.........
หน้าเว็บ
วันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2566
เก็บมาฝากจากอ่างทอง
.........
วันพฤหัสบดีที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2566
วันพุธที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2566
28 มิถุนายน 2509
วันอังคารที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2566
วันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2566
มีสติระลึกรู้
ธรรมะอรุณสวัสดิ์...รับวันใหม่
.............................
รายการที่เกิดขึ้นทางจมูก มี "กลิ่น" มี "รู้กลิ่น"
ในทางการปฏิบัติจะต้องมีสติระลึก
เวลากลิ่นมันกระทบ รู้สึก ระลึกรู้
ไม่ต้องตีความหมายออกไป
แต่ถ้าจิตมันตีความหมายว่า
กลิ่นนี้เป็นกลิ่นธูป กลิ่นเทียน กลิ่นน้ำหอม กลิ่นอะไรต่าง ๆ
ขณะนั้นไม่ใช่กลิ่นแล้ว
กลิ่นมันเป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่มาปรากฏทางจมูก
แต่พอรู้ว่าเป็นธูป เป็นเทียน เป็นบุหรี่ เป็นน้ำหอม
อย่างนี้เรียกว่าเป็นธรรมารมณ์
เป็นอารมณ์ปรากฏทางใจ
ใจขณะนั้นจะมีความตรึกนึกคิดนึก
มีสัญญาจำได้หมายรู้
มีสังขารประกอบ
แปลความหมายจากกลิ่นมาเป็นธูป เป็นเทียน
เป็นบุหรี่ เป็นน้ำหอม เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้
เปลี่ยนอารมณ์จาก "คันธารมณ์" มาเป็น "ธรรมารมณ์"
ก็ให้มีสติตามรู้ที่จิตใจที่กำลังตรึกนึก
ถ้าไม่มีสติระลึกรู้จิตใจ
คนเราโดยปกติก็จะมีกิเลสตามมา
ถ้าได้กลิ่นหอมก็เป็นความพอใจ เป็นโลภะ
ถ้ากลิ่นเหม็นก็ไม่พอใจ เป็นโทสะอีก
กลิ่นกลาง ๆ ไม่มีสติรู้ ก็เป็นโมหะ
บางทีเราว่าเราใจเฉย ๆ
แต่มันเฉยแบบหลง
เพราะฉะนั้นคนที่ไม่ได้เจริญสติ ไม่ฝึกสติ ไม่เจริญภาวนา
เวลาที่เห็น เวลาได้ยิน เวลารู้กลิ่นก็ตาม
จิตต่อมาจะเกิดกิเลส
ไม่โลภก็โกรธ ไม่โกรธก็หลงอยู่อย่างนั้น
พอได้กลิ่นเหม็นก็โกรธ
ได้กลิ่นหอมก็โลภ พอใจ ติดใจ แล้วก็หลงต่อไป
.............................
ธัมโมวาท โดยหลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี
เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา
.......
Cr.https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid036yhMn5q9cAc2LKYeMWhCWFxst7PFvquKSPoHAKTQoAbaBdUbTp9siEhJFWEHVRtXl&id=100050180992815&mibextid=Nif5oz
วันอาทิตย์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2566
จิตผู้รู้
ธรรมะอรุณสวัสดิ์...รับวันใหม่
.............................
ทำอย่างไรจึงจะเจอจิต จึงจะเจอจิตผู้รู้?
จิตอุปมาเหมือนเจ้าของบ้าน
ทำอย่างไรเจ้าของบ้านจะเจอตัวเอง?
เดินหาก็ไม่เจอ
ไปค้นหาที่ห้องนอนก็ไม่เจอตัวเอง
ไปห้องน้ำก็หาตัวเองไม่เจอ
ไปครัวก็ไม่เจอ ตรงไหนก็ไม่เจอ
มันว่างไปหมด ไม่มีอะไร
แต่ที่จริงมีอยู่ มีเจ้าของบ้านเดินหาอยู่
ทำอย่างไรเจ้าของนั้นจะมาเจอตัวเอง?
… ก็หยุดหา
หยุดหา ก็กลับมาเจอตัวเอง ก็อยู่นี่เอง
หรือให้เจ้าของบ้านนั้นแทนที่จะเที่ยวหา ก็กลับมารู้สึกตัวเสีย
มารู้สึกตัวก็เจอตัวเอง
นี่อุปมาให้ฟัง เพื่อให้ผู้ปฏิบัติเวลาที่รู้สึกว่ามันไม่มีอะไร
มันว่าง มันไม่มีอะไร
หาอะไรก็ไม่มีอะไร
… ก็หยุดหา ก็มาเจอจิตผู้รู้อยู่
หรือ … ให้จิตนั้นรู้สึกตัวขึ้นมา
จิตรู้สึกตัวขึ้นมาก็เจอตัว เจอตัวจิต
นี่เป็นคำอุปมาให้ฟังเพื่อให้ผู้ปฏิบัติได้เทียบเคียงว่า
เวลาที่จิตจะรู้จิต มันก็ทำนองอย่างนี้
หาไม่เจอ … ก็มันมองเลยตำแหน่ง
หยุดหา … ก็กลับมาเจอจิตตัวเอง
จิตเหมือนกัน เที่ยวหา ๆ … ไม่เจอ
แต่พอหยุดหา … รู้สึก … เจอจิต
หรือ … ให้จิตหัดรู้สึกตัวขึ้นมา
เจ้าของบ้านมองออกไปนอกบ้าน
เวิ้งว้างว่างเปล่า มองไปท้องฟ้าว่างเปล่า ไม่มีอะไร มีแต่ว่าง
แต่ที่จริงมีอะไรอยู่?
… มีเจ้าของ
เจ้าของบ้านมองท้องฟ้าอยู่ ว่างเปล่า
ทำอย่างไรถึงจะเจอตัวเองว่ากำลังมองอยู่?
ก็รู้สึกตัวขึ้นมา
เจ้าของบ้านรู้สึกตัว ก็กลับมาเจอตัวเองกำลังมองอยู่
จิตใจนี้ก็เหมือนกัน
กำลังมองอะไรอยู่ กำลังหาอะไรอยู่
ก็รู้สึกตัวขึ้นมา ก็กลับมาเจอตัว ตัวของจิต
ฝึกการรู้สึกตัวขึ้น
แม้จะไม่ใช่อยู่ในสมาธิ ก็รู้สึกตัวได้
แม้จะยืนอยู่ เดินอยู่ นั่งอยู่ นอนอยู่ คู้ เหยียด เคลื่อนไหวอยู่
ทำอยู่ พูดอยู่ คิดอยู่ ฟังอยู่ มองดูอยู่
ก็สามารถที่จะรู้สึกตัว กลับมารู้ตัวได้
ในชีวิตประจำวันที่จะต้องฝึกหัดการรู้สึกตัวขึ้นมา
พอจิตรู้สึกตัว จิตก็จะรู้ตัวของจิต
แล้วก็รู้กายได้ด้วย
กายรู้ง่ายกว่าเยอะ
ฝึกบ่อย ๆ เข้าก็เป็น เรื่องการรู้สึกตัว
.............................
ธัมโมวาท โดยหลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี
เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา
.........
Cr.https://www.facebook.com/100050180992815/posts/pfbid085NG2DMt2gaZ9ccyy76nu5pzBSJKmNomQX9uGZ8vpN2T8ifEEgHpM95UrPJRnogsl/?mibextid=Nif5oz
วันเสาร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2566
หัวใจดวงที่สอง
Cr.fwd.line
ทำไมกล้ามเนื้อน่องถึงถูกเรียกว่าเป็นหัวใจดวงที่สอง
.
ก็เพราะว่า กล้ามเนื้อน่องเป็นปัจจัยสำคัญในระบบหมุนเวียนเลือด (Circulatory System) คล้ายกับระบบหัวใจ
.
สมมติหัวใจบีบตัวหนึ่งครั้ง ก็จะมีพลังมากพอที่จะส่งเลือดไปทั่วร่างกาย ภายในไม่กี่วินาที ซึ่งเลือดที่มีออกซิเจนนั้นก็จะพุ่งตัวผ่านหลอดเลือดเส้นเลือดฝอยไปจนถึงทุกเซลล์ในร่างกายเพื่อที่จะส่งลำเลียงออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยง
.
แล้วเลือดที่ไม่มีออกซิเจนก็จะถูกส่งกลับผ่านเส้นเลือดดำไปยังหัวใจ ซึ่งก็จะผ่านปอดแล้วก็ได้รับออกซิเจนใหม่อีกครั้ง
.
ปัญหาคือการที่จะส่งเลือดกลับไปยังหัวใจนั้น มันต้องใช้แรงดันมากกว่าการบีบตัวหนึ่งปั๊มตอนที่ส่งลงมา ซึ่งการที่จะทำให้ได้ผลดีนั้นเส้นเลือดก็จะต้องการ negative energy จากการปั๊มของหัวใจแล้วก็กระตุ้นด้วยสิ่งที่เราเรียกว่า “calf muscle pump” ก็คือการปั๊มจากกล้ามเนื้อน่องของเรา
.
พอเราเข้าใจแบบนี้แล้ว ว่ากล้ามเนื้อน่องนั้นสำคัญในการช่วยหัวใจในระบบการหมุนเวียนเลือด เราก็เข้าใจถึงความสำคัญของน่อง ที่ควรจะต้องแข็งแรง เพื่อสุขภาพที่ดี
ดูจากรูปนะคะ
Venous return หรือเลือด ที่ไม่มีออกซิเจนจากกล้ามเนื้อก็จะถูกส่งผ่านในหลอดเลือดดำกลับเข้าสู่หัวใจ จากขาและเท้า และเนื่องจากหัวใจไม่สามารถที่จะทำเองได้โดยมีประสิทธิภาพเต็มที่ก็ต้องอาศัย veno-muscular pumps ในช่วงขาและน่อง เพื่อที่จะกดดัน ส่งเลือดที่ใช้แล้วกลับขึ้นไปให้ถูกทิศทาง ซึ่งการปั๊มก็คือจะมาจากข้อเท้าและน่อง ที่จะทำงานร่วมกัน ส่วนใหญ่ก็จะเกิดขึ้นเวลาเดินนั่นแหละค่ะ
.
ก้าวเดิน ส้นแตะพื้น เลือดก็ไปท่วมในเส้นเลือด พอปลายเท้าเราแตะพื้น เลือดที่ pooled รออยู่ ก็ถูกส่งขึ้นไปข้างบน
.
เลือดที่ถูกส่งก็จะเข้าไปในเส้นเลือดที่กล้ามเนื้อน่องลึกหรือ soleus muscle ซึ่งมันอยู่ข้างใต้น่องรูปหัวใจคว่ำปูดๆ ที่เรามักจะเห็นกันชัดเจน นั่นแหละค่ะ ซึ่งทางกล้ามเนื้อกลุ่มน่องลึกนี้ จะเกาะตั้งแต่ข้อเท้าจนถึงด้านหลังของเข่าเลย ยาวตลอดแนวนั้นเลยค่ะ ซึ่งก็จะมีเส้นเลือดซึ่งใช้ในการส่งผ่านเลือดที่ถูกใช้แล้วไม่มีออกซิเจนแล้วผ่านขึ้นไปถึงเข่า ซึ่งก็เป็นจุดนัดพบของเส้นเลือด ในช่วงขาตอนล่าง และทุกครั้งที่กล้ามเนื้อน่องเกร็งบีบตัว กล้ามเนื้อก็จะไปกดดัน บีบตัวไล่เลือดกลับขึ้นไป
.
แล้วเลือดก็จะถูกส่งผ่านขึ้นไปจากเข่า ไปถึงขาหนีบ ไปที่ช่วงตัวแล้วก็ขึ้นไปที่หัวใจ ซึ่งช่วงหลังก็จะไม่ค่อยยากเพราะว่าไม่ค่อยมีแรงต้านจากแรงดึงดูดของโลก เท่ากับช่วงล่างหรือช่วงน่องต้นทาง
.
ซึ่งอันที่จริงแล้วเน็ตเวิร์คในช่วงน่องนี้ค่อนข้างที่จะซับซ้อนมากมาย กว่าที่อธิบายเยอะ นี่พยายามทำให้เข้าใจง่ายอยู่นะคะ ประสบความสำเร็จหรือไม่ไม่รู้ แต่สรุปว่าก็จะมีเส้นเลือดทั้งเล็กใหญ่ ขนาดแตกต่างกัน อยู่ลึกตื้นต่างกัน ซึ่งก็จะใช้งานในจุดประสงค์เดียวกันก็คือส่งเลือดกลับไปที่หัวใจให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยทำงานกันเป็นทีม ซึ่งไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้ถ้าเผื่อว่ากล้ามเนื้อน่องของเราไม่สามารถที่จะบีบตัว ช่วยปั้มเลือดกลับขึ้นไปได้อย่างแข็งแรง ไม่ใช่แข็งแรงอย่างเดียว แต่ต้องแอคทีฟ
.
แม่นแล้วค่ะ เมื่อเราหยุดเดิน เราก็หยุดการกระตุ้นการส่งเลือดกลับขึ้นไป ซึ่งก็ไม่ได้แปลว่าหัวใจจะบีบและส่งแรงกดดันไปยังเส้นเลือดเหล่านั้นได้ แต่มันก็จะช้าลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเทียบกับเวลาที่เราแอคทีฟ ดังนั้นเราจึงเห็นบ่อยว่าถ้าเผื่อว่าเรานอนเฉยเพราะว่าป่วย หรือเราไม่ลุกเดินเป็นเวลานาน จะด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม ก็จะเสี่ยงที่มีอาการเลือดค้าง หรือ blood pooling มากเข้าก็จะกลายเป็นเส้นเลือดฝอยขดคล้ายเส้นใยแมงมุม (Spider Veins) หรือหนักขึ้นไปอีกคือภาวะลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำอุดตัน ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก มักเกิดขึ้นบริเวณน่องนั่นแหละค่ะ หรือบางกรณีก็ขาบวม เป็นตะคริว ถ้าเผื่อว่าเราติดนั่งติดกันทั้งวันไม่ลุกเดินไปมาเลย
.
วิธีการแก้ไข
.
ง่ายที่สุดก็ต้องลุกขึ้นมาใช้งาน ไม่ต้องกลัวน่องโตหรอกค่ะ อันที่จริงแล้วยิ่งอายุมากขึ้นกล้ามเนื้อน่องจะหดเล็กลง แล้วเราก็จะมีปัญหาในการบีบเลือดกลับขึ้นไปที่หัวใจ และเราก็มีความเสี่ยงในเรื่องของโรคที่เกี่ยวกับหัวใจมากขึ้น
การที่กล้ามเนื้อน่องเล็กลีบลง สามารถเกิดขึ้นได้จากการที่เรากินอาหารไม่เพียงพอด้วย ดังนั้นอย่าเอาแต่อดอาหาร กินสารอาหารได้ครบไม่ต้องกลัวน่องใหญ่หรอกค่ะ กล้ามเนื้อน่องที่สมบูรณ์สวยจะตาย ดูแข็งแรง โภชนาการจึงสำคัญพอๆกับการบริหารน่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกล้ามเนื้อน่องลึก ตัว soleus muscles ยิ่งต้องให้ความสำคัญที่จะทำให้มันแข็งแรงเพื่อที่จะช่วยหัวใจในการพัฒนาการส่งเลือดที่ถูกใช้แล้วกลับขึ้นไปให้ได้เร็วและแรง ซึ่งมีผลโดยตรงต่อสุขภาพของเรา มากกว่าที่จะมานั่งกลัวน่องใหญ่
.
วิธีการที่จะบริหารน่องที่ดีที่สุดก็คือการเดิน เพราะกล้ามเนื้อน่องก็จะปั๊มเลือดกลับขึ้นไปในขณะที่เราเดิน วางส้นลงไปที่พื้นกล้ามเนื้อน่องก็เกร็งถูกเทรนแล้ว ยิ่งถ้าเดินเยอะ กล้ามเนื้อน่องจะไม่แข็งแรงเป็นไปได้อย่างไร
.
วิธีการบริหารน่องก็ไม่ต้องมากมายก่ายกองอะไรเลย เขย่งเท้าก็ได้แล้ว หรือทำท่า Calf Raises – ยืนตรงบันไดให้ส้นเลยออกมา เขย่งขึ้นช้าๆ แล้วก็กดส้นลงจนเลยขั้นบันไดลงมา ทำซัก 10 ครั้ง วันละกี่ครั้งกี่รอบก็ได้ค่ะ
.
ท่า Lunges ก็เป็นอีกท่าหนึ่งที่ดี ไม่ว่าจะเป็น forward , backward หรือ walking lunge รับหมดค่ะ
.
รู้จะเดินเขย่งเท้าก็ได้ซัก 100 ก้าว ถ้าเผื่อว่าง่ายไปก็ถือเวท เดินไปมา
.
แล้วก็อย่าลืมยืดเหยียดน่องด้วยนะคะ เพื่อที่จะให้กล้ามเนื้อน่องลึก มันยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพ เพราะถ้ามันตึงและเกร็งไม่มีความยืดหยุ่น มันก็ไม่กระตุ้นเส้นเลือดได้ดี เท่าที่ควร
.
และอันที่จริงแล้วการที่กล้ามเนื้อน่องยืดหยุ่น บางทีและบ่อยเลยมันก็ไปช่วยให้ข้อเท้าของเรามีความคล่องตัวมากขึ้น ข้อเท้าของเราก็ช่วยปั๊มได้ดีขึ้นค่ะ
โค้ชเอิน xx
วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2566
วันพฤหัสบดีที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2566
วันพุธที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2566
วันอังคารที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2566
วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2566
วิธีปฏิบัติต่อทุกขเวทนา
ธรรมะอรุณสวัสดิ์...รับวันใหม่
.............................
วิธีปฏิบัติต่อทุกขเวทนา มีวิธีอยู่ ๒ แบบ
แบบประจัญบาน กับแบบชั้นเชิง
… แบบประจัญบาน
ก็คือปวดก็เข้าไปดูที่ปวด
ดูไปที่ในปวด ปวดในปวด
ปวดมันปวดตลอดเวลาไหม?
มันมีแรงมีค่อยไหม?
มันมีแรง ๆ จี๊ด แล้วมันก็เบาลง เดี๋ยวจี๊ด
การเห็นมันคลายมันเปลี่ยนแปลง ก็ทำให้ทนได้
เห็นว่ามันแรง มันผ่อน ก็ทำให้ช่วย ค่อยยังชั่วหน่อย
เดี๋ยวมันก็แรงอีก แล้วทนไปเดี๋ยวก็คลาย
ดูความเปลี่ยนแปลงของมันอย่างวางเฉย
ทรมานไหม?
ปวดเจ็บทรมาน ขาแทบแตก
ต้องวางเฉย ดูความเปลี่ยนแปลงในปวดในทุกข์
เวทนาจนที่สุดเขาก็ดับไปเอง
แต่ต้องนาน เลยชั่วโมง บางคนต้องเลยชั่วโมง
แบบที่ ๒ … แบบชั้นเชิง
ไม่ไปประจัญบาน
#ไม่ต้องไปใส่ใจตรงที่ปวด
ไปใส่ใจดูจิต ดูจิตใจ ดูลมหายใจ ดูสภาวะอื่น ๆ
โดยเฉพาะ #รู้จิตใจไว้ #เอาใจมารู้ที่ใจ
ถ้าใจมารู้ใจ ใจก็จะทิ้งปวดไปหนึ่งขณะ
ใจรู้ใจสองขณะ ก็ทิ้งปวดสองขณะ
ใจรู้ลมหายใจ ก็ทิ้งความปวดเป็นขณะ ๆ
มันก็จะไม่ทรมาน
มันรับได้ทีละอย่าง
ไปรับรู้จิตรู้ใจ มันก็ไม่รู้ปวด
แต่มันดึงกลับมาอีก
มันก็จะรู้สึกเห็นมันสลับไปสลับมา
และทำให้เห็นว่า "จิต" กับ "ปวด" เป็นอย่างเดียวกันหรือคนละอย่าง?
ความปวดอยู่ที่ไหน? ร่างกาย
รู้ปวดอยู่ที่ไหน?
จิตผู้รู้มันอยู่ข้างบน
แต่มันมีกระแสไปดูปวดได้ ไปรับรู้ปวด
จิตไปรู้ปวด ใช่ความปวดไหม?
มันไปรู้ปวด แต่มันไม่ใช่ความปวด
แต่ถ้าไม่รู้จิตไว้ จิตมันก็ไปรวมกับปวด
กลายเป็นเหมือนอันเดียวกัน แล้วก็กลายเป็นตัวเราปวด
แต่ถ้ามีการแยกมาดูจิต ดูจิตไว้
ก็จะเห็นว่าปวดเป็นอย่างหนึ่ง จิตเป็นอย่างหนึ่ง
รู้จิตแล้วหัดให้จิตมันเป็นอย่างไร?
วางเฉย
วางไม่เป็นก็ต้องสอนว่า
วางนะ ปวดไม่ใช่เรา ช่างเขา
รักษาจิต วาง
สอน ๆ มันไปก่อน เตือนเขาไปก่อน
ปล่อยวางนะ เตือน ปล่อย
ได้ #เห็นปวดเป็นอย่างหนึ่ง #จิตเป็นอย่างหนึ่ง
นี่ถือว่ามีปัญญา
เป็นวิปัสสนาญาณขั้นที่ ๑
.............................
ธัมโมวาท โดยหลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี
เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา
วันอาทิตย์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2566
3 เคล็ดลับสร้างความแข็งแกร่งให้จิตใจ
เสโล ยถา เอกฆโน วาเตนนะ สมีรติ
วันเสาร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2566
วันพฤหัสบดีที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2566
กตัญญูเป็นเรื่องสำคัญ
*** กตัญญุ เป็นเรื่อง สำคัญ ในชีวิตผม
มีลูกอย่า สอนให้เค้าเก่ง อย่าสอนให้เค้าอวดดี แต่ควรสอนให้เค้ามีเมตตา สอนให้เค้าเอาตัวรอดได้ สอนให้เค้ามีความรักดี แล้วทุกอย่าง ดีดี จะตามมาเอง
….. ข้อคิดดีดี สำหรับผม #อาร์ตพศุตม์
Cr.https://fb.watch/l9Zkm3eGM7/?mibextid=Nif5oz
วันพุธที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2566
อวัยวะขับพิษทั้ง ๖
Cr.Fwd.line
การ Detox โดยไม่ต้องสวนก้น เอาอะไรเข้าไปก่อกวนลำไส้ ซึ่งอาจมีโทษข้างคียง เช่น ทำลายระบบนิเวศของ แบคทีเรียดีในลำไส้ นำสู่การขาดวิตามิน B12
เว้นแต่มีข้อบ่งชี้ เช่น ท้องผูก
อวัยวะขับพิษ ทั้ง 6
บทความตอนหนึ่ง ของ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
ร่างกายของเรา เขาทำงานของเขาเองอยู่แล้ว โดยอาศัยอวัยวะ ขับพิษทั้ง 6 คือ (1) ตับ (2) ไต (3) ปอด (4) ลำไส้ใหญ่ (5) ต่อมเหงื่อที่ผิวหนัง (6) น้ำเหลือง
ถ้าท่านอยากจะล้างพิษ ผมแนะนำให้ท่าน ช่วยให้อวัยวะ ทั้งหกนี้ ทำงานได้ดีขึ้น ดังนี้
(1) ท่านช่วย “ตับ” ของท่านได้ ด้วยการกินอาหาร ที่ตับต้องใช้ในการขจัดพิษ ที่เรียกว่า สารต้าน อนุมูลอิสระ นั่นแหละ ได้แก่ อาหารพืชที่หลากสี (เน้นสีม่วงแดง) หลากรส (เน้นรสขม) ตามฤดูกาล (เน้นเห็ด) และ เน้นขมิ้นชัน ในภาพรวมว่าเป็นสาร ต้านอนุมูลอิสระ ที่โดดเด่น
นอกจากนี้ ควรขยันออกแดด เพื่อให้ไมโตคอนเดรีย ในเซลร่างกายของท่าน ทุกเซลช่วยกันสร้าง สารต้านอนุมูลอิสระ ชื่อเมลาโทนิน ขึ้นมาช่วยการทำงานของตับ
(2) ท่านช่วย “ไต” ของท่านได้ ด้วยการระวัง ไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ กินเกลือให้น้อย กินยาให้น้อยที่สุด ไม่กินยาที่ทำให้ เป็นโรคไตเรื้อรัง โดยตรง เช่น ยาลดการหลั่งกรด (เช่น omeprazole) ยาแก้ปวด แก้อักเสบข้อ และอย่าฉีดสี เพื่อวินิจฉัยโรคบ่อย โดยไม่จำเป็น เพราะ สีเหล่านั้น เป็นพิษต่อไตมาก..ก
(3) ท่านช่วย “ปอด” ของท่านได้ ด้วยการ ฝึกหายใจให้ลึก ฝึกกลั้นหายใจนิดหนึ่ง ขณะลมเต็มปอด ฝึกหายใจออก ให้ยาวกว่า การหายใจเข้า เพื่อเอาลมค้างออกมา ให้มากที่สุด ใช้วิธีนับ 4-4-8 อย่างที่ผมเคยสอน ในบล็อกก่อนๆ ก็ได้ (เข้า 1 2 3 4, กลั้นไว้ 1 2 3 4 ออก 1 2 3 4 5 6 7 8 ) และขยันพาตัวเอง ไปอยู่ในบรรยากาศธรรมชาติ อากาศดีๆ
(4) ท่านช่วย “ลำไส้ใหญ่” ของท่านได้ ด้วยการเอาใจใส่ เลี้ยงดูชุมชนจุลินทรีย์ (microbiomes) ในลำไส้ของท่าน ให้เจริญเติบโต หลากหลาย เพราะพวกเขา เป็นผู้ขับพิษ ที่แท้จริงของท่าน
วิธีเลี้ยง ก็คือ กินของที่พวกเขา ใช้เป็นอาหาร (prebiotic) เช่น กากต่างๆ และถั่วต่างๆ และ ขยันกินอาหาร ที่มีจุลินทรีย์ (probiotic) เช่น อาหารหมักๆดองๆ ชาหมัก เป็นต้น
(5) ท่านช่วย “ต่อมเหงื่อบนผิวหนัง” ของท่านได้ ด้วยการขยันออกกำลังกาย ให้เหงื่อออกมากๆ ขณะเดียวกัน ก็ดื่มน้ำตามไม่ให้ขาด ถ้ามีซาวน่า ก็ขยันอบซาวน่า ให้เหงื่อไหลโทรมกาย ก็ช่วยได้
(6) ท่านช่วย “ระบบน้ำเหลือง” ของท่านได้ ด้วยการขยัน ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว อย่างน้อย ให้ขยันเดินทั้งวัน วิ่งเหยาะๆบ้าง เมื่อมีโอกาส เพราะการขยับแขนขา เป็นปัจจัยเดียว ที่จะขับเคลื่อน การไหลเวียน ของน้ำเหลือง เอาของเสียไปทิ้งได้ ทำทั้งหกอย่าง นี่แหละ เป็นการ “ดีท๊อกซ์” ที่ได้ผลดีที่สุด ปลอดภัยที่สุด ไม่ต้องไปเสียเงิน ฉีดอะไรที่เสี่ยงๆเข้าตัวเอง ทุกเดือนเลย
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
บรรณานุกรม
1. Knudston ML, Wyse DG, Galbraith PD, et al. Chelation therapy for ischemic heart disease, a randomized controlled trial. JAMA. 2002;287(4):481-486.