หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2555

สารจากประธานรุ่น พ.ศ.๒๕๕๕

...ได้รับอีเมล์จากเลขาชมรม นรจ.๐๙  เป็นจดหมายของประธานรุ่น ชลิต เกิดชื่น ที่ฝากถึงเพื่อน ๆ ทุกคนครับ..
.....................

สำนักงานทนายความฯ
 เมษายน   ๒๕๕๕
เรื่อง  แจ้งผลการจัดงานสังสรรค์ประจำปี ๒๕๕๕
เรียน  เพื่อน นรจ. ๐๙
การจัดงานสังสรรค์ประจำปี ๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ที่ผ่านมาประสพความสำเร็จตามความมุ่งหมายค่อนข้างดี  มีครูผู้มีพระคุณให้ความเมตตามาร่วมงานคือ ครูชุมพล  ปัจจุสานนท์  ครูนาวี  เปล่งวิทยา และครูประสาร  แก้วศรีสุข  ส่วนเพื่อน นรจ.๐๙  มาร่วมงานจำนวน  ๑๖๑ คนพร้อมทั้งสมาชิกครอบครัวอีกจำนวนหนึ่ง  บรรยากาศของงานเป็นไปด้วยความอบอุ่นถึงแม้ว่าก่อนวันงานจะมีปัญหาเรื่องฝนฟ้าอากาศซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เพื่อนจำนวนหนึ่งไม่มาร่วมงาน
อุปสรรคสำคัญในการจัดงานทุกครั้งคือ เงินทุน ครั้งนี้ก็เช่นกัน ตามข้อบังคับใหม่  ห้ามนำเงินในบัญชีสวัสดิการรุ่นฯ มาใช้ในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ของรุ่น  กรรมการจัดงานในปีนี้จึงทำงานค่อนข้างลำบาก และรับความเสี่ยงสูง  ประกอบกับวัตถุประสงค์หลักของงานในปีนี้ต้องการให้มีผู้เข้าร่วมงานมากที่สุดจึงไม่มีการกำหนดจำนวนเงินในการเข้าร่วมงาน โดยเชิญชวนให้เพื่อนที่มาร่วมงานบริจาคเงินตามกำลัง  ระหว่างการเตรียมงานคณะกรรมการจึงต้องใช้ทุนทรัพย์ส่วนตัวบางส่วนในการใช้จ่ายล่วงหน้าและตั้งความหวังไว้ว่าเงินบริจาคสมทบทุนจากเพื่อน ๆ จะพอเพียงกับการจัดงาน คณะกรรมการได้ตกลงร่วมกันว่าหากเงินบริจาคไม่พอ  กรรมการจะร่วมกันออกสมทบให้ครบ  นับว่าเป็นการทำงานที่ท้าทายมาก  อย่างไรก็ตามด้วยความร่วมมือร่วมใจของคณะกรรมการทุกฝ่ายและด้วยความพร้อมเพรียงของเพื่อนร่วมรุ่นที่บริจาคสมทบทุน ปรากฏว่าเงินบริจาคพอเพียงและยังเหลือเงินอีกเล็กน้อยตามรายการสรุปด้านล่างนี้ (รายละเอียดให้ดู ตามเอกสารแนบ) ข้อมูล ณ วันที่ ๑๓ เม.ย. ๕๕ 
รับเงินบริจาคสมทบทุนทั้งสิ้น          จำนวนเงิน            ๑๗๓,๔๕๐.๐๐  บาท
ค่าใช้จ่ายในการจัดงานทั้งสิ้น          จำนวนเงิน            ๑๕๑,๓๙๐.๐๐  บาท
หักแล้วคงเหลือ                                   จำนวนเงิน              ๒๒,๐๖๐.๐๐  บาท 
อนึ่งในการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับเพื่อนที่ล่วงลับไปแล้วในตอนเช้าของวันที่ ๓๑ มี.ค. ๕๕  หลังจากพิธีถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์แล้ว ได้มีการเชิญชวนบริจาคทรัพย์เพื่อซื้อเก้าอี้คุณภาพดี (ราคาตัวละ ๒๔๐.๐๐ บาท) ถวายวัดทุ่งโปรงจำนวน ๗๘ ตัวเท่าจำนวนเพื่อนที่ล่วงลับ  การบริจาคนี้ไม่รวมอยู่ในกองทุนของการจัดงาน ขณะนี้กรรมการฯ ได้จัดซื้อเก้าอี้ไว้พร้อมแล้วและได้นัดหมายถวายในวันที่  ๑๒ พ.ค. นี้ ณ วัดทุ่งโปรงฯ โดยมีการถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์ด้วย

จึงเรียนมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน

ชลิต  เกิดชื่น


วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2555

ป้อมเพชร...






             ป้อมเพชร เป็นหนึ่งในป้อมของกรุงศรีอยุธยาที่ยังหลงเหลือมาในปัจจุบัน สันนิษฐานว่าสร้างในรัชสมัยของสมเด็จพระธรรมราชา พ.ศ.๒๑๒๓ ป้อมแห่งนี้ได้รับการกล่าวขานว่ามีความแข็งแรงประดุจเพชร เป็นป้อมทรงหกเหลี่ยม สูง ๖.๕๐ เมตร ตั้งประจันรับข้าศึกได้รอบทิศแต่ละด้านจะมีช่องกุด(ช่องประตูเล็กๆใช้ตั้งปืนใหญ่ แต่มีบางช่องใช้เป็นประตูเข้า-ออกเมือง)ทำให้สามารถยิงปืนใหญ่ออกไปทุกทิศทุกทาง
             ป้อมเพชรเป็นจุดแรกที่เรือทุกลำที่ผ่านกรุงศรีอยุธยาจะต้องเห็น เพราะป้อมเพชรเป็นป้อมที่ใหญ่ที่สุดของเมือง และตั้งอยู่บนจุดบรรจบของแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำป่าสัก ซึ่งเป็นเหมือนปากประตูสู่พระนคร ถือได้ว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญสำหรับการติดต่อของกรุงศรีอยุธยากับโลกภายนอก ในตำนานกรุงเก่า เรียกบริเวณป้อมเพชรว่า "บางกะจะ"ซึ่งมีเรือนแพและร้านค้ามากมาย เรือสินค้าจากหัวเมืองชายทะเล และเรือสินค้าชาวต่างชาติจะเข้ามาจอดขายเต็มไปหมด ที่นี่จึงเป็นตลาดใหญ่แห่งหนึ่งของพระนคร ส่วนบริเวณหลังป้อมเพชรเป็นย่านพักอาศัยของขุนนางชั้นสูง แม้แต่พระราชชนกของสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกหรือรัชกาลที่หนึ่ง.........



ป้อมเพชรมองจากวัดพนัญเชิง ซ้ายมือคือแม่น้ำเจ้าพระยา ขวามือคือแม่น้ำป่าสัก


...........................


...............................


..................................


..............................


...........................


..................................


............................

.............................

ผ่านไปอยุธยาเมื่อใดอย่าลืมแวะไปชมป้อมเพชรนะครับ
ขอบพระคุณที่แวะมาเยี่ยมเยียน

อยุธยาเมืองเก่าของเราแต่ก่อน...
วัดหน้าพระเมรุ(คลิกที่นี่)
อยุธยาเมืองเก่าของเราแต่ก่อน..
วัดสุวรรณดาราราม (คลิกที่นี่)
วังจันทรเกษม (คลิกที่นี่)

วันอังคารที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2555

ตำนานบ้านเกิด(ต่อ)..

เส้นทางเดินทางทัพพระเจ้าตาก
(คลิกบนภาพเพื่อดูภาพใหญ่ขึ้น)


.....ยังมีตำนานในอ.อุทัย   ตามเส้นทางที่พระเจ้าตากใช้เดินทางเพื่อจะไปรวบรวมกำลังกลับมากู้ชาติ.....จากบ้านชายสิงห์ ไปทางทิศตะวันออก   ผ่านบ้านสามบัณฑิต  บ้านโพสาวหาญ บ้านพรานนก ซึ่งที่บ้านพรานนกนี้จะมีความสำคัญมาก เพราะเป็นพื้นที่ที่ทำให้เกิด "วันทหารม้า"ของกองทัพไทย ครับ.......     
     ...กองกำลังของพระยาตากสินถอยร่นเรื่อยมาจนถึงบ้านแห่งหนึ่ง  ซึ่งเป็นเวลาเช้าพอดี  ต่อมาภายหลังจึงเรียกบ้านดังกล่าวว่า  บ้านอุทัย  หรือบริเวณที่ตั้งอำเภออุทัยในปัจจุบันการสู้พลางถอยพลางของกองกำลังพระยาตากสินกับกองทัพทหารพม่ายังคงดำเนินต่อไปกระทั่งถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง  ทหารและไพร่พลของพระองค์ที่ต้องสู้รบมาโดยตลอดเกิดความอ่อนล้า พระยาตากสินจึงมีคำสั่งให้หยุดและหลบซ่อนจาการติดตามของทหารพม่า
             หมู่บ้านแห่งน้ัน  พระยาตากสินได้พบกับผู้เฒ่า  3  คน  ซึ่งแนะนำพระองค์ว่าไม่ควรหยุดพักทัพที่หมู่บ้านแห่งนี้  เนื่องจากเป็นที่โล่งแจ้ง  ชัยภูมิไม่เหมาะสม  ทหารพม่าสามารถพบเห็นได้ง่าย  สมควรไปพักที่บ้านพรานนก  ตำบลโพสาวหาญ  จะปลอดภัยกว่าพระยาตากสินจึงมีคำสั่งเคลื่อนพลไปยังบ้านพรานนกตามคำแนะนำของผู้เฒ่า  3 คน


ศาลเจ้าแม่โพสาวหาญ ที่วัดโพสาวหาญ อ.อุทัย

           ที่บ้านพรานนกนี้เอง  เมื่อทัพพม่าติดตามเข้าตีกองกำลังของพระยาตากสิน  ได้มีหญิงสาวชาวบ้านชื่อ  นางโพ ได้นำชาวบ้านเข้าช่วยรบกับทัพพม่าจนได้รับชัยชนะ  และพรานต่อนก(เฒ่าคำ)ได้บอกทางหลบหนีไปยังเมืองจันทบุรีเพื่อรวมไพร่พลกลับมากอบกู้อิสรภาพกรุงศรีอยุธยาจากพม่าได้ในเวลาต่อมา
             เพื่อเป็นเกียรติและยังความภาคภูมิใจแก่อนุชนรุ่นหลัง  ภายหลังเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินทรงขึ้นครองราชสมบัติ  จึงมีการตั้งชื่อหมู่บ้านที่พบสามผู้เฒ่าว่า บ้านสามบัณฑิต  หมู่บ้านที่นางสาวโพออกมาช่วยรบว่า  บ้านโพสาวหาญ  และบ้านที่พรานต่อนกบอกทางไปสู่จันทบุรี  ว่าบ้านพรานนก ปัจจุบันตั้งอยู่ตำบลโพสาวหาญ  อำเภออุทัย  จังหวัดพระนครศรีอยุธยา


อนุสรณ์สถานสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช วัดพรานนก อ.อุทัย

....วันทหารม้า ถือกำเนิดจากวีรกรรมที่ บ้านพรานนก ..เมื่อ ๔ มกราคม ๒๓๐๙ ขณะที่พระเจ้าตากหยุดพักแรม จึงให้ทหารออกไปเที่ยวหาเสบียงอาหาร  พบกองทัพพม่ายกมาจากบางคาง (ปราจีนเก่า) ไล่ติดตามมา   พระยาตากจึงขึ้นม้าพร้อมไพร่พลออกสู้รบ   กองทัพพม่าแตกพ่ายไป    ถือเป็นชัยชนะที่งดงาม ทางการจึงกำหนดให้วันที่ ๔ มกราคม เป็นวันทหารม้า ของกองทัพบกไทย....


................................


เฒ่าคำ พรานล่านก....


บ้านพรานนกเมื่อ ๒๓ เมษายน ๕๕..ชาวบ้านกำลังเกี่ยวข้าว...

ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาอ่านครับ






วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2555

ตำนานบ้านเกิด...


เส้นทางเดินทัพพระเจ้าตากสิน พ.ศ.๒๓๐๙
(คลิกบนภาพเพื่อดูภาพขยายใหญ่ขึ้น)


     ผมเกิดที่บ้านชายสิงห์ ต.อุทัย อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา ครับ..อ.อุทัย นั้นแม้จะอยู่ห่างตัวจังหวัดประมาณ ๑๑ ก.ม.แต่เมื่อห้าสิบกว่าปีที่แล้วถือว่าเป็นแดนสนธยา  จริง ๆ เพราะการคมนาคมลำบากมาก มีเพียงทางเรือตามลำคลองข้าวเม่าเท่านั้น มีเรือยนต์โดยสารแล่นรับส่งเพียงวันละหนึ่งเที่ยว  บ้านเราสมัยนั้นหน้าแล้งก็เดินตามคันนา ถ้าหน้าน้ำ น้ำท่วมทุ่งก็ใช้เรือพาย  ผูกเรือไว้ที่บันใดบ้านนั่นแหละครับ  ผมชอบวิถีชีวิตในช่วงหน้าน้ำ ก็ประมาณเดือน ตุลาคมถึงประมาณเดือนธันวาคม น้ำจะเอ่อจากริมคลองเข้ามาใต้ถุนบ้าน แต่ไม่ท่วมพื้นบ้านเพราะเป็นบ้านไทยใต้ถุนสูงครับ  จะเห็นว่าพวกเราไม่เรียกว่า "น้ำท่วม" แต่เราจะเรียกว่า "หน้าน้ำ" เพราะน้ำจะมาเข้าทุ่งนาที่เราปลูกข้าวไว้ พอน้ำลดก็เกี่ยวข้าว แถมได้ กุ้ง หอย ปู ปลา ในช่วงเวลานี้ ทำน้ำปลา กะปิ ปลาร้า ไว้กินตลอดทั้งปีอีกด้วย  ใกล้ ๆ บ้านผมมีจะมีลำคลองอีกลำคลองหนึ่ง เราเรียก "คลองชนะ" จะอยู่กลางทุ่งนาไหลจากทางทิศเหนือ ลงมาทางใต้ มารวมกับคลองข้าวเม่า ที่บ้านชายสิงห์นี่แหละครับ...
        ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่าเดิมทุ่งนาแถวบ้านผมเรียกว่า ทุ่งชายเคือง...มีตำนานเล่าว่า..


ทุ่งชายเคือง 
พ.ศ.๒๑๒๙
พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรง เสด็จกรีฑาทัพใหญ่ลงมาถึงกรุงศรีอยุธยา เมื่อเดือนยี่ ขึ้น ๒ ค่ำ ขณะนั้นข้าวในนาทุ่งหันตราทิศตะวันออกยังเกี่ยวไม่เสร็จข้าศึกเข้ามาใกล้ จึงโปรดให้พระยากำแพงเพชร ว่าที่สมุหกลาโหมคุมกองทัพออกไปป้องกันผู้คนที่เกี่ยวข้าว พระมหาอุปราชยกกองมาถึงให้กองทหารม้ามาตีกองทัพพรยากำแพงเพชรแตกพ่ายเข้าพระนคร  สมเด็จพระนเรศวรทรงพิโรจ รับสั่งให้จัดกองทัพแล้วสมเด็จพระนเรศวรกับสมเด็จพระเอกาทศรถ เสด็จลงเรือพระที่นั่งลำเดียวกันยกทัพออกไปทันที ได้รบพุ่งกับข้าศึก ณ ทุ่งชายเคือง เป็นสามารถสมเด็จพระเอกาทศรถถูกกระสุนปืนฉลองพระองค์ขาดตลอดพระกร แต่หาต้องพระองค์ไม่ รบกันอยู่จนเวลาพลบค่ำ ข้าศึกถอยออกไปจากค่ายพระยากำแพงเพชรที่ตีได้นั้น เมื่อการปะทะยุติลงแล้วจึงเสด็จกลับพระนคร
ทุ่งชายเคืองวันนี้มีแต่รถเกี่ยวข้าว ..ชาวบ้านไปเข้าโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ
พ.ศ.๒๓๐๙
ณ วันเสาร์ขึ้น ๔ ค่ำ เดือนยี่ ปีจอ อัฐศก จุลศักราช ๑๑๒๘ ตรงกับวันที่ ๓ มกราคม ๒๓๐๙ พระเจ้าตากสิน(พระยาวชิรปราการ)ทรงเล็งเห็นความแตกแยกขาดความสามัคคีของคนไทย คงต้องเสียกรุงแก่พม่าแน่นอน จึงพร้อมด้วยทหารเอก ๔ นาย ประกอบด้วย หลวงพิชัยอาสา หลวงพรมเสนา ขุนอภัยภักดี หมื่นราชเสน่หา และทหารอีกราว ๕๐๐ นาย ตีฝ่าวงล้อมกองทัพพม่าจากค่ายวัดพิชัยสงครามมุ่งไปทางทิศตะวันออกปะทะสู้รบกับทหารพม่าเรื่อยมา จนถึงคูค่ายทิศตะวันออกทุ่งชายเคือง มีชายฉกรรณ์จากหมู่บ้านมาช่วยรบ จนกองกำลังของพระองค์ได้ชัยชนะ หมู่บ้านที่ชายฉกรรณ์ออกมาสู้รบนั้นภายหลังชื่อว่าบ้านชายสิงห์  และคูค่ายภายหลังเรียกว่า คลองชนะ กองกำลังของพระเจ้าตากสินเดินทางต่อมาได้เวลารุ่งอรุณที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง หมู่บ้านนั้นภายหลังเรียกว่าบ้านอุทัย คือ อำเภออุทัย ในปัจจุบัน...



คลองชนะในปัจจุบัน

ปากคลองชนะที่ใหลมารวมกับคลองข้าวเม่าที่บ้านชายสิงห์

คลองข้าวเม่าที่ไหลผ่านบ้านชายสิงห์

..............................
บนเส้นทางนี้มีวัดโกโรโกโส 
เดิมเป็นวัดร้างเก่าแก่ตั้งแต่สมัยโบราณ
 และถูกพม่าเผาทำลาย
จนเหลือแต่ซาก มีพระพุทธรูป หลวงพ่อแก้วหรือหลวงพ่อดำ
 เดิมนั้นเศียรขาดตกอยู่ที่พื้น
ปัจจุบันชาวบ้านได้ร่วมกันบูรณะ 



วัดโกโรโกโส อยู่ตรงข้ามกับวัดสะแก หลวงปู่ดู่ 


*****
ศาลเจ้าพ่อธนู ข้าวเม่า ตั้งอยู่ใกล้ปากคลองข้าวเม่า 
ใกล้ประตูน้ำวัดกระสังข์
(บรรพบุรุษของผมเคยอาศัยอยู่ย่านนี้ก่อนเคลื่นย้ายไปตั้งรกราก
บ้านท่าต้นจิก ต.หนองไม้ซุง อ.อุทัย )


*****

ศาลเจ้าที่ตลาดสามง่าม อายุกว่า ๑๐๐ ปี  หน้าที่ว่าการอำเภออุทัย




ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ





วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2555

..อยุธยาเมืองเก่าของเราแต่ก่อน..


พระพุทธนิมิตรวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชรญ์บรมไตรโลกนาถ
(คลิกบนภาพเพื่อดูภาพขยายใหญ่)

  เมื่อสองอาทิตย์ก่อนมีโอกาสไปถีบจักรยานรอบเกาะเมืองอยุธยา เนื่องจากเอารถยนต์ไปซ่อมไม่อยากนั่งรออยู่ที่อู่ ก็เลยไปเช่าจักรยานที่เกสเฮ้าส์หน้าสถานีรถไฟอยุธยา ค่าเช่า ๓๐ บาทต่อวัน ทางร้านขอบัตรประชาชนไว้เท่านั้น.........ตั้งใจไว้นานแล้วว่า หากมีโอกาสเมื่อใดจะไปไหว้พระที่วัดหน้าพระเมรุ  ซึ่งตามพงศวดารมีเหตุการณ์สำคัญที่วัดนี้สองครั้งคือ ใน พ.ศ.๒๑๐๖ พระมหาจักรพรรดิ์ใด้ใช้สถานที่นี้เจรจาสงบศึกกับพม่า  และเมื่อ พ.ศ.๒๓๐๓ เมื่อคราวที่พระเจ้าอลองพญา ยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา  พม่าเอาปืนใหญ่มาตั้งที่บริเวณวัดหน้าพระเมรุ กับ วัดหัสดาวาส ซึ่งอยู่ติดกับวัดหน้าพระเมรุ พระเจ้าอลองพญาทรงบัญชาการและทรงจุดปืนใหญ่เอง ปรากฏว่าปืนใหญ่ได้แตกต้องพระองค์บาดเจ็บสาหัสประชวรหนักจนต้องยกทัพกลับไปทางเหนือ และยังไม่พ้นแดนเมืองตาก พระองค์ก็สิ้นพระชนม์....   ........วัดหน้าพระเมรุมีพระพุทธรูปที่สำคัญสององค์คือ หลวงพ่อพุทธนิมิตรวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชรญ์บรมไตรโลกนาถ พระประธานในพระอุโบสถ และ พระคันธารราช พระพุทธรูปศิลาองค์ใหญ่อายุประมาณ ๑๕๐๐ ปี ประดิษฐสถานในพระวิหารสรรเพชรญ์... ..


พระคันธารราช



วัดหัสดาวาส ที่เห็นไกลออกไปเป็นพระอุโบสถวัดหน้าพระเมรุ 
..ปืนใหญ่พม่าน่าจะตั้งอยู่บริเวณต้นไม้ใหญ่ในภาพ..


คลองคูเมือง หรือแม่น้ำลพบุรี กั้นอยู่ระหว่างวัดหน้าพระเมรุ กับพระราชวัง
...ถนนที่เห็นคือถนนอู่ทอง ซึ่งเป็นถนนที่ล้อมรอบเกาะเมืองอยุธยา...
....ต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่ตามแนวกำแพงพระราชวัง...

       
..มองจากวัดหน้าพระเมรุ ออกไป  ทิวไม้ข้างหน้าคือพระที่นั่งสุริยามรินทร์..
..จากวัดหน้าพระเมรุข้ามคูเมืองไปพระราชวังประมาณ ๕๐๐ เมตร..


พระที่นั่งสุริยามรินทร์


พระที่นั่งสรรเพชรญ์


พระที่นั่งตรีมุข


แนวกำแพงวัง ตรงข้ามกับวัดหน้าพระเมรุ

     วัดหน้าำพระเมรุเป็นอีกวัดหนึ่งที่ไม่ถูกพม่าทำลายในสมัยกรุงศรีอยุธยา..ด้วยบุญญาธิการของหลวงพ่อพุทธนิมิตรวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชรญ์บรมไตรโลกนาถพระประธานในพระอุโบสถ จึงทำให้รอดพ้นจากภยันตรายจากการเผาทำลาย โบราณสถานต่าง ๆในวัดยังคงสภาพเดิม หากท่านมีโอกาสไปเที่ยวอยุธยา อย่าลืมแวะไปนมัสการนะครับ.....
                                                                                                                                   

                                                                   ............................


วันศุกร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2555

พรวันสงกรานต์

                                                   
                                                 (คลิกบนภาพเพื่อดูภาพขยายใหญ่ขึ้น)

                                                 ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาเยี่ยมเยียนครับ

วันพฤหัสบดีที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2555

คนรู้ใจ(๔)..

มิตรภาพ ๔๖ ปี....
(คลิกบนภาพเพื่อดูภาพขยายใหญ่)
ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาเยี่ยมเยียน
.

วันอังคารที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2555

คนรู้ใจ(๓)..

....เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป....
(คลิกบนภาพเพื่อดูภาพขยายใหญ่ขึ้น)
ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาเยี่ยมเยียนครับ

คนรู้ใจ(๒)..

ดีใจที่ได้พบกัน......
(คลิกบนภาพเพื่อดภาพขยายใหญ่ขึ้น)
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยียน

วันจันทร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2555

เก็บมาฝาก(๒๐)....ใจเป็นปกติด้วยการให้อภัย..


วัดสุวรรณดาราราม อยุธยา

              การให้อภัยเป็นเรื่องยาก แต่การมีชีวิตด้วยจิตใจที่โกรธแค้นพยาบาทกลับเป็นเรื่องที่ยากลำบากกว่า   คนที่มีความโกรธเกลียดอัดแน่นเต็มหัวใจย่อมไม่อาจพบความสุขและความเบิกบานใจได้ คนเช่นนี้ย่อมยากที่จะมีศรัทธาและกำลังใจในการมีชีวิต ด้วยเหตุนี้เราจึงควรเรียนรู้ที่จะปลดเปลื้องความโกรธเกลียดไปจากจิตใจด้วยการรู้จักให้อภัยและหมั่นแผ่เมตตาไปให้แก่คนที่ทำความเจ็บปวดให้แก่เรา  ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะนึกถึงบุคคลดังกล่าวโดยที่จิตใจไม่พลุ่งพล่าน .....แต่เมื่อใดที่ใจเราสงบ ลองนึกถึงเขาอยู่เป็นระยะๆ นึกถึงแต่ละครั้งก็ยิ้มให้เขา แผ่ความปรารถนาดีให้เขา เราจะพบว่าเรายิ้มให้เขาได้ง่ายขึ้นและจิตใจกระเพื่อมน้อยลง ไม่นานเราก็จะให้อภัยเขาได้ และมีความปรารถนาดีต่อเขาด้วยใจจริงถึงตอนนั้นเราจะพบว่า สิ่งที่ทำให้เราเจ็บปวดทุกข์ทรมานมาเป็นเวลานานนั้นมิใช่อะไรอื่น หากได้แก่ความโกรธเกลียดที่เคยอยู่ในใจเรานั้นเอง ความเจ็บปวดที่เกิดเพราะคนบางคนนั้นแท้จริงได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว แต่ที่ยังคงอยู่ก็เพราะใจเรานั้นเองที่ไปรื้อฟื้นและทะนุถนอมมันเอาไว้ด้วยความจงเกลียดจงชังหมายมั่นจะแก้แค้น ตัวเขาอาจอยู่ไกลแสนไกล แต่เราเองต่างหากที่ไปดึงเขามาไว้กลางใจเราอยู่ทุกโมงยาม พูดให้ถูกต้องก็คือใจเรานั่นแหละที่สร้างปีศาจร้ายมาหลอกหลอนตัวเองอยู่ทุกขณะจิตปีศาจที่แม้รูปร่างหน้าตาเหมือนคนที่เคยประทุษร้ายเรา แต่เป็นผลผลิตจากใจของเราเอง
            การให้อภัยและการแผ่เมตตาแท้ที่จริงก็คือการสยบปีศาจร้ายมิให้มาหลอกหลอนอีกต่อไป จะเรียกว่าเป็นการเชื้อเชิญมันออกไปจากจิตใจของเราก็ได้ ด้วยการให้อภัยและการแผ่เมตตาเท่านั้น จิตใจของเราจึงจะได้รับการเยียวยาและกลับเป็นปกติสุขอีกครั้งหนึ่ง
                                                                         ....................
คัดลอกมาในหนังสือ "ชุดธรรมะจากพระดีร่วมสมัย"
ธรรมะจากพระไพศาล วิสาโล
ภาพวัดสุวรรณดาราราม อยุธยา จาก http://www.gotoknow.org/blogs/posts/484410

วันเสาร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2555

ฉันรู้ว่านายต้องมา..(๕)

เพื่อน..ไม่ทิ้งกัน..!!
......จากงานทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เพื่อนที่ล่วงลับไปแล้ว  ... http://navy09.blogspot.com/2012/04/blog-post_05.html

.....๑๒  พ.ค.๕๕ ทำบุญอุทิศส่วนกุศล พร้อม ถวายปัจจัยสร้างศาลาการเปรียญ พร้อมกับถวายเก้าอี้จำนวน ๗๙ ตัว  ที่วัดทุ่งโปรง สัตหีบ...

http://navy09.blogspot.com/2012/05/blog-post_13.html

วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2555

..คนรู้ใจ..(๑)

Friendship.....
(คลิกบนภาพเืพื่อดูภาพขยายใหญ่ขึ้น)

วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2555

..ฉันรู้ว่านายต้องมา.. (๔)

นย.๑๑ เพื่อนร่วมรุ่น นรจ.รุ่น ๐๙
                                                      (คลิกบนภาพเพื่อดูภาพขยายใหญ่ขึ้น)
                                                       ขอบคุณที่แวะเข้ามาเยี่ยมเยียนครับ

..ฉันรู้ว่านายต้องมา.. (๓)

(คลิกบนภาพเพื่อดูภาพขยายใหญ่ขึ้น)

         .. เมื่อวันเสาร์ที่ ๓๑ มีนาคม ๕๕ ชมรม นรจ.๐๙ ได้ร่วมกันทำบุญถวายภัตราหารเพลแก่พระภิกษุสงฆ์อุทิศส่วนกุศลให้กับเพื่อน นรจ.รุ่น ๐๙ ที่เสียชีวิตแล้ว ที่วัดทุ่งโปรง อ.สัตหีบ ชลบุรี...
        รายชื่อเพื่อน นรจ.รุ่น ๐๙ ที่เสียชีวิต ที่ลิงค์นี้  http://navy09.blogspot.com/2011/05/blog-post_6242.html
                                                                        ............................

วันพุธที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2555

..ฉันรู้ว่านายต้องมา.. (๒)

..Friendship..
(คลิกบนภาพเพื่อดูภาพขยายใหญ่ขึ้น)
...................................
ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมเยียนครับ                                                                         

วันอังคารที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2555

เล่าสู่กันฟัง(๗๒)..ฉันรู้ว่านายต้องมา (๑)

ชัยพจน์ ศ. (อำนาจเจริญ)    ธนู พ.(นนทบุรี)   วิจิตร ช.(ชัยภูมิ)

 ...แล้วเราก็เจอกันจริง ๆ....พบหน้ากันอีกครั้งหลังจากต้องเดินไปตามเส้นทางชีวิตของแต่ละคนจนเกษียณอายุ....๓๑ มีนาคม ๒๕๕๕...   พวกเรากลับมาพบกัน  ช่วงเช้าทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เพื่อนร่วมรุ่นที่จากไปแล้วจำนวน ๗๗ คน ที่วัดทุ่งโปรง สัตหีบ ชลบุรี...
                                                                ..........................................
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ...

วันจันทร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2555

เก็บมาฝาก(๑๙)..เรือนไฟใหม้..


       มีอยู่ครั้งหนึ่ง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านได้เคยเปรียบเทียบร่างกายที่เจ็บไข้ได้ป่วยและมีทุกขเวทนาที่ทนได้ยากว่า เปรียบเสมือนเรือนที่ไฟกำลังไหม้อยู่ เราเจ้าของเรือนจะมัวเสียดายเรือนอยู่ทำไม เมื่อจำเป็นแล้วก็ควรสละเรือนนั้นเสียโดยไม่อาลัย ไปหาเรือนที่อยู่ใหม่ที่ดีกว่าเรือนเก่า สมบัติใด ๆ ที่มีค่า มีประโยชน์ ควรรีบสะสมเอาไปด้วย
        บุญ - กุศล คือ สิ่งที่มีคุณค่าต่อการสร้างภพชาติใหม่ที่ดี คือเรือนใหม่ที่ดีนั้นขึ้นอยู่กับบุญ-กุศล ที่เราได้สะสมเอาไว้ เรื่องเจ็บป่วยและตายนั้นมันเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุก ๆ คน ต้องได้พบอยู่แล้ว จะช้าหรือเร็ว จะก่อนผู้อื่นหรือทีหลังนั้น มันก็ขึ้นอยู่กับกรรมวิบากที่จะส่งผล บางคนอายุน้อยกว่าเราที่เขาตายไปแล้วก็มี 
         และท่านได้เปรียบไว้อีกอย่างว่า เสมือนการเปลี่ยนเสื้อผ้าเก่าออก แล้วหาเสื้อผ้าใหม่ใส่ ร่างกายคนตายนั้นเสมือนเสื้อผ้าเก่า การไปกำเนิดใหม่ในภพภูมิใหม่ ก็เสมือนได้เสื้อผ้าใหม่ จะมัวเสียดายเสื้อผ้าเก่าอยู่ไปทำไม  เสื้อผ้าใหม่จะดีหรือไม่ดีก็ขึ้นอยู่กับบุญและบาปที่ได้เคยสะสมเอาไว้ เช่นเรื่องของนันทิยะอุบาสก ได้สะสมบุญด้วยการสร้างศาลา ๔ หลัง ประกอบด้วยห้อง ๔ ห้อง และมีที่นั่ง รวมทั้งเตียงนอนถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ด้วยบุญ - กุศลนั้น ทำให้เกิดมีปราสาทหลังใหญ่ปรากฏบนสวรรค์ไว้คอยเจ้าของที่ได้ทำบุญเอาไว้...
                                                    ....................................................

จากหนังสือ ใต้ร่มแห่งพระพุทธศาสนา โดย อริโย ภิกขุ