********
พระพุทธเจ้า:มนุษย์ผู้รู้จบโลก
คำว่า ผู้ตรัสรู้ เป็นคำที่เข้าใจกันโดยทั่วไปว่า หมายถึง พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นผู้มีพระปัญญาอย่างสูงสุด และตามที่เข้าใจกัน จะเรียกว่าตรัสรู้ได้ก็ต้องเป็นความรู้จริงแท้ถูกต้องทั้งหมด ถ้อยคำของท่านผู้ตรัสรู้ก็ต้องเป็นถ้อยคำที่จริงแท้ถูกต้องทั้งหมดเช่นเดียวกัน เช่นว่า ในเรื่องที่เกี่ยวกับกาลเวลาก็รู้หมด ทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบัน รู้เหตุรู้ผลทั้งสายเกิดสายดับ และรู้ตลอดถึงส่วนที่พ้นจากกาลเวลา หรือจะยกโลกขึ้นเป็นที่ตั้ง ก็เป็นผู้รู้โลก ตลอดถึงรู้ส่วนที่พ้นโลก เหนือโลก ฉะนั้น คำว่า ผู้ตรัสรู้ จึงเป็นคำที่ลึกซึ้งกว้างขวางไม่อาจจะนิยามให้สมบูรณ์ได้
เพื่อที่จะให้เห็นความถนัดขึ้น ก็น่าจะลองตรวจดูถึงความรู้ของบุคคลโดยทั่ว ๆไป
ลองตั้งคำถามดูว่า รู้อะไร ?
ก็ต้องตอบว่า รู้วิชาต่างๆ ตามที่เรียน ตามที่ฝึกฝนในสมัยวิทยาศาสตร์นี้ ก็รู้เหตุผลทั้งกฏเกณฑ์ต่าง ๆ แห่งปรากฏการณ์ของธรรมชาติ เป็นต้น อาจบำบัดแก้ไขหรือประดิษฐ์สิ่งต่าง ๆ ขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ อาจรู้อดีต อนาคต ปัจจุบัน ของวัตถุหรือของโลกในทางวัตถุ แต่ถ้าจะย้อนเข้ามาถามว่า รู้หรือไม่ว่า
ตัวเราเองคืออะไร ?
เป็นอะไรมาแล้ว ?
กำลังเป็นอะไรอยู่ ? และ
จักเป็นอะไรต่อไป ?
มีใครบ้างรู้ได้ ในส่วนอดีตอาจรู้ตั้งแต่จำความได้และเฉพาะที่จำได้ นอกจากนั้นก็ไม่รู้ ในปัจจุบันเรากำลังเป็นอะไรอยู่ ก็อาจจะรู้ตามที่เราเข้าใจ
แต่ถ้าถามว่า ความรู้ของเราถูกต้องหรือไม่ ? ก็จะคิดสงสัย ถึงความรู้ในอดีตที่เข้าใจว่ารู้ก็เช่นเดียวกัน ยิ่งในส่วนที่เป็นอนาคตก็อาจจะไม่รู้เลย เช่นว่า พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร แต่ทุก ๆคน อาจคิดว่ารู้ เพราะได้กำหนดว่าจะทำนั่นทำนี่ไปตามปกติธรรมดา ซึ่งเป็นเพียงกำหนดไว้เท่านั้น แต่จะเป็นจริงแน่นอนอย่างนั้นหรือไม่ เป็นเรื่องของอนาคต
ฉะนั้น ที่เข้าใจกันว่า รู้ หรือว่า รู้มาก เมื่อคิดดูแล้วก็อาจจะไม่รู้เลยหรือรู้น้อยที่สุด จึงปรากฏว่า ได้มีคนที่มีความคิดหลักแหลมหลายคน ซึ่งเป็นที่นับถือกันว่าเป็นนักปราชญ์กล่าวว่า ตัวเขาเองยิ่งรู้สึกว่าไม่รู้ แต่คนเป็นอันมากก็นับถือว่าเขาเป็นผู้รู้ ก็น่าจะตรงกับคำที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ แปลความว่า " ผู้ใดเป็นคนเขลา รู้จักตนว่าเป็นคนเขลา ผู้นั้นเป็นบัณฑิตได้บ้าง เพราะรู้จักตนเอง "
พระพุทธเจ้าทรงเป็นศาสดาเอกในโลก มีบุคคลซึ่งได้รับแสงสว่างจากพระองค์กล่าวสรรเสริญว่า เหมือนทรงชูประทีปในที่มืด เพื่อผู้มีจักษุจักได้มองเห็นรูปทั้งหลาย ข้อนี้บ่งว่าพระองค์เป็นผู้ตรัสรู้ เพราะได้ทรงแสดงธรรมให้ผู้อื่นรู้แจ้งเห็นจริงได้ แต่ว่าใครเล่าจักหยั่งถึงความตรัสรู้ของพระองค์ เพราะได้รับแสงธรรมจากพระองค์เพียงใด ก็รู้ได้เพียงเท่านั้น เหมือนอย่างคนตกลงในมหาสมุทร ก็รู้สึกว่ามหาสมุทรลึกเท่าที่ตัวตกลงไปเท่านั้น
ความตรัสรู้ กับ ความรู้ธรรมดา ต่างกันอย่างไร ?
อาจเทียบกันได้อีกอย่างหนึ่ง ความรู้ที่ทุก ๆ คนรู้กันอยู่นี้ เริ่มด้วยรู้ทางตา หู เป็นต้น ถ้าจะถามว่าตาหูของเรารายงานให้เรารู้อะไรได้ถูกต้องหรือไม่ ก็ต้องตอบได้ว่า ไม่ถูกต้องทีเดียว เหมือนอย่างตามมองดูทางรถไฟ จะมองเห็นเล็กลงทุกที จนถึงรวมเป็นเส้นเดียวกันในที่สุด ความจริงเป็นดังที่ตาเห็นนั้นหรือไม่ ? ทุกคนย่อมตอบได้ ฉะนั้นถ้าใครเชื่อตาหูก็ย่อมจะผิดพลาด แต่ปรากฏว่า โดยมากยังเชื่อตาหู หรือว่าเชื่อตามความรู้ทางตาหูอยู่เป็นปกติ ดังที่ทุก ๆ คนก็ย่อมรู้สึกว่า ยังพากันชอบหรือชังในสิ่งที่ตาเห็น ในเสียงที่หูได้ยินอยู่นั่นแหละ ทั้งที่พอจะทราบว่า โดยที่แท้เป็นมายา ไม่ใช่เป็นตัวสัจจะ คือความจริง แต่ความรู้นี้ก็เป็นเพียงหลักทฤษฎีที่จำมาตามสัญญาเท่านั้น ยังไม่เป็น ญาณที่หยั่งถึงสัจจะ
มีผู้เขียนเล่าไว้ว่า นักศึกษาผู้หนึ่งถาม ไอน์สไตน์ ว่า ต้นไม้นั่น(ชี้มือไปที่ต้นไม้) ว่ามีหรือไม่ ?
ไอน์สไตน์ตอบว่า ไม่มี
นักศึกษาถามว่า จะเข้าใจได้อย่างไร
ไอน์สไตห์ตอบว่า ให้หมั่นนึกคิดอยู่เสมอ จะแล่นเข้าไปถึง(penetrate) ได้เอง
ญาณคือความหยั่งรู้ (intuitive insight) มิใช่เกิดจากการคำนาณ(mathematic) แต่ต้องอาศัยความรู้แจ้งแทงตลอดอันตรงกับคำว่า ปฏิเวธ หรือ penetration
การมองเห็นอะไรของผู้ทรงความรู้ แม้ในทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบันของคนทั่วไปย่อมต่างกัน พระพุทธเจ้ายิ่งทรงต่างไปอีกมาก เพราะได้ทรงเป็นผู้สิ้นกิเลส จึงทรงมีพระปัญญาจักษุอันแจ่มใส ซึ่งคนที่ยังมีกิเลสเทียบไม่ได้เลย
********
(จากหนังสือ โลกและชีวิตในพุทธธรรม พระนิพนธ์ของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น