.....ท่านแสดงถึงญาณคือความหยั่งรู้ของพระพุทธเจ้าในราตรีที่ตรัสรู้
คือตั้งแต่ก่อนตรัสรู้ ทรงได้พระญาณ ๓ โดยลำดับ
ในปฐมยามทรงได้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
ความรู้ระลึกขันธ์เป็นที่อาศัยอยู่ในปางก่อนได้ คือระลึกชาติหนหลังได้
ทรงระลึกชาติหนหลังได้ไปมากมาย พร้อมทั้งความเป็นไปในชาตินั้นๆ ตลอดจนถึงชื่อโคตร
สุขทุกข์ทั้งหลายเป็นต้นในชาตินั้นๆ ทรงระลึกได้สืบต่อกันมาโดยลำดับ จากชาตินั้น
ก็มาสู่ชาตินั้น มาสู่ชาตินั้น เรื่อยมาจนถึงสู่ชาติปัจจุบัน
และก็ย้อนหลังไปได้มากมาย ในมัชฌิมยามทรงได้จุตูปปาตญาณ
คือความรู้ในจุติความเคลื่อน อุปบัติเข้าถึง ชาตินั้นๆ ของสัตว์ทั้งหลาย
ว่าเป็นไปตามกรรม ทำกรรมชั่วไว้ก็ไปสู่ชาติที่ชั่วมีทุกข์
ทำกรรมดีไว้ก็ไปสู่ชาติที่ดีมีสุข ในปัจฉิมยามทรงได้อาสวักขยญาณ
ความรู้เป็นเหตุสิ้นอาสวะ คือกิเลสที่ดองจิตสันดานทั้งหลาย
ก็คือทรงหยั่งรู้ในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ อวิชชาดับไปหมด วิชชาบังเกิดขึ้น
หรือวิชชาบังเกิดขึ้น อวิชชาดับไปหมด เหมือนอย่างความสว่างบังเกิดขึ้น
ความมืดก็หายไป ตามพระญาณทั้ง ๓ ที่ท่านแสดงไว้นี้ ก็เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า
เมื่อทรงได้พระญาณที่ ๑ ที่ ๒ ก็ยังมิได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ยังมีอวิชชาอยู่
คือแม้ว่าจะทรงระลึกชาติหนหลังได้เป็นอันมาก เรียกว่ารู้อดีตชาติ
และทรงรู้ความเคลื่อนและความเข้าถึงชาตินั้นๆของสัตว์ทั้งหลาย ว่าเป็นไปตามกรรม
ด้วยพระญาณที่ ๒ ก็ยังมีอวิชชาอยู่ จนถึงทรงได้ญาณที่ ๓ คือตรัสรู้ในอริยสัจจ์ทั้ง
๔ อาสวะกิเลสที่ดองจิตสันดานสิ้นไป อวิชชาดับ วิชชาเกิดขึ้น จึงทรงดับอวิชชาได้ด้วยพระญาณที่
๓ นี้....
วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2556
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น