔. ขาดความน่าเชื่อถือ ไม่มีคนนับญาติ
๕. ภัยทั้งปวงจะหลั่งไหล ถาโถมเข้ามาใส่ตัว
๖. ทำลายประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
๗. ทำลายตน ทำร้ายวงศ์ตระกูล
๘. มีทุคติเป็นที่ไป
หากใครชอบใจที่จะเป็นคนพาลก็เชิญ
พุทธะอิสระ
--------------------------------------------------
Do not associate with rascals.
May 29, 2021
Rascals have three major characteristics.
1. They have negative thoughts such as they want belongings of other people.
2. They speak negatively and are vindictive towards others.
3. They have poor behaviors which cause problems and disturbance to others.
How can we tell who is rascal? We can tell from following behaviors.
1. They usually mislead others and distort facts. They are usually selfish.
2. They like to provoke people’s fights. They are usually jealous and narrow-minded.
3. They normally do, say, and think negatively, but they themselves that they are doing good.
4. They like to build good image, but their minds are dirty, greedy, and grasping.
5. They like to violate rules, regulations, and disciplines and think that such behavior is cool.
6. They foolishly cause problems to other people and themselves.
7. They don’t believe in anything. They believe only in themselves, although they don’t believe outcomes of their own deeds.
When they like to be rascals, there are eight outcomes as follows.
1. They have wrong views and view things contrary to morality. They normally cause problems and enmity.
2. They cause disgrace and shame to their family.
3. The wise find them disgusting.
4. They are not trustworthy. No one want to be associated with them.
5. All kinds of peril come to them.
6. They destroy their own and others’ benefits, both in this life and next life.
7. They have destroyed themselves and their families.
8. After death, they will have woeful existences.
If anybody want to be rascals, it is your own choice.
Buddha Isara
*******
Cr. Facebook เพจ Buddha Isara
วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2564
อ่านใจธรรมชาติ (ความอยาก)
วันพุธที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2564
วันอาภากร
วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2564
ความเงียบที่น่ายกย่อง
"ความเงียบที่น่ายกย่อง"
"เบื้องหลังของความเงียบ
มันประกอบไปด้วยความอบอุ่นและความน่ายกย่อง
จากประสบการณ์ที่ได้สัมผัสด้วยตัวเราเองในประเทศเยอรมัน"
ในตอนเย็นวันหนึ่งของฤดูหนาว
เรากำลังเข้าแถวรอรถประจำทาง
มีคนรออยู่ในแถวห้าหกคน
ทุกคนล้วนยืนรอด้วยความสงบและเป็นระเบียบ
ในเวลาเดียวกัน มีคนจูงสุนัขเดินมาแต่ไกล
พอทั้งคู่เดินใกล้เข้ามา
ภาพที่ได้เห็นคือ
ชายหนุ่มสูงใหญ่ หลังตรงงามสง่า
มีสุนัขที่เดินนำหน้า เป็นสุนัขที่ถูกฝึกมาเป็นพิเศษ
มันถูกฝึกมาสำหรับคนพิการทางสายตาโดยเฉพาะ
สังเกตเห็นได้จากสายรัดคอของสุนัข
เป็นสายรัดที่มีสัญลักษณ์โดยเฉพาะ
เขาเป็นชายหนุ่มที่พิการทางสายตา
ชายหนุ่มค่อยๆเดินตรงมายังป้ายรถประจำทาง
แล้วก็หยุดยืนอยู่ห่างจากแถวพวกเราเล็กน้อย
ไม่มีใครทักทายให้เสียงกับชายหนุ่มคนนั้น
เรากำลังคิดจะเดินไปนำพาเขามาเข้าแถว
แต่คุณผู้ชายวัยกลางคนที่อยู่หัวแถว
รีบเก็บพับหนังสือเล่มที่กำลังอ่าน
แล้วเดินตรงไปยืนอยู่หลังชายหนุ่ม
คนอื่นๆที่อยู่ในแถว ก็ทยอยเดินไปต่อแถวกันใหม่
ไม่มีเสียงแม้แต่นิดเดียว
หญิงสาวผมสั้นสีแดงที่ยืนติดกับเรา
มองหน้าสุนัขอย่างครุ่นคิด
คงเกรงว่ากลิ่นบุหรี่จะไปรบกวนโสตประสาทการดมกลิ่นของสุนัข
เธอลังเลอยู่แป๊บหนึ่ง
ก่อนจะดับบุหรี่ที่เพิ่งจุด
แล้วก็เดินตามกันไปต่อแถวใหม่
แถวใหม่เกิดขึ้นอย่างเรียบร้อย
เป็นแถวที่ชายหนุ่มกับสุนัขของเขาอยู่หัวแถว
เป็นการร่วมกันกระทำของกลุ่มคนแปลกหน้า
เป็นการกระทำที่ไม่ได้นัดแนะ
เป็นการกระทำที่ไม่ต้องใช้เสียง
ทุกคนทำเหมือนเป็นหน้าที่
เรารู้สึกทึ่งอย่างบอกไม่ถูก
ทุกคนยังคงรอคอยด้วยความเงียบสงบ
แล้วรถประจำทางก็มาถึง
"รอสักครู่ ผมจะลงไปรับ......"
พนักงานขับรถกำลังขยับตัวจะลุกจากที่นั่งคนขับ
"ขอบคุณครับ ไม่ต้องรบกวนหรอกครับ"
ชายหนุ่มรีบปฏิเสธด้วยน้ำเสียงสุภาพ
ภายใต้การนำของสุนัขฝึกหัดตัวนั้น
ทั้งสองค่อยๆก้าวขึ้นรถไป
เวลานั้นเป็นเวลาหลังเลิกงาน
ผู้โดยสารก็เต็มคันรถอยู่แล้ว
แต่พอชายหนุ่มกำลังก้าวขึ้นรถ
ทุกคนรีบขยับตัวถอยร่นไปข้างหลัง
ทำให้มีพื้นที่ว่างที่บริเวณทางขึ้นทันที
ที่นั่งหลังคนขับ
มีเด็กผู้ชายอายุ 6-7 ขวบนั่งอยู่
คุณแม่รีบสะกิดลูกชายให้ลุกขึ้น
เพื่อสละที่นั่งให้ชายหนุ่ม
การกระทำที่ค่อนข้างกระทันหันของคุณแม่
ไม่ได้ทำให้เด็กผู้ชายงอแง
หนูน้อยรีบลุกขึ้นด้วยความเต็มใจ
สุนัขเห็นมีที่นั่งว่างอยู่
จึงนำพาเจ้าของเดินไปยังที่นั่ง
ส่วนตัวสุนัขเองก็นั่งตัวตรงอยู่ข้างๆบนทางเดิน
เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น
ชายหนุ่มไม่มีสิทธิ์ได้รับรู้ใดๆทั้งสิ้น
"สวัสดีครับ จะไปลงรถที่ไหนครับ"
"สวัสดีครับ ผมจะไปถนนมอร์ครับ"
"พะยะค่ะ ฝ่าบาท......"
ทุกคนหัวเราะในคำหยอกล้อด้วยอารมณ์ขันของคนขับ
แล้วรถประจำทางก็นำพาผู้คนเดินทางต่อไปด้วยบรรยากาศของความสดใส
ทุกคนบนรถเฝ้าสังเกตดูท่าทีอันสง่างามของสุนัข
แม้เวลาเลี้ยวรถ
สุนัขก็จะพยายามเอี้ยวตัวเพื่อรักษาการทรงตัวของตน
สายตาเพ่งมองไปข้างหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ
คงแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับสุนัขที่เลี้ยงดูกันตามบ้าน
ไม่มีใครคิดจะยื่นมือไปลูบหัวสุนัข
ไม่มีใครนำเอามือถือออกมาถ่ายรูป
เด็กน้อยที่คิดจะยื่นขนมปังครึ่งชิ้นที่เหลืออยู่ในมือไปป้อนเขา
ก็ถูกคุณแม่ดึงมือกลับ
กระซิบข้างหูเด็กน้อยแบบเบาๆ
"เขากำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ มีงานต้องรับผิดชอบ อย่าไปรบกวน"
พอได้ยินคำว่า "ปฏิบัติหน้าที่"
เด็กน้อยพยักหน้าด้วยความเข้าใจ
เมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆ
ไม่นานนักก็มาถึงจุดหมาย
เมื่ออำลากับคนขับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็ก้าวลงจากรถไป
ภายใต้การนำทางของสุนัขฝึกของเขา
รถประจำทางเดินทางต่อไป
แต่ความเงียบสงบยังคงครอบครองอยู่เต็มคันรถ
เราได้รับรู้ถึงความรักและความห่วงใยที่เกิดขึ้นภายใต้ความเงียบ
เป็นความน่ายกย่องที่รับรู้ได้ด้วยความรู้สึก
ภายนอกรถ ลมหนาวเย็นยะเยือก
แต่ภายในใจ เต็มไปด้วยความอบอุ่น
เรื่องราวที่น่าประทับใจนี้
คงไม่ใช่เพียงเพราะผู้คนเดินไปต่อแถวใหม่หลังชายหนุ่ม
คงไม่ใช่เพียงเพราะผู้คนรีบขยับถอยร่นให้มีพื้นที่ว่างเกิดขึ้น
และก็ไม่ใช่เพียงเพราะเด็กน้อยสละที่นั่งให้
แต่สิ่งที่น่าประทับใจที่สุดคือ
เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น
เป็นการกระทำที่ไร้เสียงแบบน่ายกย่องที่สุด
ความรัก ความห่วงใย ความเอื้ออาทรที่มีให้กับผู้อื่น
ไม่มีความจำเป็นต้องไปป่าวประกาศ
ไปเที่ยวบอกให้ผู้คนรับรู้ว่า
"พวกเรารักคุณ ห่วงใยคุณ"
บางเวลา
รักหรือห่วงใย ก็เป็นเรื่องเรียบๆง่ายๆ
แต่เป็นสิ่งที่เราสัมผัสได้ด้วยด้วยใจ ด้วยความรู้สึก
ความก้าวหน้าของประเทศ
คงไม่ได้วัดกันด้วยสภาพทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว
แต่ยังมีวัฒนธรรมของสังคม
ที่จะช่วยชี้วัดความน่ายกย่องด้านจิตวิญญาณ.......
จิตวิญญาณอันสูงส่งของมวลมนุษยชาตินั้นๆ
ขจรศักดิ์ แปลและเรียบเรียง
Cr. FB ภูษิต ไล้ทอง
https://www.facebook.com/344628519049864/posts/1039942982851744/
วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2564
วันพุธที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2564
โควิด สายพันธ์ไทย(ฮา)
วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2564
สิ่งที่พระพุทธเจ้าทำไม่ได้
Cr. Fwd line
วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2564
วิธีสอนคน...
Cr. Fwd line
(แปล)
..ชายชราพบกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ถามว่า..
" ลุงจำผมได้ไหมครับ "
ผู้เฒ่าตอบปฏิเสธไป เด็กหนุ่มจึงบอกว่า เขาเคยเป็นลูกศิษย์..ต่อมาผู้เป็นครูจึงถามกลับไปว่า
" เธอทำมาหากินอะไรหรือพ่อหนุ่ม "
" เอ้อ..ผมเป็นครูครับ "
" ไม่เลวนะ เหมือนครูเลยหรือ.."
" ใช่ครับ..อันที่จริง ผมเลือกอาชีพครู เพราะคุณครูเป็นแรงบันดาลใจให้ผมเป็นเหมือนคุณครูครับ "
ชายชรารู้สึกฉงน จึงถามลูกศิษย์ว่า เธอตัดสินใจเลือกอาชีพครูตอนไหน เด็กหนุ่มคนนั้นจึงเริ่มเล่าเรื่องดังต่อไปนี้...
"...วันหนึ่ง เพื่อนร่วมชั้นของผมสวมนาฬิกาเรือนใหม่เอี่ยมมาโรงเรียน..ผมจึงอยากได้ขึ้นมาทันที..
ผมขโมยนาฬิกาด้วยการล้วงกระเป๋าของเพื่อน
ต่อมาไม่นาน เพื่อนคนนั้นก็รู้ว่า นาฬิกาของเขาหายไป จึงฟ้องครูทันที ซึ่งก็คือคุณครูนั่นแหละ..
สักพัก คุณครูก็พูดกับนักเรียนในชั้นว่า นาฬิกาของนักเรียนคนนี้ถูกขโมยไปในชั้นเรียนวันนี้ ใครที่เอาไป ช่วยเอามาคืนด้วย..
ผมไม่คืนเพราะไม่อยากจะคืน
คุณครูเดินไปปิดประตูห้อง แล้วบอกให้นักเรียนทั้งหมด ยื่นล้อมกันเป็นวงกลม..
คุณครูเริ่มล้วงเข้าไปในกระเป๋าของนักเรียนทุกคน จนพบนาฬิกา..โดยคุณครูขอให้ทุกคนหลับตา เพราะสิ่งคุณครูต้องการหา คือนาฬิกาเท่านั้น..
พวกเราทำตามโดยดุษฎี..
คุณครูเอามือล้วงกระเป๋าของนักเรียนทีละคน..จนมาถึงกระเป๋าผม ซึ่งคุณครูก็เก็บนาฬิกาไป แต่ก็ค้นจนครบทุกคน เมื่อค้นเสร็จ คุณครูก็บอกให้นักเรียนลืมตาขึ้น และแจ้งว่า พบนาฬิกาแล้ว...
คุณครูไม่เคยเปิดเผยความลับนี้ของผม ไม่เคยเอ่ยถึงเหตุการณ์นี้อีกเลย..คุณครูไม่เคยพูดเลยว่า ใครเป็นคนขโมย...วันนั้นคือ วันที่คุณครูช่วยปกป้องเกียรติยศของผมไปตลอดกาลและเป็นวันที่น่าอับอายที่สุดในชีวิตของผม..
และวันนั้นเอง เป็นวันที่ตัดสินใจเลิกที่จะเป็นขโมยหรือคนไม่ดีแบบนั้น..คุณครูไม่เคยพูดอะไรในเรื่องนี้ ไม่เคยดุด่าผม และไม่ดึงผมไปสอนบทเรียนอะไรในเรื่องนี้เลย..
ผมได้เรียนรู้เรื่องนี้จากคุณครูอย่างแจ่มชัด..
ผมขอขอบพระคุณคุณครูมากครับ ผมได้รู้แล้วว่า คนที่สอนคนควรจะต้องปฏิบัติตนอย่างไร..
คุณครูจำเรื่องนี้ได้ไหมครับ
ครูเฒ่าตอบว่า..ครูจำได้เรื่องที่มีคนขโมยนาฬิกาและครูได้ค้นกระเป๋าของนักเรียนทุกคน..แต่ครูจำไม่ได้หรอกว่าเป็นเธอ เพราะตอนที่ค้น ครูก็หลับตาเช่นเดียวกัน..
..นี่คือ แก่นสารของการสอนคน...
ถ้าครูต้องปรามเธอ โดยทำให้เธอต้องอับอาย..นั่นคงแสดงว่า..ไม่รู้วิธีสอนคน...