ระยะเวลาจากชาติหนึ่งไปถึงอีกชาติหนึ่ง
กำหนดแน่นอนไม่ได้
.
ถ้าวิญญาณก้าวหน้ามาก มีคุณธรรมสูงมาก
จะอยู่ในโลกทิพย์ (สวรรค์) นานเป็นพันๆหมื่นๆปี
เพื่อย่อยประสบการณ์ต่างๆ เข้าสู่อุปนิสัย
แล้วมาเกิดในโลกมนุษย์อีก
เพื่อหาโอกาสเรียนรู้บทเรียนที่ยังเหลืออยู่บางบท
เขาสมัครใจมาเกิดเพื่อทำหน้าที่เป็นครูสอนมนุษย์
หรือช่วยเหลือมนุษย์ในการพัฒนาจิตใจ
.
การตายแล้วเกิดเป็นกระบวนการที่สิ้นสุดได้
ถ้าเราสามารถพัฒนาวิญญาณให้สมบูรณ์
จนไม่มีความชั่วหลงเหลืออยู่เลย
.
ชีวิตเพียงชาติเดียวไม่เพียงพอ
ที่จะหาประสบการณ์ให้แก่วิญญาณได้
เรียกว่าเกือบจะไร้จุดมุ่งหมายเอาทีเดียว
.
เหมือนนักเรียนมาโรงเรียนเพียงวันเดียว
จะทันได้เรียนรู้อะไร
เด็กที่เกิดมาในแหล่งสลัมในนครใหญ่ๆนั้น
จะมีประโยชน์อะไร ถ้าเขาเกิดมาเพียงชาติเดียว
แต่เพราะเหตุที่ไม่มีอะไรสูญ ไม่มีอะไรถูกลืม
ไม่ว่าชีวิตจะสั้นเพียงใด มันย่อมมีบางสิ่งบางอย่าง
อันมีคุณค่าแก่การทรงจำของวิญญาณ
หรือเป็นการใช้หนี้เก่าบางอย่างที่เคยทำมาในชาติอดีต
.
โชคชะตาของแต่ละคน
จึงเป็นผลรวมแห่งการกระทำในอดีตของเขาเอง
ความสามารถทางจิต สภาพทางกาย
อุปนิสัยทางศีลธรรม และเหตุการณ์สำคัญในชาติหนึ่งๆ
ย่อมเป็นผลแห่งความปรารถนา
ความคิดความตั้งใจของเราเองในอดีต
โชคชะตามิใช่ใครจะหยิบให้ใครได้
แต่มันเป็นผลรวมแห่งการกระทำของเราเอง
ในอดีตจนถึงปัจจุบัน
.
ความต้องการในอดีตของเรา
เป็นสิ่งกำหนดโอกาสในปัจจุบันของเรา
ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นลอยๆ
.
สภาพปัจจุบันของเราเป็นผลแห่งการกระทำ
ความคิดและความต้องการของเราในอดีต
ไม่เฉพาะแต่ในชาติก่อนเท่านั้น
แต่หมายถึงในตอนต้นๆ แห่งชีวิตปัจจุบันของเขาด้วย
.
เพราะเหตุที่การเกิดใหม่มีจุดมุ่งหมายนั่นเอง
เราจะเห็นว่าในบางยุค
มีนักปราชญ์มาเกิดมากมายเป็นหมู่ๆ เหมือนนัดกันมาเกิด
ทั้งนี้เพื่อทำประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง
ที่ท่านทำคั่งค้างไว้ให้เสร็จไป
================
#หลักกรรมและการเวียนว่ายตายเกิด
#เพจอาจารย์วศิน อินทสระ
#ท่านอาจารย์วศิน อินท
สระ
******
Cr.https://www.facebook.com/168433800013130/posts/1896351447221348/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น