วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ภาวนา...


คุยกันวันนี้
————-

เข้าใจกันมาว่า…รู้กันมาว่า
ถูกสอนกันมาว่า…เชื่อกันมาว่า…
ศึกษากันมาว่า…ฟังกันมาว่า…
แล้วก็ทำตามๆกันมา…แล้วก็สอนต่อๆกันมา…
นี่คือระบบการภาวนาที่ทำกันอยู่
ปฏิบัติกันอยู่ส่วนมากในโลกแห่งการภาวนา

ได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง
ต่างพากันก้มหน้าก้มตาทำกันไป
อ้างคัมภีร์ อ้างตำรา อ้างครูอาจารย์
สอนกันไป ผิดทาง ถูกทางไม่รู้ ทำจนเป็นรูปแบบ
ทำจนเกิดเป็นลัทธิวิธีการ จนเป็นแบบยึด
แบบนั่น แบบนี่ สายนั่น สายนี่เต็มไปหมด

นักภาวนาทุกคนที่ลงมือปฏิบัติตาม
ต่างก็รอคอยวันสว่างไสว วันสำเร็จ
ต่างรอคอยวันหมดกิเลส สิ้นกิเลส
ต่างรอคอยวันได้ดวงตาเห็นธรรม
ต่างรอผลที่จะเกิดขึ้นจากการภาวนา
ตามความรู้ ความเข้าใจที่ตนเข้าใจมา
และครูอาจารย์บอกไว้

ออกจากสำนักโน้น ไปสำนักนี่
ออกจากสำนักนั่น มาสำนักนี่
ร้อยอาจารย์ ร้อยวิธี
บางคนทำมาทั้งชีวิต รอทั้งชีวิต
ก็ยังดับทุกข์ในใจไม่ได้
จบไม่ได้ วางไม่ได้ ปลงไม่เป็น
อยู่สังคมไหนวุ่นวายสังคมนั้น
อยู่ในโลกอย่างอึดอัด ขัดข้อง

การภาวนามันไม่ใช่เป็นแบบการหุงข้าว
ไม่ใช่การศึกษาเล่าเรียนเอาวุฒิการศึกษา
ไม่ใช่การปลูกพืช ที่จะต้องรอผลนานขนาดนั้น
มันไม่ใช่เป็นการทำเพื่อเอา 
ทำเพื่อได้โน่น ได้นี่ ได้นั่น
เห็นโน่นนี่นั่น วิเศษวิโสเป็นเจ้าลัทธิ

ขอร้องอย่าเข้าใจเรื่องการภาวนา
ในทางที่ผิดแบบนั้นเลย

การทำภาวนานั้นทำเดี๋ยวนี้
มันก็ได้ผลเดี๋ยวนี้
เห็นผลเดี๋ยวนี้ทันทีไม่ต้องรอ

มันจบ มันวาง มันปลง
ไปในตัวมันเองทุกขณะอยู่แล้ว อยู่แล้ว

การเห็นความจริง เช่นเห็นความไม่เที่ยง
เห็นความเป็นทุกข์ เห็นอารมณ์ต่างๆเกิดขึ้น
ตั้งอยู่ ดับไปต้องรอด้วยเหรอ

ก็มันเห็นอยู่ในขณะภาวนา
เห็นในแต่ละขณะ แต่ละขณะอยู่แล้ว

เห็นแค่นั้นก็พอแล้ว จะเอาอะไรอีก
แต่ขอแค่ให้เห็นไปเรื่อยๆ ให้เห็นต่อเนื่อง
เห็นสักแต่ว่าเห็น เห็นทิ้ง เห็นวางก็พอ

อย่าทำภาวนากันแบบตัณหาภาวน
คือ มีแต่ความอยากซ้อนความอยาก
ยึดซ้อนยึด เอาซ้อนเอา อยากเห็นนั่นเห็นนี่

หนักและเหนื่อยถ้าทำแบบนี้

ถ้าเราลองมาทำภาวนาแบบฉันทะภาวนา
คือ ทำแบบให้พอใจในขณะที่กำลังทำอยู่
จบ วาง ปลงทุกลมหายใจ ทุกอริยาบท
ทำความพอใจไปเรื่อยๆ
เอาฉันทะอิทธิบาทเป็นฐาน
มันจะไม่เหนื่อย มันไม่หนัก

เพราะมันเห็นการจบในตัวมัน มันวางในตัวมัน
มันปลงในตัวมัน มันอิสระในตัวมัน ไม่ต้องรอ
ตื่นรู้ทุกขณะที่กำลังภาวนาของมันอยู่แล้ว ๆ

ไม่ต้องไปทำอะไร ไม่ต้องไปบังคับมัน
ไม่ต้องรอ ไม่ต้องอยาก

หายใจเข้าออก และหยุดก็เห็น
การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

อารมณ์อะไรเกิดขึ้นมาก็เห็น
การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปตามความเป็นจริง

สมมติใช้ บัญญัติใช้ไปก่อน
ให้มันตรงตามความเป็นจริงที่มันเป็นอยู่

ขอแค่ให้รู้วิธีทำ
และทำให้ถูกวิธี
มีความเข้าใจให้ถูกต้อง ให้ชัดเจน
ผลย่อมเกิดขึ้นกับเราทันที

การภาวนาจึงจะเป็นเรื่องสบา
เป็นเรื่องง่าย ไม่ทรมาน ไม่หนักไม่เหนื่อย

การภาวนามันเป็นเรื่อง
ของความปลอดโปร่งโล่งใจ
สว่างไสวคลี่คลาย เบากาย เบาจิต
คิดวาง เห็นวาง รู้วาง
ไร้ตัวไร้ตน ไร้อกุศลครอบงำ
อิสระทุกอารมณ์ ไม่ขัดข้อง ไม่ข้องคา
ทุกสภาวะจิต ทุกสภาวะธรรม

ถ้าทรมาน ถ้ายาก ถ้าลำบาก
รู้สึกเหนื่อย รู้สึกหนัก ไม่อยากทำ มันเบื่อ
นั่นไม่ใช่การภาวนาแล้ว

อาการแบบนั้นเรียกว่าตัณหาภาวนา
เป็นการทำเพื่อเอา เพื่อยึด เพื่ออยาก
เพื่อตัณหา เพิ่มวิบากให้กับจิตใจตนเอง

สรุปผลออกมาก็จะได้แต่ทิฏฐิมานะ งมงาย
ยึดกับยึด อยากกับอยาก
หงุดหงิดง่าย โทสะง่าย ปฏิฆะง่าย
อวดดี อวดรู้ไปทุกภพทุกภูมิ

ลองคิดดูดีๆว่า
พระพุทธเจ้า พระองค์ทรงเป็นศาสดาเอกของโลก
เป็นครูของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย
ทรงฉลาดในการสอนที่สุดในโลกทั้งสาม

เป็นไปได้หรือ ที่พระองค์จะทรงสอนธรรมะ
ของพระองค์ให้เป็นเรื่องยาก
จนมนุษย์รู้ไม่ได้ ทำไม่ได้ เข้าใจไม่ได้

พระองค์จะต้องสอนให้เป็นเรื่องง่ายที่สุด
ในทุกๆเรื่องอย่างแน่นอน

ลองใช้ปัญญาสังเกตดู พิจารณาดู
ทำดู ทดลองดู พิสูจน์ดู
แล้วจะรู้เอง เห็นเอง เข้าใจได้เองว่า
พระองค์ทรงสอนให้เข้าใจง่ายที่สุดแล้ว
ในทุกๆเรื่องอยู่แล้ว

"หงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด 
บอกทางแก่คนหลงทาง 
ส่องประทีปในที่มืด"
นี่คือ พระปัญญาธิคุณของพระองค์
หน้าที่ของพระองค์

ที่มันยุ่งยาก ก็เพราะพวกเราพากัน
มาทำให้มันยากกันเอง ยุ่งกันเอง
จนจับต้นชนปลายไม่ถูก
โดยเฉพาะเรื่อง การภาวนา ฯ

วัดพระมหาชนก บ้านพลังเพียร
10.11.2018
.........................................
จาก Facebook :วัดพระมหาชนก-บ้านพลังเพียร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น