วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

ความรู้

 


ปัญญา ๓
ปัญญา หมายถึง ความรอบรู้,รู้ทั่ว,เข้าใจ,รู้ซึ้ง
๑.สุตมยปัญญา ปัญญาเกิดจากการสดับเล่าเรียน
ปัญญาสืบแต่ปรโตโฆสะ
๒.จินตมยปัญญา ปัญญาเกิดจากการคิดพิจารณา
ปัญญาสืบแต่โยนิโสมนสิการที่ตั้งขึ้นในตนเอง
๓.ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการปฏิบัติบำเพ็ญ
ป้ญญาสิบแต่ปัญญาสองอย่างแรกนั้น
แล้วหมั่นมนสิการในประดาสภาวธรรม
(พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม)




วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

สติ


สติ หมายถึง ความระลึกได้.นึกได้,ความไม่เผลอ
การคุมใจไว้กับกิจหรือกุมจิตไว้กับสิ่งที่เกี่ยวข้อง
จำการที่ทำและคำที่พูดแล้วแม้นานได้
🔘สติ ปรากฏอยู่ในหลายหมวดธรรม🔘
🔘ธรรมที่มีอุปการะมาก ๒ คือ ๑.สติ ๒.สัมปชัญญะ
🔘นาถกรณธรรม ๑๐ คือ ๑.ศีล ๒.พาหุสัจจะ ๓.กัลยณมิตตตา 
๔.โสวัจจสตา   ๕.กิงกรณีเยสุ ทักขตา ๖.ธัมมกามตา
 ๗.วิริยะ ๘.สันตุฏฐี ๙.สติ ๑๐.ปัญญา
🔘พละ ๕. คือ ๑.สัทธา ๒.วิริยะ ๓.สติ ๔.สมาธิ ๕.ปัญญา
🔘โพชฌงค์ ๗ คือ ๑.สติ ๒.ธัมมวิจยะ ๓.วิริยะ ๔.ปิติ ๕.ปัสสธิ 
๖.สมาธิ ๗.อุเบกขา
🔘สัทธรรม ๗ คือ ๑.มีศรัทธา ๒.มีหิริ ๓.มีโอตตัปปะ
 ๔.เป็นพหูสูต ๕.มีความเพียรอันปรารภแล้ว
๖.มีสติมั่นคง ๗.มีปัญญา
(พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม)

 

วันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

อาสาฬหบูชา

 


อาสาฬหบูชา
"การบูชาในเดือน แปด"
หมายถึง การบูชาในวันเพ็ญเดือนแปด
เพื่อรำลึกถึง
คุณพระศรีรัตนตรัยเป็นกรณีพิเศษ
เนื่องในวันที่พระพุทธเจ้า
ทรงแสดงปฐมเทศนา
คือ
ธัมมจักกัปวัตนสูตร
ทำให้เกิดมีปฐมสาวก
คือ
พระอัญญาโกณฑัญญะ
และเกิดสังฆรัตนะคำรบพระรัตนตรัย
(พจนานุกรมพุทธศาสตร์)





วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

อวิชชาสูตร

 


        ดูกรภิกษุทั้งหลาย เงื่อนต้นแห่งอวิชชาย่อมไม่ปรากฏในกาลก่อนแต่นี้ อวิชชาไม่มี แต่ภายหลังจึงมี เพราะเหตุนั้น เราจึงกล่าวคำนี้อย่างนี้ว่า ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น อวิชชามีข้อนี้เป็นปัจจัยจึงปรากฏ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมกล่าวอวิชชาว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร

ก็อะไรเป็นอาหารของอวิชชา ควรจะกล่าวว่า นิวรณ์ ๕

แม้นิวรณ์ ๕ เราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มี อาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของนิวรณ์ ๕ ควรกล่าวว่า ทุจริต ๓

แม้ทุจริต ๓ เราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของทุจริต ๓ ควรกล่าวว่า การไม่สำรวมอินทรีย์

แม้การไม่สำรวมอินทรีย์เราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารแห่งการไม่สำรวมอินทรีย์ ควรกล่าวว่าความไม่มีสติสัมปชัญญะ

แม้ความไม่มีสติสัมปชัญญะเราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของความไม่มีสติสัมปชัญญะ ควรกล่าวว่าการกระทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย

แม้การทำไว้ในใจโดยไม่แยบคายเราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของการทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย ควรกล่าวว่าความไม่มีศรัทธา

แม้ความไม่มีศรัทธาเราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของความไม่มีศรัทธา ควรกล่าวว่า การไม่ฟังสัทธรรม

แม้การไม่ฟังสัทธรรมเราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของการไม่ฟังสัทธรรม ควรกล่าวว่า การไม่คบสัปบุรุษ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังนี้

การไม่คบสัปบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมยังการไม่ฟังสัทธรรมให้บริบูรณ์

การไม่ฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ ย่อมยังความไม่มีศรัทธาให้บริบูรณ์

ความไม่มีศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมยังการทำไว้ในใจโดยไม่แยบคายให้บริบูรณ์

การทำไว้ในใจโดยไม่แยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมยังความไม่มีสติสัมปชัญญะให้บริบูรณ์

ความไม่มีสติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ ย่อมยังการไม่สำรวมอินทรีย์ให้บริบูรณ์

การไม่สำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์ ย่อมยังทุจริต ๓ ให้บริบูรณ์

ทุจริต ๓ ที่บริบูรณ์ ย่อมยังนิวรณ์ ๕ ให้บริบูรณ์

นิวรณ์ ๕ ที่บริบูรณ์ ย่อมยังอวิชชาให้บริบูรณ์

อวิชชานี้มีอาหารอย่างนี้ และบริบูรณ์อย่างนี้ ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนเมื่อฝนเม็ดหยาบตกลงเบื้องบนภูเขาเมื่อฝนตกหนักๆ อยู่ น้ำนั้นไหลไปตามที่ลุ่ม ย่อมยังซอกเขา ลำธารและห้วยให้เต็ม ซอกเขา ลำธารและห้วยที่เต็ม ย่อมยังหนองให้เต็ม หนองที่เต็มย่อมยังบึงให้เต็ม บึงที่เต็มย่อมยังแม่น้ำน้อยให้เต็ม แม่น้ำน้อยที่เต็มย่อมยังแม่น้ำใหญ่ให้เต็ม แม่น้ำใหญ่ที่เต็มย่อมยังมหาสมุทรสาครให้เต็ม มหาสมุทรสาครนั้น มีอาหารอย่างนี้ และเต็มเปี่ยมอย่างนี้ แม้ฉันใด

ดูกรภิกษุทั้งหลาย การไม่คบสัปบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมยังการไม่ฟังสัทธรรมให้บริบูรณ์

การไม่ฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ ย่อมยังความไม่มีศรัทธาให้บริบูรณ์

ความไม่มีศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมยังการทำไว้ในใจโดยไม่แยบคายให้บริบูรณ์

การทำไว้ในใจโดยไม่แยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมยังความไม่มีสติสัมปชัญญะให้บริบูรณ์

ความไม่มีสติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ ย่อมยังการไม่สำรวมอินทรีย์ให้บริบูรณ์

การไม่สำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์ ย่อมยังทุจริต ๓ ให้บริบูรณ์

ทุจริต ๓ ที่บริบูรณ์ ย่อมยังนิวรณ์ ๕ ให้บริบูรณ์

นิวรณ์ ๕ ที่บริบูรณ์ ย่อมยังอวิชชาให้บริบูรณ์

อวิชชานี้มีอาหารอย่างนี้ และบริบูรณ์อย่างนี้ ฉันนั้น เหมือนกันแล ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าววิชชาและวิมุตติว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร

ก็อะไรเป็นอาหารของวิชชาและวิมุตติ ควรกล่าวว่า โพชฌงค์ ๗

แม้โพชฌงค์ ๗ เราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของโพชฌงค์ ๗ ควรกล่าวว่า สติปัฏฐาน ๔

แม้สติปัฏฐาน ๔ เราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของสติปัฏฐาน ๔ ควรกล่าวว่า สุจริต ๓

แม้สุจริต ๓ เราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของสุจริต ๓ ควรกล่าวว่า การสำรวมอินทรีย์

แม้การสำรวมอินทรีย์เราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของการสำรวมอินทรีย์ ควรกล่าวว่า สติสัมปชัญญะ

แม้สติสัมปชัญญะเราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของสติสัมปชัญญะ ควรกล่าวว่า การทำไว้ในใจโดยแยบคาย

แม้การทำไว้ในใจโดยแยบคายเราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของการกระทำไว้ในใจโดยแยบคาย ควรกล่าวว่าศรัทธา

แม้ศรัทธาเราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของศรัทธา ควรกล่าวว่า การฟังสัทธรรม

แม้การฟังสัทธรรมเราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของการฟังสัทธรรม ควรกล่าวว่า การคบสัปบุรุษ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังนี้

การคบสัปบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมยังการฟังสัทธรรมให้บริบูรณ์

การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ ย่อมยังศรัทธาให้บริบูรณ์

ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมยังการทำไว้ในใจโดยแยบคายให้บริบูรณ์

การทำไว้ในใจโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมยังสติสัมปชัญญะให้บริบูรณ์

สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ ย่อมยังการสำรวมอินทรีย์ให้บริบูรณ์

การสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์ ย่อมยังสุจริต ๓ ให้บริบูรณ์

สุจริต ๓ ที่บริบูรณ์ ย่อมยังสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์

สติปัฏฐาน ๔ ที่บริบูรณ์ ย่อมยังโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์

โพชฌงค์ ๗ ที่บริบูรณ์ ย่อมยังวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์

วิชชาและวิมุตตินี้มีอาหารอย่างนี้ และบริบูรณ์อย่างนี้ ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนเมื่อฝนเม็ดหยาบตกลงเบื้องบนภูเขา เมื่อฝนตกหนักๆ อยู่ น้ำนั้นไหลไปตามที่ลุ่ม ย่อมยังซอกเขา ลำธารและห้วยให้เต็ม ซอกเขา ลำธารและห้วยที่เต็มย่อมยังหนองให้เต็ม หนองที่เต็มย่อมยังบึงให้เต็ม บึงที่เต็มย่อมยังแม่น้ำน้อยให้เต็ม แม่น้ำน้อยที่เต็ม ย่อมยังแม่น้ำใหญ่ให้เต็ม แม่น้ำใหญ่ที่เต็ม ย่อมยังมหาสมุทรสาครให้เต็ม มหาสมุทรสาครนั้นมีอาหารอย่างนี้ และเต็มเปี่ยมอย่างนี้ แม้ฉันใด

ดูกรภิกษุทั้งหลาย การคบสัปบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมยังการฟังสัทธรรมให้บริบูรณ์

การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ ย่อมยังศรัทธาให้บริบูรณ์

ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมยังการทำไว้ในใจโดยแยบคายให้บริบูรณ์

การทำไว้ในใจโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมยังสติสัมปชัญญะให้บริบูรณ์

สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ ย่อมยังการสำรวมอินทรีย์ให้บริบูรณ์

การสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์ ย่อมยังสุจริต ๓ ให้บริบูรณ์

สุจริต ๓ ที่บริบูรณ์ ย่อมยังสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์

สติปัฏฐาน ๔ ที่บริบูรณ์ ย่อมยังโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์

โพชฌงค์ ๗ ที่บริบูรณ์ ย่อมยังวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์

วิชชาและวิมุตตินี้มีอาหารอย่างนี้ และบริบูรณ์อย่างนี้ ฉันนั้นเหมือนกันแล ฯ

*********************

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๔ อังคุตตรนิกาย  อวิชชาสูตร



 


วันเสาร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

วันพฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

ตรอกหกฟุต


  "ตรอกหกฟุต"


ถิง อี้ แห่งเมืองถงเฉิน มณฑลอานฮุย 


ในระหว่างที่มีการซ่อมแซมกำแพงบ้าน เกิดมีกรณีพิพาทเรื่องที่ดินทับซ้อนกับบ้านข้างเคียงตกลงกันไม่ได้ว่าที่ดินที่โต้เถียงกันเป็นของบ้านใครกันแน่


      แม่ของท่านรัฐมนตรีจึงได้เขียนจดหมายถึงลูกที่รับราชการอยู่ที่ปักกิ่ง อยากให้ลูกสั่งการให้ข้าราชการท้องถิ่นออกมาจัดการเรื่องนี้


     หลังได้รับจดหมายจากแม่แล้ว ท่านรัฐมนตรีจึงได้ตอบจดหมายถึงแม่ความว่า


"จดหมายมาไกลเพียงเพราะเรื่องกำแพง  อย่าใจแข็ง ถอยสักสามฟุตจะเป็นไร  กำแพงเมืองจีนทุกวันนี้ยังยิ่งใหญ่  แต่ไฉนจึงไร้เงาจิ๋นซีฮ่องเต้"


... ชีวิตไม่ใช่สนามรบ ไม่จำเป็นต้องเอาชนะคะคานกันจนถึงที่สุด ยอมถอยกันบ้าง ลดการวิวาท เลี่ยงความขัดแย้ง"


    หลังจากแม่ได้อ่านจดหมายที่ลูกส่งมา จึงตัดสินใจย้ายแนวกำแพงถอยห่างเข้ามาสามฟุต (หนึ่งฟุตของจีนเท่ากับเศษหนึ่งส่วนสามเมตร) 


คู่กรณีตระกูลเอี้ยเมื่อเห็นว่าเหตุการณ์กลายเป็นเช่นนี้ เกิดความละอายใจขึ้นมาก็ถอยแนวกำแพงรั้วของบ้านตนร่นเข้าไปสามฟุตเช่นกัน 


    ระหว่างบ้านทั้งสองจึงกลายเป็นตรอกกว้างหกฟุตที่ผู้คนใช้สัญจรได้


เหตุการณ์ดังกล่าวได้ล่วงรู้ถึงจักรพรรดิคังซีในเวลาต่อมา พระองค์ทรงประทับใจในความเอื้ออาทร และการรู้จักมีความอลุ่มอล่วยต่อกัน อยากให้เป็นแบบอย่างที่ดีของประชาชนทั่วไป 


จึงทรงรับสั่งมีการสร้างหลักจารึกคำว่า "เอื้ออาทร" ไปประดิษฐานอยู่ที่บริเวณปากตรอก จนกลายเป็นที่มาของ "ตรอกหกฟุต" อันโด่งดัง และกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์อยู่จนทุกวันนี้


(หลักจารึกดังกล่าวได้รับการบูรณะใหม่ในปี 1999 ตัวอักษรสองตัว 禮譲 [เอื้ออาทร] ยังคงถูกจารึกอยู่เหนือซุ้มประตู)


ตำนาน"ตรอกหกฟุต" เพียงยอมถอยคนละ 3 ฟุต กลายเป็น "เอื้ออาทร" สอนลูกหลาน 


บางสิ่งที่บ้านของรัฐมนตรีจาง ถิง อี้ อาจจะหดหายไปบ้าง คือที่ดินเล็กน้อยที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้ แต่สิ่งที่ได้มาคือ ความสงบสุขระหว่างเพื่อนบ้าน และชื่อเสียงความเป็นแบบอย่างที่ดีที่ลือไปไกลทั่วปฐพี


ในชีวิตของเรานั้น ความเอื้ออาทรเป็นพลังที่แข็งแกร่งไม่มีวันสูญหาย


เพื่อนฝูงที่รู้จักมีความเอื้ออาทรต่อกันจะเป็นมิตรภาพที่ยั่งยืน


สามีภรรยาที่รู้จักอะลุ้มอล่วยให้อภัยต่อกันจะอยู่คู่กันจนชั่วฟ้าดินสลาย


"ตรอกหกฟุต" - 六尺巷 อยู่ที่เมืองถงเฉิน มณฑลอันฮุย ยาวประมาณร้อยเมตร

*******
Cr. Fwd line


วันพุธที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

รอยยิ้มจากใจ

 


เศรษฐีคนหนึ่งกำลังจะสิ้นใจตาย ยมทูตได้ปรากฏกาย

เพื่อมารับวิญญาณของเขา เขาได้ถามยมทูตว่า

 

เมื่อผมตายไปแล้ว ผมจะได้ขึ้นสวรรค์หรือตกนรกครับ?”

ตกนรก!ยมทูตกล่าว

เศรษฐีเมื่อได้ฟังก็รู้สึกโมโหเป็นอย่างยิ่ง จึงถามยมทูตขึ้นว่า

ทำไมผมต้องตกนรก! ในเมื่อผมนำเงินสร้างวัดสร้างโบสถ์สร้างโรงเรียนไว้มากมาย อีกทั้งบริจาคเงินให้แก่องค์กรสังคมสงเคราะห์ต่างๆ ทำไมผมยังต้องตกนรก ผมไม่ยอม!

หากเจ้ารู้สึกไม่พอใจ ข้าจะให้เวลาเจ้าอีกหนึ่งอาทิตย์ ภายในหนึ่งอาทิตย์นี้ หากเจ้าได้รอยยิ้มจากความจริงใจเพียงสามครั้ง เจ้าก็สามารถขึ้นสวรรค์ได้!

เศรษฐีได้ฟังรู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่ง เขาคิดในใจ

กะอีแค่รอยยิ้มจากใจเพียงแค่สามครั้ง มันจะไปยากอะไร!

 

เมื่อยมทูตหายไป เขานิ่งคิดว่าใครเป็นคนแรกที่จะมอบรอยยิ้มจากความจริงใจให้กับเขาเป็นคนแรก ใบหน้าของภรรยาก็ปรากฏขึ้นในมโนภาพ เขาและเธอแต่งงานกันมาสี่สิบกว่าปี เธอนี่แหละที่จะมอบรอยยิ้มจากใจให้เขาเป็นคนแรก

เขาจึงใช้เงินเป็นจำนวนมากซื้อเครื่องเพชรชุดใหญ่มอบให้แก่ภรรยาของเขา

เมื่อภรรยาได้รับของขวัญเป็นเพชรชุดใหญ่ก็ดีใจและประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง

แต่ยมทูตบอกกับเขาว่า

นี่ไม่ใช่รอยยิ้มจากความจริงใจ เธอเพียงแค่ดีใจที่ได้เครื่องเพชรชุดใหญ่ก็เท่านั้นเอง

เศรษฐีรู้สึกประหลาดใจกับคำบอกของยมทูต เขาจึงซื้อรถ ซื้อบ้าน อีกทั้งสิ่งที่คิดว่าภรรยาจะต้องชอบให้แก่เธอ แต่เป็นที่น่าประหลาด ภรรยาของเขาดีใจและรอยยิ้มที่เธอมอบให้เขานั้น ยังไม่ใช่รอยยิ้มจากใจจริงที่ยมทูตต้องการ

เวลาผ่านไปเป็นวันที่สามแล้ว เศรษฐียิ่งรู้สึกกระวนกระวายใจ เพราะเขาเหลือเวลาอีกเพียงแค่สี่วันเท่านั้น คนที่เขาคิดว่าจะได้รอยยิ้มจากใจเป็นคนแรก กลับไม่ง่ายดังที่เขาคิดไว้

 

เช้าวันที่สี่ เขาลุกจากที่นอนตั้งแต่เช้าตรู่ เมื่อคิดว่าตนเองจะต้องตายในอีกสามวันข้างหน้า สิ่งที่เขาควรมอบให้แก่ภรรยาก็ได้ทำไปหมดแล้ว เขาเดินคิดไปจนเข้ามาในครัว เขาหยิบกระทะขึ้นมาทอดไข่และไส้กรอก จากนั้นก็ทำการปิ้งขนมปัง เขาลงมือทำอาหารเช้าที่ไม่ได้ทำมาเป็นเวลานาน

เมื่อภรรยาของเขาลงมาจากชั้นบน เห็นสามีอันเป็นที่รักเข้าครัวทำอาหารเช้า ก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างอยิ่ง เพราะเธอมีแม่บ้านอยู่หลายคนที่คอยเตรียมสิ่งเหล่านี้ให้โดยไม่ต้องลำบากให้สามีของเธอลงมือทำเอง

 

เศรษฐีนำอาหารเช้าวางไว้บนโต๊ะ และเชิญภรรยาทานอาหารเช้าที่เขาเป็นคนเตรียมให้

เมื่อเธอตักอาหารคำแรกเข้าปาก เธอก็นำตาร่วงและยิ้มออกมาให้กับเขา

ที่รักคะ คุณยังจำตอนที่เราเริ่มสร้างครอบครัวได้ไหม ตอนนั้นเรายังยากจน คุณทำอาหารเช้าง่ายๆแบบนี้ให้ฉันทานทุกเช้าเลย ฉันดีใจที่เช้านี้ได้ทานอาหารฝีมือของคุณอีกครั้งค่ะ

ในขณะนั้น เศรษฐีสัมผัสได้ว่า รอยยิ้มของภรรยาเป็นรอยยิ้มที่แสนสวยงามเป็นพิเศษ แม้เธอยังไม่ได้แต่งหน้าทำผม แต่รอยยิ้มของเธอช่างดูบริสุทธิ์จริงใจ เศรษฐีเข้าใจในทันทีว่า หลายปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยได้ใช้ชีวิตทานอาหารเช้ากับภรรยาเลย จึงลืมไปแล้วว่าสิ่งที่เธอต้องการจากเขาจริงๆในตอนนี้ก็คือความใส่ใจนั่นเอง

และในเช้านั้น ยมทูตก็ได้บอกกับเขาว่า

เจ้าได้รอยยิ้มจากใจแล้วหนึ่งครั้ง!

 

สายของวันนั้น เขาเข้าบริษัทและหวังว่าจะได้รอยยิ้มจากใจเป็นครั้งที่สองจากลูกน้องคนสนิท

เขาเรียกลูกน้องคนสนิทเข้ามาพบที่ห้อง

ผมตัดสินใจเลื่อนตำแหน่งให้คุณเป็นรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ และมอบหุ้นของบริษัทส่วนหนึ่งให้แก่คุณ

ลูกน้องคนสนิทดีใจเป็นอย่างยิ่ง ใบหน้าของเขาตอนนี้เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ได้แต่ยืนโค้งคำนับกล่าวคำขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เศรษฐีกลับรู้สึกว่ารอยยิ้มของลูกน้องคนสนิทยังมีความทุกข์ใจปนอยู่

เศรษฐีได้แต่งตั้งลูกน้องคนสนิทให้ดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ และมอบหุ้นของบริษัทจำนวนหนึ่งให้แก่เขา แต่เศรษฐีก็ยังไม่ได้รอยยิ้มจากใจของลูกน้องคนนี้เลย

 

เช้าวันที่เจ็ด เศรษฐีเรียกลูกน้องคนสนิทเข้ามาพบ เศรษฐีแจ้งให้ลูกน้องคนสนิททราบว่า ได้เซ็นอนุมัติให้เขาลาพักพร้อมตั๋วเครื่องบินไปกลับห้าใบสำหรับเขาและลูกเมีย

คุณทำงานเหมือนขายชีวิตให้ผมมานาน ผมไม่เคยให้คุณได้พักผ่อนอยู่กับลูกเมียเลย ผมให้คุณพักอยู่กับลูกเมียเป็นเวลาหนึ่งเดือน พร้อมตั๋วเครื่องบินไปฮาวายห้าใบ พาลูกเมียไปพักผ่อนนะ

ลูกน้องคนสนิทรู้สึกเซอร์ไพรส์มาก จากสีหน้าที่เคร่งขรึมเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่อ่อนโอนและอบอุ่นขึ้นในทันที เขายิ้มออกมาด้วยสีหน้าผ่อนคลาย มันเป็นรอยยิ้มที่เขาไม่เคยเห็นจากลูกน้องคนนี้มาก่อน ทำให้เขาก็รู้สึกสบายใจไปด้วย

ขอบพระคุณท่านมากครับ ผมไม่ได้พาลูกเมียไปพักผ่อนนานแล้วสินะ พวกเขาคงคิดว่าหัวใจของผมทำด้วยเหล็กที่แทบไม่มีความรู้สึกเหมือนพ่อคนอื่นๆ ผมจะทำตามที่ท่านเมตตาครับ ขอบพระคุณท่านอีกครั้งครับ!

สิ้นเสียงของลูกน้องคนสนิท ยมทูตก็ได้กระซิบบอกเขาว่า

เจ้าได้รอยยิ้มจากใจเป็นครั้งที่สองแล้ว

เศรษฐีเพิ่งได้รอยยิ้มแห่งความจริงใจเพียงแค่สองครั้ง แต่ทว่า เวลาของเขาก็เหลือไม่ถึงวันแล้ว

 

เศรษฐีได้แต่ทอดถอนหายใจ

เราคงต้องยอมรับความจริงแล้วสินะ!เศรษฐีเอ่ยกับตัวเอง

เพราะทั้งภรรยาและลูกน้องคนสนิท เขาต้องใช้เวลาไปตั้งเจ็ดวัน ถึงจะได้รอยยิ้มจากความจริงใจของเธอและเขา หากเป็นเช่นนี้ เขาคงต้องยอมรับที่จะต้องตกนรกอย่างไม่มีทางเลือกอื่น

เมื่อเขานึกถึงนรก จิตใจก็หดหู่เศร้าสร้อย เขาตัดสินใจถอดสูทที่สวมอยู่ออก จากนั้นก็เดินออกจากบริษัทเพื่อนั่งรถเมล์ไปเที่ยวยังที่ต่างๆ

เขารู้สึกถึงบรรยากาศเก่าๆสมัยสร้างเนื้อสร้างตัวร่วมกับภรรยา บรรยากาศแบบนี้เขาไม่ได้สัมผัสมาเป็นเวลานานแล้ว เพราะโดยปกติ ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน ก็จะมีรถยนต์คันหรูพร้อมคนขับอีกทั้งเอกสารที่จะต้องเซ็นอนุมัติมากมาย เขาแทบจะหาเวลาว่างเดินทอดน่องเพียงลำพังในตรอกซอกซอยอย่างนี้ไม่ได้

เขาคิดว่า ไหนๆอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าก็ต้องถูกยมทูตพาไปนรกแล้ว ก็เสพสุขช่วงเวลาที่เหลือนี้ให้เพียงพอก็แล้วกัน ขณะนั้น จิตใจเขาปลอดโปล่งโล่งสบายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เขาเดินอยู่บนถนนที่มีผู้คนสัญจรไปมามากมาย แล้วเขาก็เห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งนั่งร้องไห้อยู่บนฟุตบาท ไม่มีใครสนใจเด็กหญิงคนนี้เลย เพราะต่างคนต่างก็รีบเร่งกันทั้งนั้น

ไหนๆก็จะตายแล้ว เราลองถามเด็กคนนี้ก็แล้วกัน ว่าเธอร้องไห้ทำไม?” คิดแล้วก็เดินเข้าไปหาเด็กหญิงคนนั้น

 

เด็กน้อยพลัดหลงกับพ่อแม่ จึงตกใจร้องไห้ เมื่อเขารู้ความจริง ก็พาเธอไปที่สถานีตำรวจและแจ้งว่ามีเด็กพลัดหลงกับพ่อแม่ที่ตลาด ขอให้เจ้าหน้าที่ช่วยติดต่อประสานงานกับพ่อแม่

เศรษฐีนั่งรอพ่อแม่ของเด็กน้อยให้มารับด้วยจิตใจจดจ่อ เขาเพ่งมองไปที่นาฬิกา เวลาของเขาใกล้จะหมดแล้วสินะ

เมื่อพ่อแม่ของเด็กน้อยเดินขึ้นมาที่โรงพัก สามคนพ่อแม่ลูกวิ่งเข้ามากอดกันกลมและร้องไห้ดังสนั่นโรงพัก

เขามองภาพนั้นด้วยความรู้สึกปิติและอิ่มเอิบในหัวใจ

โธ่เอ๊ย การได้ช่วยเหลือคนอื่นมันเป็นความสุขอย่างนี้นี่เอง!เขาอุทานขึ้นมาเบาๆ

แต่เขาก็ต้องหุบยิ้มนั้นทันที เพราะยมทูตได้ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว

เขายื่นมือให้กับยมทูต แต่ทว่า ยมทูตกลับส่ายหัวให้กับเขา

เจ้าไม่ต้องลงนรกกับข้า เพราะเจ้ามีคุณสมบัติขึ้นสวรรค์แล้ว!ยมทูตกล่าวขึ้น

เขาเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ฟัง

ท่านว่าอะไรนะ?” เขาถามอย่างลนลาน

รอยยิ้มที่เกิดจากความจริงใจครั้งที่สามครบแล้ว

ยมทูตยื่นกระจกเงาให้เขามองใบหน้าของตนเอง พลางพูดว่า

ที่จริงมันเกิดได้เมื่อสักครู่หนึ่งแล้ว!

เศรษฐีมองตัวเองในกระจกเงา จากใบหน้าอันเคร่งขรึมเศร้าหมองไร้ราศี บัดนี้เปี่ยมไปด้วยความอิ่มเอิบและมีรอยยิ้มอยู่ที่มุมปาก มันไม่ใช่ใบหน้าของกรรมการผู้จัดการใหญ่ใจยักษ์ แต่มันเป็นใบหน้าของคุณลุงคนหนึ่งที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา เขาเห็นรอยยิ้มแห่งความจริงใจนั้นบนใบหน้าของตนเอง

 

ใจของเจ้าเปลี่ยนไปแล้ว ไม่มีเหตุผลใดที่ข้าจะต้องพาเจ้าไปยังนรก แต่ทว่า เทวทูตยังไม่มารับเจ้า นั่นแปลว่าเจ้ายังพอมีเวลาที่จะสร้างความดีในโลกนี้ได้อีกพูดจบ ยมทูตก็หายวับไปกับตา

ที่แท้ รอยยิ้มที่สามอยู่ที่ตัวข้าเองหรือนี่?” เศรษฐีกวาดสายตามองออกไปนอกสถานีตำรวจด้วยความอิ่มเอิบใจ

 

*คุณมี 2 ทางเลือก

1. ถ้าคุณได้อ่านแล้ว เห็นว่าดีมีประโยชน์ช่วยเตือนสติได้ โปรดแชร์เพื่อเป็นธรรมทาน

2. ถ้าเห็นว่าบทความด้านบน ไร้สาระ ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้เสียเวลาในการอ่านนี้ คิดเสียว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นและจงลืมๆมันไป

************************

Cr.Fwd line

***************

💘💘💘    คนเลี้ยงไก่ (คลิก)  💘💘💘


************************

วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

อส.หญิงนาวิกโยธิน


⚓ ทหารพรานหญิงนาวิกโยธิน กองทัพเรือ  ⚓

  กรมทหารพรานนาวิกโยธิน ได้รับการจัดตัั้ง เมื่อ พ.ศ.๒๕๕๙
ขึ้นตรงกับหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน กองทัพเรือ
และเมื่อ พ.ศ.๒๕๖๐
กำลังพล ๑,๐๐๐ นาย ของกรมทหารพรานนาวิกโยธิน
พร้อมด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ ได้ยกพลขึ้นบก
ที่จังหวัดนราธิวาส
นับเป็นการยกพลขึ้นบกครั้งแรก
ของทหารพรานนาวิกโยธิน
ทหารพรานหญิงนาวิกโยธินได้จัดตั้งเมื่อ พ.ศ.๒๕๖๐


(ขอบคุณขัอมูลจากอินเตอร์เนต)




 

วันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

ชีวิตที่งดงามและมีคุณค่า...

 


มีเรื่องเล่าว่า  อาจารย์ท่านหนึ่งเป็นครูที่มีลูกศิษย์มาก แต่มีศิษย์เด่นสองคน คือ ชัย กับ จิต เป็นผู้ชายทั้งคู่ 


ชัยมักรู้สึกน้อยใจที่อาจารย์โปรดปรานจิตมากกว่า ส่วนอาจารย์รู้ว่าชัยคิดอย่างไรกับตน แต่ก็ไม่ได้พูดหรืออธิบายเหตุผลว่าทำไมจึงโปรดปรานจิตมากกว่า


วันหนึ่งอาจารย์เรียกลูกศิษย์ทั้งสองคนมาหา แล้วพาไปดูห้องเปล่าสองห้องที่อยู่ไม่ไกลกันนัก มอบเงินให้ลูกศิษย์คนละหนึ่งรูปี แล้วมอบหมายว่า พวกเธอทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้ห้องของเธอเต็ม อาจารย์จะมาดูผลงานของเธอค่ำนี้


เมื่อได้รับมอบหมาย ชัยก็รีบไปที่ตลาดทันที แต่เงินหนึ่งรูปีนั้นมีค่าน้อยมาก ซื้ออะไรก็ได้นิดหน่อย เขาคิดอยู่สักพัก ก็ไปหาคนเก็บขยะ  ขอซื้อขยะทั้งกองด้วยเงินหนึ่งรูปี คนเก็บขยะยินดียกขยะให้หมด  ชัยใช้เวลาหลายชั่วโมงในการขนขยะเข้าไปไว้ในห้องจนเต็ม  เขาภูมิใจที่ทำงานที่อาจารย์มอบหมายเสร็จทันเวลา


ส่วนจิตเมื่อรับมอบหมายจากอาจารย์ เขาก็นั่งสมาธิพักใหญ่ จากนั้นก็ค่อย ๆ เดินไปที่ตลาด  ใช้เงินหนึ่งรูปีซื้อไม้ขีดไฟ ธูป และประทีบ พอใกล้ค่ำก็จุดธูปและประทีป  ไม่นานห้องก็สว่างและอบอวลด้วยกลิ่นหอม


เมื่อได้เวลาอาจารย์ก็มาตรวจผลงานของลูกศิษย์  โดยไปที่ห้องของชัยก่อน พอเปิดห้องอาจารย์ก็ผงะ เพราะว่ากลิ่นขยะเหม็นตลบอบอวลเต็มห้องเลย


จากนั้นก็เดินไปยังห้องของจิต พอเปิดประตูมาก็เห็นแสงสว่างสีนวลเต็มห้อง และมีกลิ่นหอมอบอวล อาจารย์ยิ้มให้กับบรรยากาศที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า  ถึงตรงนี้ชัยก็รู้แล้วว่าอาจารย์ชอบห้องไหน และเข้าใจแล้วว่าทำไมอาจารย์จึงโปรดปรานจิตมากกว่าตน


ทั้งสองคนตอบโจทย์อาจารย์ได้ทั้งคู่ เพราะใช้เงินหนึ่งรูปีทำให้ห้องของตัวเองเต็ม แต่ห้องหนึ่งเต็มไปด้วยขยะ ส่วนอีกห้องเต็มไปด้วยกลิ่นหอมและแสงสว่าง

          

นิทานเรื่องนี้ไม่ได้ชี้เพียงแค่ว่าใครฉลาดกว่าใครเท่านั้น แต่สะท้อนให้เห็นมุมมองหรือวิธีคิดของสองคนที่แตกต่างกัน ชัยคิดแต่ในเชิงวัตถุ มองในแง่ปริมาณ เมื่อได้รับโจทย์ว่าทำห้องให้เต็ม เขาก็คิดถึงแต่การหาวัตถุเยอะๆ มาเติมเต็มห้อง ซึ่งลงเอยด้วยการหาขยะมาใส่ ส่วนจิตไม่ได้คิดในเชิงวัตถุ เขามีความคิดที่ละเมียดละไมและประณีตกว่านั้น  เขาให้ความสำคัญกับคุณภาพ  เพราะฉะนั้นจึงทำให้ห้องนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นหอมและแสงสว่าง


ชัยและจิตเป็นตัวแทนของคนในโลกนี้ที่มีมุมมองต่างกัน ประเภทหนึ่งคิดในเชิงวัตถุ เวลามีปัญหา ก็นึกถึงวัตถุเป็นคำตอบ วัดความสำเร็จในแง่ปริมาณ อีกประเภทนึกถึงสิ่งที่มีคุณค่าในเชิงนามธรรม  วัดความสำเร็จในแง่คุณภาพ


นิทานเรื่องนี้เต็มไปด้วยอุปมาอุปไมย ห้องนั้นเปรียบเสมือนชีวิตของคนเรา เงินหนึ่งรูปี ซึ่งน้อยนิดนั้นหมายถึงเวลาในชีวิตของคนเราซึ่งสั้นมาก การทำให้ห้องเต็ม หมายถึงการเติมเต็มชีวิตของเรา


เมื่อพูดถึงการเติมเต็ม คนจำนวนไม่น้อยจะนึกถึงการมีชีวิตที่พรั่งพร้อมด้วยวัตถุ เงินทอง ทรัพย์สมบัติ ยิ่งมีเวลาน้อยเท่าไรยิ่งต้องรีบหามาให้เยอะๆ ชีวิตจะได้ไม่ว่างเปล่า 


แต่บางคนเห็นว่าชีวิตควรจะเติมเต็มด้วยสิ่งที่งดงาม มีคุณค่าและความหมาย นั่นคือ คุณธรรมและปัญญา  กลิ่นหอมเป็นสัญลักษณ์ของคุณงามความดี  ส่วนแสงสว่างเป็นสัญลักษณ์ของปัญญา สองอย่างนี้ต่างหากที่ทำให้ชีวิตงดงามและมีคุณค่าอย่างแท้จริง


ชีวิตของคนเราจะเติมเต็มและอิ่มเอมได้ ก็เพราะอุดมด้วยคุณธรรมและปัญญา แต่คนจำนวนมากไม่สามารถมองเห็นอย่างนั้นได้ จึงเลือกที่จะไปหาวัตถุมาเติมเต็มชีวิต แต่สุดท้ายสิ่งของเหล่านั้นบางครั้งก็ไม่ต่างจากขยะ นอกจากไม่น่าชื่นชมแล้วยังเป็นภาระ


........

Cr. พระไพศาล วิสาโล

ขอบคุณ Mongkol Kiatkanjanakul

*****

กฏแห่งกรรม..สร้างโชคดี(คลิก)

กรรมนิยาม(คลิก)



*******


ไตรลักษณ์

 


ไตรลักษณ์ เป็นธรรมะที่ทำให้เป็นพระอริยะ (อริยกรธรรม) แปลว่า ลักษณะ 3 ประการ หมายถึงสามัญลักษณะ คือ กฎธรรมดาของสรรพสิ่งทั้งปวง อันได้แก่ อนิจจลักษณะ ลักษณะไม่เที่ยง มีการแปรเปลี่ยนไปเป็นธรรมดา ทุกขลักษณะ ลักษณะทนอยู่ตลอดไปไม่ได้ ถูกบีบคั้นด้วยอำนาจของธรรมชาติทำให้ทุกสิ่งไม่สามารถทนอยู่ในสภาพเดิมได้ตลอดไป และ อนัตตลักษณะ ลักษณะไม่สามารถบังคับบัญชาให้เป็นไปตามต้องการได้ เช่น ไม่สามารถบังคับให้ชีวิตยั่งยืนอยู่ได้ตลอดไป ไม่สามารถบังคับจิตใจให้เป็นไปตามปรารถนา ความมิใช่ตัวตน เป็นต้น ไตรลักษณ์ คือ การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ ดับไป ทุกสิ่งในโลกนี้ ล้วนแล้วอยู่ใน กฎไตรลักษณ์


        ลักษณะ ๓ อย่างนี้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สามัญลักษณะ คือ ลักษณะที่มีเสมอกันแก่สังขารทั้งปวง และเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ธรรมนิกาย คือกฎธรรมดาหรือข้อกำหนดที่แน่นอนของสังขาร

*****

อริยบุคคล แปลว่า บุคคลผู้ประเสริฐ, ผู้ไกลจากข้าศึก, ผู้หักกำล้อสังสารวัฏได้แล้วแบ่งได้หลายประเภทคือแบ่งอย่างใหญ่ได้เป็น พระเสขะและพระอเสขะ แบ่งตามประเภทบุคคลมี 4 ประเภทคือ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ และยังแบ่งย่อยเป็น 8 ประเภท จัดเป็น 4 คู่ได้อีก

*****

Cr. วิกิพีเดีย

วันพุธที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

พระพุทธเจ้ามหาศาสดาโลก (๓)

 Cr.ภาพยนต์ชุดพระพุทธเจ้ามหาศาสดาโลก



๓๕ ๔ ๑


๓๖ ๑ ๑


๓๖ ๑ ๒









พระพุทธเจ้ามหาศาสดาโลก (๒)

 Cr.ภาพยนต์ชุดพระพุทธเจ้ามหาศาสดาโลก



๓๕ ๒ ๑


๓๕ ๓ ๑


๓๕ ๓ ๒










พระพุทธเจ้ามหาศาสดาโลก (๑)

 Cr.ภาพยนต์ชุดพระพุทธเจ้ามหาศาสดาโลก



๓๔ ๒ ๑ 


๓๔ ๓ ๑ 


๓๕ ๑ ๑
















วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

อภิธรรม


ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับ อภิธรรม 

 

วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

เฝ้าระวังโควิด..ตระหนักแต่ไม่ตระหนก..

 



💚💚💚💚อาการของ  💛โรคภูมิแพ้ 💛 ไข้หวัด 💛 ไข้หวัดใหญ่ และ  💛โควิด-19 มีสิ่งที่คล้ายกัน คือ ลักษณะอาการ เพราะเป็นโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ มีตั้งแต่อาการเล็กน้อยไปจนถึงรุนแรง การทำความรู้จักอาการของโรคทั้งหมดจะช่วยให้แยกอาการแตกต่างของโรคออกจากกันได้ เพื่อลดความวิตกกังวลและเฝ้าระวังโรคแบบตระหนักรู้และไม่ตื่นตระหนกเกินไป


 💛 โรคภูมิแพ้  

โรคภูมิแพ้เป็นโรคที่เกิดจากการตอบสนองของร่างกายที่ไวต่อสารก่อภูมิแพ้มากกว่าปกติ ทำให้เกิดอาการผิดปกติกับอวัยวะที่สัมผัสสารก่อภูมิแพ้นั้น ซึ่งผู้ป่วยโรคนี้แต่ละคนจะมีอาการแตกต่างกันและความรุนแรงไม่เท่ากัน เพราะชนิดของสารก่อภูมิแพ้ที่ได้รับและการตอบสนองของร่างกายแต่ละบุคคลต่างกัน

อาการของผู้ป่วยโรคภูมิแพ้จะเกิดตามอวัยวะที่มีการอักเสบจากการกระตุ้นของสารก่อภูมิแพ้ ได้แก่ ผื่นคัน คันจมูก จาม มีน้ำมูก คัดจมูก ไปจนถึงไอ หอบ แน่นหน้าอก หายใจไม่คล่อง เป็นต้น ในคนที่เป็นภูมิแพ้อยู่แล้ว หากถามว่าเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 มากกว่าปกติหรือไม่ต้องบอกว่าไม่ได้มีความเสี่ยงมากกว่าปกติ แต่หากดูแลป้องกันตัวเองไม่ดีพอก็มีโอกาสติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้

  👉 อาการของโรคภูมิแพ้ ประกอบด้วย 

  🔘 จาม  

  🔘 น้ำตาไหล  

  🔘 คันตา  

  🔘 คัน/คัดจมูก  

  🔘 อาจมีน้ำมูกไหล  

  🔘 เกิดผื่นแพ้ต่าง ได้  

การรักษาควรดูแลตัวเอง หลีกเลี่ยงจากสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการแพ้ ใช้ยาตามแพทย์สั่ง อาจล้างจมูก พ่นยาจมูก เพื่อป้องกันไม่ให้อาการกำเริบได้ แต่หากเป็นภูมิแพ้และสงสัยว่าติดเชื้อโควิด-19 ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อปรึกษาความเสี่ยง

*****

  💛 หวัด  

ไข้หวัดเป็นโรคติดเชื้อที่พบได้บ่อย เกิดจากการติดเชื้อไวรัสซึ่งมีหลายสายพันธุ์ มักพบในช่วงที่มีอากาศเปลี่ยนแปลง ความรุนแรงของโรคไม่มาก และสามารถหายเองได้ภายในไม่กี่วัน สามารถติดต่อผ่านทางน้ำมูก น้ำลาย และเสมหะ โดยการหายใจเอาเชื้อที่กระจายจากการไอ จาม หรือมือที่เปื้อนเชื้อโรคสัมผัสจมูกหรือตา

  👉 อาการของโรคหวัด ได้แก่  

  🔘 คัดจมูก  

  🔘 น้ำมูกไหลลักษณะใส  

  🔘 ไอมีเสหะ

  🔘 จาม  

  🔘 เจ็บคอ  

  🔘 เสียงแหบ

  🔘 อาจมีไข้ต่ำ ปวดศีรษะเล็กน้อย  

ในผู้ใหญ่อาการจะน้อยมากอาจมีแค่คัดจมูกและน้ำมูกไหล (ยกเว้นผู้ที่มีโรคประจำตัวเป็นโรคทางการหายใจ) อาการของโรคมักเป็นไม่เกิน 2 – 5 วัน แต่อาจมีน้ำมูกไหลนาน 10 – 14 วัน กล่าวคือ ติดต่อโดยการหายใจเอาละอองน้ำมูก น้ำลาย และเสมหะของผู้ป่วยที่ไอ หรือ จาม และการสัมผัสมือ หรือการใช้สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ร่วมกับผู้ป่วย

*****

   💛 ไข้หวัดใหญ่  

ไข้หวัดใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา (Influenza Virus) แบ่งเป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล เป็นเชื้อไข้หวัดใหญ่ที่พบกันมานานแล้ว อาการมักจะไม่รุนแรง และไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ที่ปัจจุบันได้กลายเป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลที่พบปะปนกับสายพันธุ์ต่าง ทั่วไป

  👉 อาการสำคัญของไข้หวัดใหญ่ คือ  

  มีไข้สูงติดกันหลายวัน  

  🔘 ปวดศีรษะ  

  🔘 ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ  

  🔘 ไอแห้ง ๆ 

  🔘 จามเจ็บคอ  

  🔘 บางครั้งมีน้ำมูก  

***อาการจะคล้ายกับการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ค่อนข้างมาก   แต่ที่แตกต่างคือมักจะไม่มีอาการทางเดินหายใจส่วนล่าง คือ หายใจลำบาก แน่นหน้าอก เมื่ออาการมีความคล้ายคลึงกัน ในระยะเริ่มต้นของอาการป่วยลักษณะนี้ เวลาที่ไปพบแพทย์ แพทย์จะทำการส่งตรวจเชื้อไข้หวัดใหญ่ก่อนอันดับแรก เพื่อตัดประเด็นความคล้ายคลึงกันของอาการออกไป

******

   💛💛💛 โรคโควิด-19    

การติดเชื้อโควิด-19 บางคนอาจมีอาการรุนแรงไม่มาก มีลักษณะเหมือนไข้หวัดทั่วไป ขณะที่บางคนมีอาการรุนแรงมาก ทำให้เกิดปอดอักเสบได้

   👉 อาการของผู้ป่วยโรคโควิด-19 จะเริ่่มจาก  

🔘 ไข้ 

🔘 รู้สึกเมื่อยล้า 

🔘 ไอแห้ง ๆ 

🔘 ได้ลำบาก 

🔘 บางครั้งอาจมีอาการเจ็บคอ 

  💚  ทั้งนี้โรคนี้สามารถหายได้เอง*** รูปแบบการรักษาเป็นไปตามอาการที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคล การทำความเข้าใจเกี่ยวกับไวรัสชนิดนี้จะช่วยให้ดูแลสุขภาพ สุขอนามัย และสามารถป้องกันตนเองได้อย่างถูกวิธี  


   เนื่องจากไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หรือภูมิแพ้ เป็นโรคที่เคยเกิดขึ้นแล้ว และร่างกายของคนเรามีภูมิคุ้มกันในระดับหนึ่ง แต่โควิด-19 เป็นเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ที่ร่างกายของมนุษย์ยังไม่มีภูมิคุ้มกัน ทำให้เวลาที่เชื้อเข้าไปในร่างกาย ในระบบทางเดินหายใจ เชื้อโรคจะลามเข้าไปสู่ปอด ส่งผลให้เกิดอาการปอดบวม ปอดอักเสบ ได้มากกว่าไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หรือโรคภูมิแพ้ โดยเฉพาะในคนที่เป็นกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ สุขภาพไม่แข็งแรง มีโรคประจำตัว เป็นต้น  

  การป้องกันโรคที่ดีที่สุดของทั้งภูมิแพ้  ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่  และโควิด-19 คือ ล้างมือบ่อย ไม่เอามือไปสัมผัสหน้าตา  หลีก   เลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย หลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีคน   แออัดใน  ช่วงที่มีการระบาด เว้นระยะห่าง (Social Distancing) ใส่   หน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย ในผู้สูงอายุละเด็กควรได้   รับ   การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ปีละ 1 ครั้ง เพื่อให้ห่าง  ไกลโรค  

  *******************

Cr.https://www.bangkokhospital.com/content/allergy-vs-flu-vs-influenza-vs-covid-19-separate-to-not-panic  

********************

ธรรมะนำชีวิตสู้โควิด (คลิก)