วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

บางเศษเสี้ยวแห่งความฝันที่เคยมีร่วมกัน

 



รถกระบะมีหลังคาคันสีขาวของพ่อยังคงแล่นอยู่บนถนนที่ดูจะทอดยาวไกลสุดสายตา ฉันกับพี่สาว เรานอนหลับกันอยู่หลังรถ บรรยากาศภายนอกรถที่กำลังแล่นเริ่มมืดลงแล้ว พ่อกับแม่นั่งอยู่หน้ารถ เราเพิ่งกลับจากการไปหาตากับยายที่จังหวัดลพบุรี กำลังมุ่งหน้ากลับมาจังหวัดสุรินทร์อีกครั้ง สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ บางทีเห็นทุ่งนา สลับกับบ้านเรือนบ้างเป็นระยะๆ เงาดำๆ เคลื่อนไหวไปมาอยู่บริเวณท้องทุ่งนา ชาวนาชาวสวนกำลังเดินกลับบ้าน หลังจากกรำงานหนักมาทั้งวัน ไม่มีอะไรดีกว่าก ารได้เดินทางกลับบ้านไปพักผ่อน

ฉันนั่งพิงเบาะอยู่หลังรถ เปิดกระจกนิดหน่อยเพื่อให้ลมผ่านเข้ามาได้ พี่สาวยังคงนอนหลับอยู่ ฉันชอบมองวิวทิวทัศน์สองข้างมาก ความมืดกำลังคืบคลานเข้ามา เวลาที่พ่อขับรถผ่านศาลเจ้าหรือบริเวณต้นไม้สูงใหญ่ (ในเวลานั้น) เด็กน้อยวัยเก้าขวบอย่างฉันกลับจินตนาการถึงสิ่งเร้นลับหรือเรื่องเล่าที่สืบทอดกันมาบริเวณทางหลวงหรือถนนเส้นต่างๆ ว่าให้ระวังคนที่จะมาขอโบกรถเพื่ออาศัยเดินทางไปด้วย ฉันหลับตาทุกครั้ง เวลาที่พ่อขับรถผ่านทางที่มืดมากๆ ไม่มีแม้แต่แสงไฟของถนน เท่าที่จำได้พ่อไม่เคยจอด   รับใครขึ้นรถกลางทาง

พ่อเริ่มชะลอรถลง ฉันหันไปมองด้านหน้ารถ และมองออกไปนอกหน้าต่างรถ รถเริ่มเลี้ยวโค้ง เราแวะเข้าไปพักรถที่ปั๊มข้างทาง

แม่พาฉันและพี่สาวไปเข้าห้องน้ำ ส่วนพ่อรออยู่บนรถก่อน พวกเราเข้าห้องน้ำเรียบร้อย พ่อจึงไปเข้าบ้าง

อีกไม่กี่ชั่วโมง เราจะถึงแล้วพ่อบอกพวกเรา แม่ส่งถุงขนมให้ฉันกับพี่สาวที่ขึ้นรถเรียบร้อย พร้อมหลับกันอีกรอบก่อนที่จะถึงบ้าน

สุรินทร์คือบ้านของเรา ฉันกับพี่สาวคุ้นเคยกับจังหวัดสุรินทร์ตั้งแต่แรกเกิด เราเกิดที่นี่ และโตที่นี่ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ใช่คนสุรินทร์ ครอบครัวเราไม่ได้มีชีวิตหรูหรา หรือมีชื่อเสียง พ่อเป็นทหาร แม่เป็นครู เรื่องราวของพ่อกับแม่ฉันซึมซับมาตลอด เพราะฉันอยู่กับพวกเขาตั้งแต่เกิด แทบจะไม่เคยห่างกันเลย ฉันกับพี่สาวเราเกิดพร้อมกัน เราเป็นแฝดที่หน้าตาอาจจะไม่ได้เหมือนกันมากนัก วันที่เราสองคนเกิดที่โรงพยาบาลในตัวเมืองจังหวัดสุรินทร์ เป็นวันฉลองครบรอบกรุงรัตนโกสินทร์ครบสองร้อยปี เด็กๆ ที่เกิดในปีนั้นมักจะมีชื่อที่เกี่ยวข้องกับเฉลิมฉลอง การประสบความสำเร็จ หรือชื่ออื่นๆ ตามแต่ที่พ่อ-แม่อยากจะให้ตัวตนของลูกเป็น ฉันกับพี่สาว เรามีชื่อไม่ใกล้เคียงกันเลย หน้าตาก็ต่างกัน เพราะฉะนั้น พ่อกับแม่จึงไม่มีปัญหาเรื่องการแยกหน้าตา หรือต้องซื้อข้าวของเครื่องใช้ที่มีเหมือนๆ กัน

ครอบครัวเราอาศัยอยู่ในบ้านพักของทหาร สภาพบ้านคือบ้านชั้นเดียวหลังเล็กๆ เป็นที่พักสวัสดิการของพ่อ ส่วนแม่สอนอยู่ในโรงเรียนประจำตำบล เราไม่ได้อยู่ในตัวเมืองจังหวัดสุรินทร์ งานของพ่อคือการลงพื้นที่พูดคุยกับชาวบ้าน ช่วยพัฒนาซ่อมแซมสาธารณูปโภค พัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างทหารกับชุมชนและพัฒนาพื้นที่ต่างๆ ส่วนงานของแม่ การเป็นครูคือการได้อยู่กับเด็กๆ มากมาย เด็กไทยหลายคนที่นี้พูดภาษาเขมรได้คล่องเป็นภาษาที่หนึ่งของพวกเขา วันที่พ่อกับแม่มาถึงสุรินทร์ครั้งแรก พวกเขาเป็นเพียงคนหนุ่ม-สาวที่ไล่ตามความฝัน และอุดมการณ์ที่จะต้องทำงานเพื่อหาเลี้ยงตนเอง

พวกเขาไม่ได้ร่ำรวย ไม่ได้มีมรดกตกทอด สิ่งที่จะทำให้ชีวิตอยู่รอดได้คือการดิ้นรนทำงาน สมัยเรียนพ่อเป็นนักกิจกรรมตัวยงที่เชียงใหม่ ส่วนแม่เป็นสาวเมืองลพบุรีที่จากบ้านมาเป็นครูฝึกสอนอยู่ที่เชียงใหม่ ทั้ง

 คู่พบรักกัน แต่งงาน ตามครรลองของคนสมัยก่อนที่เชื่อเรื่องการมีคู่ โดยเฉพาะผู้หญิงต้องแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา ตากับยายจะได้สบายใจ หลังแต่งงานทั้งคู่หอบหิ้วกันไปด้วย พ่อย้ายไปรับราชการที่ใด แม่ต้องย้ายตามไปเป็นครูอยู่ใกล้ๆ กัน จนกระทั่งพ่อย้ายมาทำงานที่จังหวัดสุรินทร์ ฉันกับพี่สาวฝาแฝด เราเกิดที่สุรินทร์ในคืนวันฝนตกใหญ่ แม่จำได้ดีว่า คลอดฉันกับพี่สาวที่โรงพยาบาลในตัวจังหวัด คืนนั้นพ่ออยู่เวร จึงต้องให้เพื่อนที่ออกเวรแล้วไปตามพ่อที่ทำงานกลับมาที่แฟลตทหาร เพื่อพาแม่ไปคลอดลูก

พ่อเป็นคนตั้งชื่อให้พวกเราสองคนคล้องจองกัน ฟ้าและฝน เป็นชื่อเล่นที่พ่อกับแม่เรียกพวกเรา พี่ฟ้าเป็นพี่สาวฝาแฝดของฉันเอง

การคลอดลูกแฝดไม่ใช่เรื่องง่าย แม่ไม่ผ่าตัด เลือกคลอดตามธรรมชาติ เป็นความเจ็บปวดแบบที่แม่ไม่เคยเจอมาก่อน ฉันมักได้ยินแม่เล่าเรื่องนี้ให้ฟังซ้ำๆ เพื่อตอบความสงสัยว่าตัวฉันเองเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เป็นเรื่องที่เด็กๆ ทุกคนสงสัยเป็นธรรมดา แม่บอกว่าฉันและพี่สาวต่างกันสุดขั้ว อีกคนหนึ่งชอบเพ้อฝัน อีกคนชอบอยู่กับความเป็นจริง อีกคนชอบเล่นผาดโผน อีกคนเรียบร้อย ทั้งๆ ที่แม่เลี้ยงลูกทั้งสองคนมาเหมือนกัน แม่ไม่ให้พวกเราเรียนที่โรงเรียนแม่สอน พอฉันเริ่มเข้าเกณฑ์ที่จะเรียนอนุบาล แม่ส่งฉันกับพี่ฟ้าไปเรียนโรงเรียนในเมือง ฉันไม่รู้เหตุผลของแม่ มีบางวันที่ฉันดื้อไม่ไปโรงเรียนและมาขลุกอยู่กับนักเรียนของแม่ที่โรงเรียนเล็กๆ ประจำตำบล ในอำเภอปราสาท อำเภอที่มีโบราณสถานต่างๆ มากมาย ฉันอยากเรียนที่โรงเรียนที่แม่สอน ดูสนุกสนานกว่าโรงเรียนในเมืองเป็นไหนๆ เด็กๆ ได้ปลูกผัก วิ่งเล่น เสื้อผ้าเปื้อนโคลน ต่างกับโรงเรียนที่ฉันและพี่ฟ้าต้องไปเรียน พวกเราเรียนในห้อง ข้าวของที่ใช้เล่นก็เป็นสิ่งสมมุติทั้งนั้น ฉันอยากเล่นดินเล่นทรายจริงๆ มากกว่า

หนูขอไม่ไปโรงเรียน หนูขออยู่กับแม่คำขอซื่อๆ ในบางวัน ทำให้ฉันได้เล่นสนุกๆ กับพี่ๆ ที่แม่สอน นอกห้องเรียน ฉันมักจะได้ยินพี่ๆ ที่แม่สอนพูดภาษาที่ฉันไม่คุ้นเคย ภาษานั้นเรียกว่า ภาษาเขมรเขมรคืออะไร เป็นใคร วัยขนาดนั้น ฉันไม่รู้หรอก รู้แต่ว่าสนุกดีที่ได้ฟังเขาพูดภาษาแปลกๆ พวกเขามักจะชวนฉันเล่นกลางแจ้ง วิ่งเล่น ปีนต้นไม้ หรือชวนขุดดินปลูกผักหรือหาแมลงต่างๆ มาเล่นกัน

ฉันชอบช่วยลูกศิษย์ของแม่ ปลูกผักสวนครัว บางวันที่แม่เป็นครูเวรช่วยดูแลเด็กๆ ทำอาหารกลางวันกันเอง โดยเก็บผัก-ผลไม้ที่ปลูกไว้ในแปลงผักของโรงเรียนที่ทำในวิชาเกษตรมาทำเป็นอาหารรับประทานเอง การเรียนแบบนี้สนุกกว่านั่งเรียนในห้องเยอะมาก ฉันไม่ชอบเลยที่แม่จะบังคับให้ฉันเขียนและอ่านเป็นภาษาไทยเพียงอย่างเดียว ฉันชอบภาษาที่พวกพี่ๆ นักเรียนของแม่เขาพูดกันมากกว่า เป็นเหมือนเสียงดนตรีที่ถึงแม้ว่าฉันจะฟังไม่รู้เรื่อง แต่เราสามารถสื่อสารกันด้วยภาษาใจ ภาษาที่เด็กๆ มีร่วมกัน โลกของเด็กบางครั้งผู้ใหญ่ยังก้าวเข้าไปไม่ถึงหรือยากเกินที่จะเข้าใจ

พรุ่งนี้เตรียมตัวตื่นแต่เช้าทั้งสองคนเลย แม่จะพาไปเรียนภาษาอังกฤษฉันทำหน้าเบ้นิดหน่อย เวลาได้ยินว่าต้องไปเรียนพิเศษวันหยุด ฉันไม่ชอบเรียนเลย ทำไมแม่ไม่ให้ฉันเรียนโรงเรียนที่แม่สอน ฉันไม่อยากไปเรียนในเมือง ไม่อยากเรียนเพิ่มเติม เรียนมาไม่ได้ใช้ แล้วเราจะเรียนทำไม ด้วยความเป็นเด็กเล็กๆ ฉันจึงไม่ได้คิดถึงวันข้างหน้า เรื่องเล่นจึงมาก่อนเรื่องเรียนเสมอ มีบางครั้งที่ฉันคิดจินตนาการเรื่องราวของตนเอง ฉันอยากมีฟาร์มเลี้ยงวัว เลี้ยงแกะ ฉันเห็นภาพตัวเองขี่ม้าอยู่กลางท้องทุ่งนา ฉันบอกเล่าจินตนาการให้แม่ฟังเสมอ ทั้งที่เรื่องนั้นเป็นเพียงจินตนาการ แม่ไม่เคยห้ามจินตนาการของฉัน พร้อมที่จะฟังถ้ามีเวลา ซึ่งแม่มีเวลาให้กับความไม่เป็นสาระของพวกเราสองคนเสมอ

 เมื่อวันเสาร์-อาทิตย์เวียนมาถึงในบางสัปดาห์ แม่จะขับรถมอเตอร์ไซค์พาพวกเราฝาแฝดเข้าเมืองไปเรียนภาษาอังกฤษกับคุณครูที่เปิดโรงเรียนกวดวิชาเล็กๆ แม่บอกว่าภาษาเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าครั้งใดไม่ได้ไปเรียนภาษา แม่กับพ่อจะหัดพวกเราขี่จักรยาน พี่ฟ้าหัดจักรยานไม่กี่ชั่วโมงก็ขับได้คล่องแคล่ว ส่วนตัวฉันเอง การปั่นจักรยานให้ได้ถือเป็นความฝันอันสูงสุดของเด็กหญิงตัวเล็กๆ จักรยานที่แม่ซื้อให้มีล้อที่สามคอยหนุนอยู่ด้านท้าย แรกๆ ฉันขี่จักรยานแบบมีสามล้อ จากนั้นแม่ถอดล้อออกให้เหลือสองล้อ ฉันพยายามอยู่หลายวัน แม่ต้องช่วยจับจักรยาน ประคองเพื่อให้ฉันสามารถขี่จักรยานสองล้อ ทำแบบนี้หลายรอบ หลายวัน จนฉันสามารถปั่นได้เอง โดยที่แม่ไม่ต้องคอยจับประคองอีกต่อไป

รถจักรยานแล่นฉิว ปลิวไปตามสายลม เรามักจะขี่จักรยานรอบๆ ที่ทำงานของพ่อ พ่ออยู่ประจำหน่วยงานที่มีบริเวณกว้างขวาง มีบ้านพักสวัสดิการ โรงอาหาร มีตึกสำนักงานต่างๆ ยามเย็น หลังเลิกงาน พวกเราสี่คนพ่อ-แม่-ลูกจะออกกำลังกายด้วยกัน พ่อชอบวิ่ง แม่ชอบเดิน พวกเราฝาแฝดปั่นจักรยานไปทั่วบริเวณ สายลมปะทะใบหน้า ตัวเราเหมือนจะลอยละล่องไปในอากาศ ฉันลืมทุกสิ่งทุกอย่างเวลาที่ได้ปั่นจักรยาน ใจจดจ่ออยู่กับช่วงเวลานั้นๆ รู้เพียงแค่ว่าจะต้องปั่นจักรยานให้ดีที่สุด วันที่เป็นเด็ก เรารู้สึกได้เลยว่าโลกทั้งโลกเป็นของเรา ไม่ต้องคิดอะไรซับซ้อน ถ้าอยากทำสิ่งไหน เราไม่ลังเล ทำแล้วไม่ดี เพียงแค่ร้องไห้แล้วเราก็ลืม เริ่มทำใหม่ มีคนคอยประคองไม่ให้เราล้ม

ครั้งหนึ่งพี่สาวฝาแฝดของฉันหายตัวไประหว่างกลับบ้าน ทุกวันพ่อหรือแม่จะผลัดกันมารับพวกเรา เย็นวันนั้นพ่อกับแม่มารับแล้วพบแต่ฉันเพียงคนเดียว ไม่แน่ใจว่าหายไปช่วงไหน แม่ต้องออกไปตาม พี่ฟ้าบอกว่าเล่นจนลืมเวลา และมีเพื่อนชวนไปเล่นที่บ้าน จึงตามเพื่อนไป แยกจากฉันไปโดยที่ไม่ได้บอกกล่าว ตอนที่แม่รู้ แม่ตกใจมาก พยายามตามหาพี่ของฉันทุกที่ จนพบว่าพี่ของฉันไปอยู่บ้านเพื่อนคนหนึ่ง สีหน้าแววตาของแม่ที่เป็นห่วงพี่สาวฝาแฝดของฉัน ตอนนั้นฉันยังจำได้ติดตา แม่กระวนกระวาย ร้อนรน เหงื่อออกเต็มตัว แม่กลัวว่าพี่สาวจะเป็นอะไรไป แม่ไม่ปล่อยให้พวกเราคลาดสายตา ก่อนหน้าจะมีเราสองคน แม่เคยท้อง แต่ว่าท้ายที่สุดคลอดออกมาแล้วเด็กเสียชีวิต แม่จึงไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์สูญเสียขึ้นอีก แม่ไม่พร้อมเผชิญกับการสูญเสีย ฉันคาดเดาเอาว่าผู้หญิงวัยสามสิบกว่าอย่างแม่ คงผ่านเหตุการณ์ต่างๆ มากมายในชีวิตฉันรู้เลยว่าแม่เป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เข้มแข็งกว่าทุกๆ คน แม่ต้องจากบ้านเกิดที่จังหวัดลพบุรี เดินทางมาอยู่กับพ่อที่รับราชการทหารที่จังหวัดสุรินทร์ ตอนเล็กๆ ฉันมองเห็นพ่อกับแม่ตัวใหญ่มาก พวกเขาอยู่เป็นเพื่อนพวกเราตลอดเวลา ทุกวินาทีของชีวิต ดูแล เล่น สอนอ่านหนังสือ ทำกิจกรรมต่างๆ ด้วยกัน ฉันกับพี่ฟ้าเราชอบเล่นสนุกๆ เลียนแบบรายการทีวีหรือหนังสือการ์ตูนที่เราชอบอ่าน วันไหนกลับจากโรงเรียนเร็วกว่าทุกวัน ฉันจะขอให้แม่พาไปห้องสมุดของโรงเรียนแม่ ที่นั่นมีหนังสือกำลังภายในจีนฉบับการ์ตูนฉันชอบเปิดดูภาพและอ่านข้อความสั้นๆ บางทีขอแม่ให้แม่ยืมหนังสือมาอ่านให้ฟัง

การอ่านนิทานให้ฟังเป็นกิจกรรมที่พ่อกับแม่ทำอยู่บ่อยๆ พ่อซื้อเครื่องอัดเทปขนาดใหญ่ วันว่างๆ พวกเราฝาแฝดจะนั่งฟังพ่ออ่านนิทาน พ่อบันทึกเสียงของตัวเองไว้ให้เราเปิดฟังยามที่พ่อไม่อยู่ เรื่องเล่าของพ่อมีหลากหลาย หนังสือภาพ หนังสือการ์ตูนสำหรับเด็ก พ่อซื้อมาจากในเมืองบ้าง หรือยืมมาจากห้องสมุดบ้าง ฉันยังจำเสียงของพ่อได้ดีจนทุกวันนี้ เรื่องราชสีห์กับหนู เป็นเรื่องที่ฉันชอบฟังมากๆ ฉันมักจะขอให้พ่อเล่าให้ฟังซ้ำแล้วซ้ำอีก วันที่พ่อไม่อยู่ ฉันยังเปิดฟังเทปนั้นซ้ำๆ อยู่คนเดียว สิ่งของมีค่าต่างๆ ของครอบครัว พวกเราไม่เคยทิ้ง เทปอัดเสียงเล่านิทานของพ่อยังวางอยู่ในตู้ เป็นของสะสมอย่างดี เวลาคิดถึงพ่อ ฉันจะเปิดตู้ใบนั้น หยิบเทปและเครื่องเสียงมาเปิดฟัง เสียงของพ่อดังไปทั่วบ้าน ถ้าแม่อยู่ใกล้ๆ ฉันตอนเปิดเทป แม่จะหยุดกิจกรรมทุกอย่าง และฟังเสียงของพ่อ

บางวันฉันจะเห็นแม่หยิบอัลบั้มรูปเก่าๆ ขึ้นมาดู แล้วยิ้มอยู่คนเดียว ฉันชอบคุยกับแม่ตอนที่แม่ดูภาพถ่ายเก่าๆ ภาพถ่ายแต่ละใบมีเรื่องราว เหตุการณ์ที่น่าจดใจ วันที่พวกเขาเริ่มสร้างครอบครัว แต่งงานกัน ไปท่องเที่ยวด้วยกัน จนกระทั่งถึงวันที่พวกเขามีเราสองคน ลูกสาวฝาแฝดได้เติมเต็มชีวิตพวกเขา จากนั้นในอัลบั้มรูปมักจะไม่ค่อยมีรูปพ่อ เพราะพ่อกลายมาเป็นคนถ่ายรูปแทน เราสามคน สามสาวของบ้าน จึงกลายเป็นนางแบบนับแต่นั้นเป็นต้นมา

สุดสัปดาห์นี้พ่อไม่ว่าง แม่ขับรถพาเราไปเรียนภาษาอังกฤษในตัวเมือง ครั้งนี้เรามีเพื่อนไปด้วยหนึ่งคน รถมอเตอร์ไซค์คันเล็กๆ ของแม่จึงต้องนั่งเบียดกัน มีเด็กคนหนึ่งนั่งข้างหน้า อีกสองคนนั่งข้างหลัง ระหว่างทางเราแหย่เล่นกันไปมา ทำให้แม่เสียสมาธิ รถมอเตอร์ไซค์ล้ม ฉันร้องไห้เสียงดังอย่างไม่อายใคร พี่สาวกับเพื่อนถลอกเลือดซึมอยู่เหมือนกัน แม่ขอโทษพวกเราที่ทำให้บาดเจ็บ

  หนูผิดเองฉันพูดพร้อมกับยกมือข้างที่ไม่เจ็บ

เด็กเก้าขวบอย่างฉันต้องแสดงความรับผิดชอบ ฉันกล้าที่จะขอโทษทุกคน เป็นเพราะพวกเราเองที่เอาแต่เล่นกันบนรถ ทำให้แม่รถล้ม โชคดีแค่ไหนที่พวกเราไม่เป็นอะไร จากวันนั้นแม่ระมัดระวังมากขึ้น ไม่พาเด็กๆ ซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์โดยไม่จำเป็น ถ้าพ่อว่างวันไหน พ่อจะเป็นสารถีขับรถพาเราเข้าเมืองหรือออกนอกเมือง ตระเวนดูโบราณสถานต่างๆ พ่อชื่นชอบเรื่องประวัติศาสตร์มาก ปราสาทแต่ละแห่งที่อยู่ในบริเวณอำเภอปราสาท พ่อจะขับรถพาพวกเราแม่-ลูกแฝดไปดู พร้อมกับอธิบายเรื่องราวต่างๆ ความเป็นมา พวกเราจะนั่งเบียดกันอยู่ที่เบาะหน้ารถ ถ้าง่วงก็จะย้ายมานอนหลังรถ

การนั่งรถไปท่องเที่ยวกับพ่อ-แม่จึงเป็นกิจกรรมที่เราฝาแฝดชอบมาก วันนี้เช่นกัน เป็นวันที่เราได้นั่งรถยาวๆ หลังจากขึ้นไปเยี่ยมคุณตาคุณยาย คุณปู่คุณย่าทางเหนือแล้ว พ่อกำลังขับรถกลับมาที่สุรินทร์ รถของพ่อค่อยๆ ขับมาเรื่อยๆ ฉันตื่นบ้าง หลับบ้าง นั่งมองสองข้างทาง ถนนหนทางยุคนั้นใช่ว่าจะดีตลอดเส้นทาง ไฟไม่มีบ้าง ขรุขระบ้างในบางช่วง ฉันชอบนั่งรถเที่ยวกับพ่อ-แม่ มันทำให้ฉันได้หยุดเรียนนานๆ    ไม่ต้องไปโรงเรียน บางครั้งเพื่อนพ่อชาวต่างประเทศมาเยี่ยมพ่อที่จังหวัดสุรินทร์ พ่อจะพาพวกเขาไปเที่ยวธรรมชาติ ไปดูปราสาท ไปขี่ช้าง ฉันได้มีโอกาสติดตามไปด้วย พ่อขับรถไม่เร็วนัก เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของครอบครัว

เราถึงบ้านพักสวัสดิการอย่างปลอดภัย แม่ปลุกพวกเราให้เข้าไปนอนในบ้าน เพราะตอนนี้เกือบจะตีสามแล้ว ยามเช้าที่สุรินทร์ ถ้าไม่ใช่ในตัวเมือง ดูเงียบเหงาและอ้างว้างมาก ฉันตื่นมาล้างหน้าแปรงฟัน เตรียมตัวไปโรงเรียนเหมือนเคย วันนี้แม่ขับรถมอเตอร์ไซค์เข้าไปส่งพวกเราในตัวอำเภอ ตอนเย็นมารอรับกลับบ้าน เป็นอย่างนี้ทุกวัน เหตุการณ์ที่พวกเรารอคอยคืองานใหญ่ประจำปีของจังหวัดที่พ่อกับแม่พาพวกเราไปทุกๆ ปี นั่นคือ งานช้างตลอดเวลาที่เราอยู่ที่สุรินทร์ เราไปดูช้างทุกปี จนบางปีพ่อแค่ขับรถมาส่งและรออยู่ในรถ เด็กๆ อย่างพวกเราตื่นตาตื่นใจกับช้างมากมายหลายเชือก อัฒจันทร์ที่ไว้นั่งชมการแสดงสูงใหญ่มาก ฉันนั่งอยู่บนนั้น เด็กตัวเล็กๆ สองคนดูช้างเตะฟุตบอล ช้างวิ่ง ช้างทำการแสดงต่างๆ ฉันไปงานช้างทุกปี

ฉันคิดเสมอว่าเราเป็นคนสุรินทร์ เวลาที่รถพ่อเลี้ยวเข้าหน่วยทหารที่พ่อทำงาน ฉันรู้สึกว่าเหมือนตัวเองได้กลับบ้านแล้ว บ้านที่มีพ่อ-แม่ พี่สาวฝาแฝดอยู่พร้อมหน้า รวมถึงมีนักเรียนของแม่เป็นเพื่อนเล่น แต่แล้วฉันต้องจากสุรินทร์ เพราะแม่ต้องเดินทางเข้ามาทำงานที่กรุงเทพฯ

โชคดีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเอื้อมมือมาจับมือฉันไว้ เธอเป็นลูกศิษย์ของแม่ และเป็นเพื่อนเล่นของฉัน ประโยคที่เธอกล่าวลา เธอพูดเป็นภาษาเขมร ก่อนที่ฉันจะนั่งรถกระบะสีขาวของพ่อเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ฉันคิดถึงเพื่อนที่โรงเรียน เรายังไม่ได้บอกลากันเลย ฉันมีเพียงรูปถ่ายหนึ่งใบที่ถ่ายรูปรวมหมู่นักเรียนชั้น ป.3 รูปถ่ายใบนี้ติดตัวฉันมาที่กรุงเทพฯ ด้วย แต่ตอนนี้ฉันทำมันหล่นหายไปไหนไม่รู้ ภาพถ่ายเก่าๆ ที่จังหวัดสุรินทร์ รถคันแรกของพ่อกับแม่ วันที่ฉันและพี่สาวเกิดที่โรงพยาบาล วันที่ฉันเข้าโรงเรียนครั้งแรก ภาพหลายภาพของครอบครัวรวมเป็นอัลบั้ม แม่ยังคงหอบหิ้วมาด้วย มันเป็นของมีค่ายิ่งกว่าเงินทอง หลายภาพที่เรามีความสุข เราเป็นครอบครัวเล็กๆ บนโลกใบนี้ ภาพเหล่านั้นยังชัดเจนในความทรงจำ วันที่ฉันจากสุรินทร์ เรานั่งอยู่บนรถกระบะมีหลังคาคันสีขาวของพ่อ ฉันกอดตุ๊กตาไว้แน่น ตุ๊กตาตัวนี้แม่ซื้อให้พวกเรา เราต้องไปจริงๆ แล้วใช่ไหม พ่อขับรถห่างออกจากตัวเมืองสุรินทร์

 ฉันเห็นเพียงแนวต้นไม้ ทิวเขาที่อยู่ไกลโพ้น เรามุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ มาพักที่บ้านพักของพ่อ ชีวิตเราต้องเดินต่อไป แม่บอกฉันอย่างนี้เสมอ ฉันเกลียดการจากลา

หลังจากพ่อส่งพวกเราที่กรุงเทพฯ พ่อเดินทางขึ้นเหนือไปทำงานอยู่จังหวัดเชียงราย ใกล้บ้านเกิดของพ่อ ทำไมครอบครัวเราถึงไม่ย้ายตามพ่อ ฉันไม่อาจเข้าใจได้ รู้แต่เพียงว่าแม่อยากให้ฉันกับพี่สาวฝาแฝดเข้าโรงเรียนที่ดีๆ เรียนในกรุงเทพฯ มากกว่าต่างจังหวัด พ่อ-แม่ตัดสินใจแยกกันอยู่ พวกเราย้ายมาอยู่แฟลตสวัสดิการของทางราชการที่กรุงเทพฯ ฉันและพี่สาวเข้าเรียนโรงเรียนแห่งหนึ่ง แม่ยังคงทำหน้าที่แม่ ไปรับไปส่งพวกเราเหมือนเดิมทุกวัน ไม่มีวันไหนที่แม่จะห่างจากพวกเรา

พ่อกลับมาเยี่ยมพวกเราบ้างเป็นบางครั้ง พวกเรารู้สึกห่างจากพ่อมากขึ้นทุกที ทำไมพ่อถึงไม่มาอยู่กับพวกเรา เหมือนตอนที่อยู่กันเป็นครอบครัวที่จังหวัดสุรินทร์ ฉันยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจเรื่องนี้ ฉันรู้แต่เพียงว่า ฉันคิดถึงบรรยากาศ ธรรมชาติ ท้องทุ่งนา ป่าเขาของจังหวัดสุรินทร์มากๆ ทุกปีฉันจะเห็นข่าวงานแสดงช้างในทีวี ฉันไม่เคยกลับไปที่จังหวัดสุรินทร์อีกเลย เส้นทางชีวิตของฉันแยกห่างออกจากสุรินทร์มากยิ่งขึ้น

 ฉันเรียนหนังสือต่อที่กรุงเทพฯ ฉันทำงานที่กรุงเทพฯ และฉันเลือกไปท่องเที่ยวต่างประเทศแทนที่จะเดินทางกลับไปหาวันวานเก่าๆ ที่จากมา พอคิดมาถึงตรงนี้ ภาพวันวานเก่าๆ มันคอยที่จะไหลทะลักเข้ามาในหัวสมองอยู่เรื่อยๆ

ยังไม่กลับอีกเหรอ นั่งทำอะไรอยู่ ออฟฟิศจะปิดแล้วนะ

เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งกำลังเตรียมเก็บของกลับบ้าน ส่งเสียงทักทาย ค่ำมืดแล้ว ฉันต้องรีบกลับบ้านก่อนที่รถจะติดไปกว่านี้ ป่านนี้แม่คงรอกินข้าวเย็น เราซื้อบ้านหลังเล็กๆ อยู่ที่กรุงเทพฯ อย่างถาวร ฉันไม่ได้ติดต่อกับเพื่อนๆ ที่จังหวัดสุรินทร์อีกเลย แทบจะลืมหน้าไปแล้วว่าใครเป็นใครกันบ้าง สมัยที่อยู่สุรินทร์ ฉันเคยไปเที่ยวบ้านเพื่อนคนหนึ่ง แล้วถูกลูกสุนัขตัวเล็กกัด ฉันไม่กล้าบอกแม่จนวันนี้

 ผ่านมากว่าสามสิบปีแล้วที่ฉันรู้สึกคิดถึงจังหวัดสุรินทร์ ถึงแม้จะอยู่ใกล้กันแค่เอื้อม แต่ฉันไม่เคยเดินทางกลับไปอีก ช่วงนี้ความทรงจำของฉันเกี่ยวกับสุรินทร์ผุดขึ้นมาในความคิดซ้ำแล้วซ้ำอีก เช่นเดียวกับความไกลห่างของระยะทางที่ฉันมีต่อพ่อและพี่สาวฝาแฝด

พ่อย้ายจากเชียงรายกลับไปรับราชการอยู่เชียงใหม่ และเดินทางไปๆ กลับๆ กรุงเทพฯ สองสามเดือนครั้ง ถึงแม้ว่าการเดินทางในยุคนั้นจะลำบากกว่าตอนนี้ พ่อยังขึ้น-ลงกรุงเทพฯ และเชียงใหม่ พ่อรู้ว่าพ่อยังมีครอบครัวอยู่ทางนี้ บางครั้งพวกเราขึ้นไปเยี่ยมพ่อที่เชียงใหม่ ระยะเวลาผ่านไปจนฉันโตเข้าเรียนมหาวิทยาลัย พ่อกลับบ้านน้อยลง แม่เองทำงานหนักจนเหนื่อยล้า ไม่มีเวลาขึ้นไปหาพ่อที่เชียงใหม่ นานๆ ครั้งเราจะเดินทางไปหาพ่อ ยิ่งโตภาระงานต่างๆ ที่ตามมามากมาย บางช่วงเวลาเราใช้ชีวิตกับเพื่อนมากกว่าพ่อ-แม่เสียอีก

ถึงยังไงความสัมพันธ์ของลูกๆ กับพ่อยังคงเหมือนเดิม แต่ว่าเราเจอกันน้อยลง คุยกันแทบนับคำได้ แต่พ่อรู้เสมอว่าลูกๆ รักและเป็นห่วงพ่อ ไม่นาน แม่บอกพวกเราว่า ทันทีที่พ่อเกษียณ พ่อจะบวชอยู่ที่วัดในเชียงใหม่ วันนั้นมาถึง เราไปส่งพ่อเข้าวัดครั้งสุดท้ายในสถานะของฆราวาส ฉันไม่เคยมองหน้าพ่ออย่างจริงจัง หลังจากที่สุรินทร์ วันนั้นเป็นวันที่ฉันมองพ่อกับแม่ด้วยหัวใจ มองด้วยตา และมองผ่านเลนส์กล้องที่ฉันรับหน้าที่เป็นคนถ่ายภาพให้ครอบครัว พ่อสูงวัยมากกว่าที่คิดไว้ ผอมบาง แทบจะปลิว แม่ก็เหมือนกัน แม่ตัวเล็กกว่าฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ เราส่งพ่อไปสู่โลกของธรรมะ จากพ่อกลายเป็นหลวงพ่อ เราไปเยี่ยมพ่อ ช่วงแรกสองเดือนครั้ง ระยะหลังนานๆ ทีเราถึงจะเข้าไปที่วัด ไปหาพ่อ พ่ออยู่วัดป่า ต้องเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่เข้าไป พ่อจากไป จากไปสู่ที่แห่งใหม่ ตัวตนใหม่ ที่พวกเราไม่สามารถจะตามพ่อไปได้ พวกเรายินดีกับสิ่งที่พ่อเลือก แต่กลับรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก จริงๆ พ่อไม่ได้ไปไหนเลย พ่อยังอยู่ในใจพวกเราเสมอ

หลังจากพ่อบวชไม่กี่วัน พี่สาวฝาแฝดของฉันตัดสินใจไปเป็นอาสาสมัครที่วัดไทยในอินเดีย จนถึงตอนนี้พี่สาวของฉันไม่ได้กลับมาบ้านมากว่าห้าปีแล้ว ฉันอยู่กับแม่สองคนที่กรุงเทพฯ อันเงียบเหงา ทุกเช้าตื่นนอน ไปทำงาน ฉันเป็นเพียงพนักงานธนาคารธรรมดาคนหนึ่ง ฉันต้องเผชิญหน้ากับผู้คนมากหน้าหลายตาที่มาทำธุรกรรม ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหุ่นยนต์ที่เคลื่อนไหวไปมาตามคำสั่ง ฉันมักจะจินตนาการถึงตัวเองตอนเป็นเด็กเล็กๆ ที่ปั่นจักรยานกับพ่อ-แม่

ฉันคิดถึงสุรินทร์ คิดถึงเพื่อนๆ ที่ฉันจำหน้าไม่ได้ จำชื่อไม่ได้ เป็นเพื่อนในวัยเด็กที่ไม่มีผลประโยชน์มาเจือปน ชีวิตการทำงานไม่ได้สวยงามเสมอไป

ยิ่งชีวิตรักของฉันแล้ว หากจะถามว่าฉันมีแฟนไหม คงตอบว่าเคยมี เราคบกันค่อนข้างนาน ตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัย ตอนนี้เราเป็นเพียงแค่คนแปลกหน้าของกันและกันแล้ว เขาอาจจะอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้ โลกของเราไม่มีอีกแล้ว มีแต่โลกของฉันที่ยังเก็บเขาอยู่ในความทรงจำ ว่างๆ อาจจะเปิดลิ้นชัก แอบดูความทรงจำที่เคยงดงามเหล่านั้น ฉันควรจะดีใจให้กับเขา ที่เขาได้พบเจอคนที่เหมาะสมกัน คนที่เขารัก ส่วนฉันก็เพียงแค่เดินต่อไปคนเดียว จากวันที่เลิกกัน ด้วยเหตุผลที่เขาเจอคนที่เขารักมากยิ่งกว่าชีวิตของตัวเอง ฉันทำอะไรไม่ได้ ใจสลาย ไม่รู้ว่าจะประคองชีวิตให้ตัวเองอยู่รอดได้อย่างไร คงมีเพียงแต่งานเท่านั้นที่ช่วยรักษาบาดแผลนี้ได้ ฉันทำงานเหมือนคนบ้า ทำชีวิตให้ยุ่งๆ วุ่นวาย มีเพียงแค่ตอนขับรถกลับบ้านเท่านั้นที่น้ำตาแทบจะไหลเป็นสายเลือด แม่ได้แต่ปลอบใจฉันอย่างเงียบๆ เพียงแค่นี้เพียงพอแล้วสำหรับคนที่หัวใจมันบอบช้ำ เกินจะเยียวยา ฉันยังไม่หายดีหรอก เพียงแต่เวลาที่ผ่านมาเป็นตัวรักษาความรู้สึกของฉันให้ดีขึ้นบ้าง

ฉันใช้ชีวิตที่กรุงเทพฯ ได้สามสิบปีแล้ว ฉันยังรู้สึกว่ากรุงเทพฯ เป็นเมืองที่อ้างว้าง โดดเดี่ยว แต่ฉันกลับตกหลุมรักกรุงเทพฯ แปลกเหมือนกัน ฉันชอบธรรมชาติ ขณะเดียวกันฉันกลับชอบทำงานบนตึกสูง สำนักงานของธนาคารที่ฉันประจำอยู่ อยู่บนตึกระฟ้า กลางกรุงเทพฯ วันไหนที่อยู่เวรทำงานช่วงค่ำๆ เวลาพักจากหน้าเคาน์เตอร์ ฉันจะชอบไปยืนริมหน้าต่างกระจกของสำนักงาน ดูแสงไฟหน้ารถที่เคลื่อนไปบนสะพานลอยฟ้าที่พาดผ่านไปทั่วกรุงเทพฯ ฉันผูกพันกับกรุงเทพฯ และในเวลาเดียวกันฉันคิดว่าตัวเองเป็นคนแปลกแยก แปลกหน้า ท่ามกลางเมืองใหญ่

 คนใกล้ชิดที่คุ้นเคยกัน ท้ายที่สุดวันเวลาอาจจะทำให้เรากลายเป็นคนแปลกหน้าของกันและกัน ถึงแม้เราจะต้องเป็นคนแปลกหน้าต่อกันไปตลอดชีวิต แต่เราคือเพื่อนมนุษย์ที่อยู่บนโลกใบเดียวกัน และต่อให้เราไม่เคยรู้จักกันเลยตลอดชีวิต สิ่งหนึ่งที่เชื่อมโยงเกาะเกี่ยวเราไว้ด้วยกันคือ ความคิด ความรู้สึก ความหวัง และความฝันบางเศษเสี้ยวที่เราอาจจะเคยมีร่วมกัน ภาพงดงามของอดีตที่เราเคยอยู่ด้วยกัน เป็นภาพที่ฉันจดจำได้ขึ้นใจ

มีใครบ้างที่ไม่เคยพลัดพรากจากสิ่งที่ตนเองรัก ฉันยังหาคนคนนั้นไม่พบ

**********************

Cr.มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ ๓๐ ตุลาคม – ๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๓  คอลัมน์ เรื่องสั้น ผู้เขียน ศุภมณฑา สุภานันท์

 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น