วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2567

อัตตวิปลาส


 ธรรมะอรุณสวัสดิ์...รับวันใหม่ 

.............................

#อัตตวิปลาส หรือว่าอัตตทิฏฐิวิปลาส    

#มีความเห็นคลาดเคลื่อนว่าเป็นตัวเป็นตน 


#เราปุถุชนมีความเห็นมีความรู้สึกว่า 

#สังขารธรรมคือร่างกายและจิตใจเป็นตัวตนอยู่ #เป็นเราเป็นของเราอยู่ 

เพราะอะไร? 

เพราะว่าฆนสัญญามันบังไว้ 

ความจำเป็นกลุ่มเป็นก้อนมันบังไว้ 

คือมันรวมกันไปหมด 

รูปนามหรือว่าอวัยวะทุกส่วนมันรวมกันอยู่ 

เราไม่ได้แยกสภาวะออกไป 

ก็เลยมีความเห็นว่าเป็นตัวตนอยู่ 


ถ้าเราพิจารณาแยกส่วนต่าง ๆ ออกไป 

เอาแค่ว่าแยกโดยสมมติ   

เราก็จะเห็นว่ามันไม่มีสาระตัวตน 

อย่างเช่น เรานึกแยกผมไปทางหนึ่ง ขนไปทาง 

เล็บไปทาง ฟันไปทาง หนังไปทางหนึ่ง 

กระดูกมีกี่ชิ้น ๆ ลองนึกถึงว่ามันพลัดออกไปแยกออกไป หัวใจ ไต ตับ 

แยกออกไปแล้วก็ไม่มีตัวตนแล้ว 


มันเหมือนกับรถที่มีชิ้นส่วนต่าง ๆ มาประกอบไว้ 

หรืออย่างศาลาหลังนี้ 

ที่จริงมันก็มีอิฐ หิน ปูน ทราย เหล็ก มารวม ๆ กันอยู่ 

เราก็เลยว่ามันเป็นศาลา 

แต่ความจริงแล้วมันก็คือชิ้นส่วนต่าง ๆ 


#ร่างกายนี้ก็เหมือนกัน #มันก็เป็นชิ้นส่วนต่างๆ #เป็นธาตุแต่ละชนิดต่างๆ 

#แต่ว่ามันมารวมกัน 

#แล้วเราก็จำมันว่ามันเป็นกลุ่มเป็นก้อนไว้ 

#มันก็เลยยึดว่าเป็นตัวตน 

ถ้าแยกโดยสมมติ มันก็ยังสามารถจะเห็นไปตามนั้นได้ 


ถ้าแยกโดยปรมัตถ์แล้ว 

#เมื่อเราเจริญสติกำหนดลงไปในกายในจิต 

#ไม่นึกถึงรูปร่าง 

ไม่นึกไปถึงท่อนแขน ท่อนขา รูปร่าง 

#แต่กำหนดให้จรดสภาวะ 

#ก็จะพบว่ามันเป็นอย่างๆเป็นชนิดต่างๆ 


กำหนดไป ตรงนั้นเย็น ตรงนั้นร้อน ตรงนั้นอ่อน ตรงนั้นแข็ง หย่อน ตึง 

#มีธรรมชาติอยู่จริง 

มีเย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง 

#แต่ว่ามันไม่มีตัวตนอะไร 


แยกออกไปแล้วมันก็เป็นธาตุต่างๆ 

ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม 

ดินก็ลักษณะแข้นแข็ง 

ไฟก็ลักษณะร้อน เย็น 

น้ำก็ลักษณะเอิบอาบ 

ลมก็ลักษณะเคร่งตึงหรือหย่อน 

แยกออกไปแล้วมันก็มีแต่ธรรมชาติอย่างนี้ 

เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง 

มันไม่มีตัวตน 


แต่ว่าในส่วนจิตใจ 

แยกลงไป 

ความคิดอย่างหนึ่ง ความนึกอย่างหนึ่ง พอใจอย่างหนึ่ง 

เห็น ได้ยิน รู้กลิ่น รู้รส 

มันก็เป็นแต่ธรรมชาติอันนั้น 


เห็นกับปรากฏก็เป็นอย่างหนึ่ง ได้ยินก็อย่างหนึ่ง 

ไม่ใช่อันเดียวกัน 


เห็น ได้ยิน คิดนึก 

นี่คนละอย่างคน ละขณะกัน 

ไม่ใช่รวมเป็นอันเดียวกัน 


ขณะใดมีเห็น 

ขณะนั้นก็ไม่มีได้ยิน ไม่มีคิดนึก ไม่มีอย่างอื่นที่กำลังปรากฏเป็นอารมณ์ 


ขณะที่มีการคิดนึก 

การเห็นก็ไม่มี การได้ยินก็ไม่มี 


#เมื่อเราพิจารณาแยกส่วนไปต่างๆแยกธรรมชาติไปต่างๆ 

#มันก็จะกระจายความเป็นกลุ่มเป็นก้อน 

#ความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นตัวเป็นตนมันก็ถูกทำลายไป 


แต่ทีนี้เราไม่ได้เจริญสติ 

ไม่ได้พิจารณาแยกสภาวธรรม กระจายสภาวธรรมให้เป็นแต่ละอย่างแต่ละชนิด 

ความจำเป็นกลุ่มเป็นก้อนมันก็จำไว้ 

จำว่าเป็นท่อนขา ท่อนแขน ท่อนลำตัว เป็นตัวเราเป็นของเราอยู่ 

มันก็เลยเกิดวิปลาสว่าเป็นตัวตนอย่างนี้แหละ 


แต่ความเป็นจริงแล้วมันไม่มีตัวตนหรอก 

มันเป็นธรรมชาติ 

ธาตุ ธรรมชาติต่าง ๆ ประชุมกันอยู่ 


เพราะฉะนั้นจึงต้องอาศัยการประพฤติปฏิบัติเจริญวิปัสสนาคือการเจริญสติเจริญสัมปชัญญะ 

หรือว่าให้มีโยนิโสมนสิการคือการทำไว้ในใจโดยแยบคาย 


(วิปลาส ตอนที่ ๓ ตอนจบ) 

โอสถธรรม วิปลาสธรรม 

(อาจาริยาบูชา ๑๐๐ พระธรรมเทศนา) 

.............................

ธัมโมวาท โดยหลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี

เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา

******

Cr.https://www.facebook.com/share/kkp1VFkuSLY6Lorc/?mibextid=oFDknk

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น