หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2566

รองเท้าที่หายไป...


รองเท้าที่หายไป........


     เด็กน้อยคนนึงไปเตะฟุตบอลที่สนามหญ้าท้ายหมู่บ้าน เขาลงสนามเตะฟุตบอลกับเพื่อนด้วยเท้าเปล่า โดยถอดรองเท้านักเรียนไว้ข้างสนาม เพราะเขามีรองเท้าเพียงคู่เดียว ที่ทั้งใส่เตะบอลและใส่ไปโรงเรียน และใส่ไปช่วยพ่อเขาเก็บของเก่าหาเงินมาจุนเจือครอบครัว


     หลังเตะบอลเสร็จ เขาก็พบว่ารองเท้าของเขาหายไป โดยไม่รู้ว่าใครมาเอาของเขาไป


     เขาเสียใจปนกับความหวาดกลัวที่อาจจะโดนพ่อของเขาดุด่าว่ากล่าว จิตใจของเขาสับสนกังวล คิดว่าพรุ่งนี้เขาจะใส่อะไรไปโรงเรียน


     เขาเดินเท้าเปล่ากลับบ้าน โดยมือทั้งสองข้างปาดน้ำตามาตลอดทาง ถึงบ้านคราบน้ำตายังคงอาบสองแก้ม


     เขาเดินไปบอกเรื่องราวต่างๆ กับพ่อด้วยอาการประหม่า และเตรียมใจที่จะโดนตำหนิ


     พ่อวางมือจากงานตรงหน้า แล้วบอกกับลูกชายว่า... "รองเท้าหายแต่เท้าก็ยังอยู่ ลูกยังเหลือเท้าตั้งสองข้างพาตัวเองกลับมาบ้านได้ นั่นถือเป็นเรื่องที่ดีแล้ว อย่าร้องไห้ไปเลยลูกรัก เก็บน้ำตาไว้เสียใจกับเรื่องอื่นดีกว่า วันหนึ่งอาจมีเรื่องที่ลูกจะต้องพบเจอ สูญเสีย ผิดหวัง อีกมากมาย และอาจเป็นเรื่องที่ใหญ่กว่าวันนี้ ไปเถอะไปอาบน้ำ แล้วมากินข้าวกับพ่อ พรุ่งนี้เราไปซื้อรองเท้าใหม่กัน"


     ถึงพ่อของเขาจะยากจน แต่ร่ำรวย ความคิดดีๆ มากมายเหลือเกิน


     แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อเขาเติบโตออกไปทำงาน ออกไปอยู่ในสังคม เขาพบว่า...เขาต้องสูญเสียอะไรหลายอย่างไป เช่น... เลิกกับแฟน หมาที่รักมากตายจากไป และอะไรอีกหลายอย่างมากมายในชีวิต ฯลฯ


     เขาไม่เคยร้องไห้อีกเลย เพราะคิดถึงคำสอนพ่อที่ว่า...รองเท้าหายแต่เท้าก็ยังอยู่


     ไม่ว่าเขาจะสูญเสียอะไรไป เขายังเหลือลมหายใจ เหลือสองมือสองขา เหลือความรู้ เหลือสติปัญญา ใช้มันสร้างสิ่งใหม่ๆ ได้


     และครั้งสุดท้ายที่เขาร้องไห้ คือวันที่เขาสูญเสียพ่อเขาไป วันนั้นเป็นวันที่เขาเข้าใจความหมาย ที่พ่อเคยสอนอย่างถ่องแท้ว่า...ต่อให้ไม่มีพ่อ เขาจะต้องอยู่ให้ได้


     ชีวิตของเราก็เช่นเดียวกัน เรื่องบางเรื่อง.. มันก็เหมือนรองเท้าที่หายไป แต่อย่าลืมว่า.. เรายังเหลืออะไรให้เราอีกตั้งมากมายในชีวิต เพียงแค่เราก้าวต่อไปข้างหน้าให้ได้อย่างมั่นคงและมุ่งมั่น ด้วยสองมือ สองเท้า และสมองของเราเท่านั้นเอง


ขอให้กำลังใจแด่ท่านผู้อ่านทุกท่าน



ขอขอบคุณ: ท่านเจ้าของบทความ และ ท่านผู้ใจดีเอื้อเฟื้อแบ่งปันส่งต่อ มาให้อ่าน

Cr.Fwd.line

 

วันพฤหัสบดีที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2566

วัดกุฎีดาว อยุธยา


 ...ราชธานีเก่า อู่ข้าวอู่น้ำ เลิศล้ำกานต์กวี คนดีศรีอยุธยา..

วัดกุฎีดาว

เป็นวัดร้างตามตำนานโบราณ กล่าวว่ามีพระมหากษัตริย์ เป็นผู้สร้าง(ส่วนพระมเหสีสร้างวัดมเหยงค์)มีการบูรณะใน สมัยพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ แห่งกรุงศรีอยุธยา

จากซากที่ปรากฎในปัจจุบัน คงจะเป็นอารามที่ใหญ่โตพอสมควร... วันหยุดนี้แวะไปเที่ยว อยุธยา กันนะคะ...   :)

******

วัดเสนาสนารามฯ(คลิก)

ชายผู้จากไป

 Cr.Fwd.line


(ผู้ชาย) ชายผู้จากไป


สัปดาห์สุดท้ายของปี 

ผม(พิษณุ นิลกลัด)ไปงานสวดและงานเผา ผู้ชายวัย 81 ปี ที่ผมรู้จักเขา ยาวนาน 30 ปี ไม่ใช่ญาติ แต่สนิทนักรักใคร่เสมือนญาติ


ก่อนเสียชีวิตไม่กี่วัน เขาสั่งลูกและภรรยา แบบคนไม่ครั่นคร้ามความตายว่า สวดสามวัน แล้วเผา 


ไม่ต้องบอกใครให้ วุ่นวาย อย่าเศร้า อย่าร้องไห้ ทุกคนต้องมีวันนี้  


เพียงแต่เขาอยู่หัวแถว เลยต้องไปก่อน แล้วลูกเมียก็ทำตามคำสั่ง สวดสามวัน .. เผา


งานสวด 3 คืน มีคนฟังพระสวดคืนละ 14 คน คือ เมีย ลูก หลาน เขย สะใภ้ และผม ซึ่งเป็นคนนอก 


เป็นงานศพที่มีคนไปร่วมงานน้อยที่สุด เท่าที่ผมเคยไปฟังสวด วันเผามีเพิ่มเป็น 17 คน 


สามคนที่เพิ่ม เป็นเพื่อนบ้านที่เคยคุยด้วยเกือบทุกเย็น คนหนึ่ง 


อีกคนเป็นแม่ค้าล็อตเตอรี่ 

ที่เคยยืมเงินแล้วไม่มีสตังค์จ่าย เลยเอาล็อตเตอรี่ ทยอยผ่อนใช้หนี้แทนเงิน งวดละสองใบ 


และคนสุดท้ายเป็นหญิง 

ที่ผู้ตายเคยผูกปิ่นโตทุกมื้อเย็น


ทั้งสามคนบอกว่า เกือบมาไม่ทันเผา เคราะห์ดีที่แวะไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล เจ้าหน้าที่บอกว่า เสียชีวิตไปแล้ว 3 วัน


หลังฌาปนกิจ 

พระกระซิบถามเจ้าหน้าที่วัดว่า เจ้าของงาน จ่ายเงินค่าศาลาสวดพระอภิธรรมแล้วหรือยัง? 


พระท่านคงไม่เคยเห็น 

งานศพที่มีคนน้อย แบบที่ผมก็รู้สึกตั้งแต่สวดคืนแรก


จริงๆ แล้ว ผู้ตายเป็นคนค่อนข้างมีสตังค์ ทำงานที่ธนาคารแห่งประเทศไทย 

จนเกษียณอายุ ในตำแหน่งหัวหน้าหน่วย


แต่ด้วยความที่รักและศรัทธาอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อดีตผู้ว่าการแบงค์ชาติ จึงดำเนินชีวิตแบบไม่ปรารถนาให้ใครเดือดร้อน แม้กระทั่งวันตาย


ผมสนิทกับเขา เพราะเขามีความฝันในวัยเด็ก อยากเป็นนักประพันธ์ แบบ "ไม้ เมืองเดิม" ที่เขาเคยนั่งเหลาดินสอ และวิ่งซื้อโอเลี้ยงให้


เมื่อตัวเองเป็นนักเขียนไม่ได้ พอมาเจอะผมที่เป็นนักข่าว ก็เลยถูกชะตา และให้ความเมตตา 


การมีโอกาสได้พูดได้คุยกับเขาตามวาระโอกาสตลอด 30 ปี ทำให้ได้แง่คิดดีๆ มาใช้ในการดำรงชีวิต


วันหนึ่งเขารู้ว่า ขโมย ยกชุดกอล์ฟของผมไปสองชุด ราคา 4 แสนกว่าบาท เขาปลอบใจผมว่า "ของที่หาย เป็นของฟุ่มเฟือยของเรา แต่มันอาจเป็นของจำเป็นสำหรับลูกเมียครอบครัวเขา คิดซะว่าได้ทำบุญ จะได้ไม่ทุกข์"


เขามีวิธีคิด "เท่ๆ" แบบ.. ผมคิดไม่ได้ มากมายเป็นต้นว่า "สุขและทุกข์อยู่รอบตัวเรา อยู่ที่ว่า เราจะเลือกหยิบ เลือกคว้าอะไร"


คงเป็นเพราะเขา .. 

เลือกคว้า แต่ความสุข


ช่วงปีสุดท้ายของชีวิต 

เขาต่อสู้กับโรคชรา เบาหวาน หัวใจ ความดัน เกาต์ และไตทำงานเพียง 5 เปอร์เซ็นต์ โดยไม่ปริปากบ่น 


แถมยังสามารถให้ลูกชายขับรถพาเที่ยว ในวันหยุดสุดสัปดาห์ โดยที่ตัวเองต้องหิ้วถุงปัสสาวะ

ไปด้วยตลอดเวลา เนื่องจากไตไม่ทำงาน ปัสสาวะเองไม่ได้


6 เดือน สุดท้ายของชีวิต 

ต้องนอนโรงพยาบาล สามวัน นอนบ้านสี่วัน สลับกันไป


เวลาลูกหลาน หรือเพื่อนของลูก รวมทั้งผมด้วย ไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล เขามีแรงพูดติดต่อกัน 

ไม่เกิน 10 นาที 


แต่ 10 นาทีที่พูด มีแต่เรื่องสนุกสนาน เรียกรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ จากคนไปเยี่ยมไข้ 


ทุกคนพูดตรงกันว่า "คุณตา.. ไม่เห็นเหมือนคนป่วยเลย ตลกเหมือนเดิม"


พอแขกกลับ ลูกหลานถามว่า ทำไมคุยแต่เรื่องตลก


เขาตอบว่า "ถ้าคุยแต่เรื่องเจ็บป่วย วันหลัง ใครเขาจะอยากมาเยี่ยมอีก"


เขาเป็นคนชอบคุยกับผู้คน ไม่ว่าจะอยู่บนเตียงคนไข้ หรืออยู่บนรถแท็กซี่


บ่อยครั้งที่นั่งรถถึงหน้าบ้านแล้ว แต่สั่งให้โชเฟอร์ ขับวนรอบหมู่บ้าน เพราะยังคุยไม่จบเรื่อง แล้วจ่ายเงิน ตามมิเตอร์ !


4 เดือนสุดท้ายของชีวิต 

แพทย์ที่รักษาโรคไตมา ตั้งแต่สมัยเป็นแพทย์อินเทิร์น จนกระทั่งเป็นหัวหน้าแผนก แนะนำให้พักรักษาตัว ในโรงพยาบาลให้แข็งแรง แล้วค่อยกลับบ้าน


แต่อยู่ได้แค่ 4 วัน เขาวิงวอนหมอว่า ขอกลับบ้าน หมอซึ่งรักษากันมา 16 ปี ไม่ยอม เขาพูดกับหมอด้วยความสุภาพ

ว่า 


"ขอให้ผมกลับบ้านเถอะ 

ผมอยากฟังเสียงนกร้อง 

คุณหมอไม่รู้หรอกว่า คนคิดถึงบ้านมันเป็นอย่างไร เพราะพอเสร็จงาน คุณหมอก็กลับบ้าน"


หมอได้ฟังแล้วหมดทางสู้ ยอมให้คนไข้กลับบ้าน แต่กำชับให้มาตรวจ ตรงตามเวลานัดทุกครั้ง


1 เดือน ถึงวาระสุดท้ายของชีวิต เขาสูญเสียการควบคุมอวัยวะของร่างกายเกือบทั้งหมด


เคลื่อนไหวได้อย่างเดียว 

คือ กะพริบตา แต่แพทย์บอกว่า สมองของเขายังดีมาก เวลาลูกเมียพูดคุยด้วย ต้องบอกว่า "ถ้าได้ยิน พ่อกะพริบตาสองที"


เขากะพริบตาสองที ทุกครั้ง เห็นแล้วทั้งดีใจและใจหาย เขายังรับรู้ แต่พูดไม่ได้ 


นี่กระมังที่เรียกว่า ถูกขังในร่างของตนเอง


สิบวันก่อนพลัดพราก ภรรยากระซิบข้างหูว่า.. "พ่อสู้นะ"


เขาไม่กะพริบตาซะแล้ว ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้สองเดือน เคยตอบว่า.. "สู้"


เขาสู้กับสารพัดโรค ด้วยความเข้าใจโรค สู้ชนิดที่หมอออกปากว่า

 "คุณลุง.. แกสู้จริงๆ"


ตอนที่วางดอกไม้จันทน์ 

ผมนึกถึงประโยค ที่แกพูดกับลูก เมื่อสี่เดือนก่อน ว่า


"โรคภัยมันเอา ..

ร่างกายของพ่อไปแล้ว

อย่าให้มัน ..

เอาใจของเราไปด้วย"


แง่คิดดีๆ จากชายชราที่จากไป สอนให้เรารู้ว่า


เราเกิดมา พร้อมกับจิตใจบริสุทธิ์ และมันสมองมหัศจรรย์


ที่จะสามารถเรียนรู้ แยกแยะเรื่องดีๆ และสิ่งร้ายๆในชีวิต 


จงใช้โอกาสดีๆ ที่ร่างกาย และจิตใจของเรา ยังทำอะไรๆได้ อย่างที่สมองสั่ง


จงเรียนรู้ และสร้างประโยชน์สุข ให้กับตนเองและผู้อื่นอย่างพอเพียง และดำรงชีวิตอย่างพอเพียงทางเศรษฐกิจ


หากทุกๆครั้งที่เรียนรู้ เราล้ม เราพลาด อาจจะรู้สึกท้อบ้างในบางที 


แม้ไม่มีกำลังกาย ที่จะลุกในทันที แต่ขอให้มีกำลังใจ ที่จะสู้ต่อไป 


ถ้าเราเรียนรู้ ก็จะทำให้เราพบว่า 'เจ็บ' ทำให้การล้มหรือพลาดครั้งต่อไป เราจะไม่เจ็บเท่าเดิม ..


Cr. พิษณุ นิลกลัด

ภาพ - ชมรมนักดูนก

.


วันพุธที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2566

วันอาทิตย์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2566

ความตาย...


.......


 พระกีสาโคตรมีเถรี
เป็นเถรีองค์สำคัญองค์หนึ่ง
เดิมเป็นธิดาคนยากจนแต่ได้เป็นลูกสะไภ้เศรษฐี
นางมีบุตรคนหนึ่งอยู่มาไม่นานบุตรเสียชีวิต
นางมีความเสียใจมาก อุ้มบุตรชายไปในที่ต่างๆ
เพื่อหายาแก้ใหฟื้น จนได้พบพระพุทธเจ้า
พระองค์ทรงสอนด้วยอุบายและประทานโอวาท
นางได้ฟังแล้วบรรลุโสดาปัตติผล 
บวชในสำนักภิกษุณี
วันหนึ่งนั่งพิจารณาเปลวประทีปอยู่ในพระอุโบสถ
ได้บรรลุพระอรหันต์
ได้รับยกย่องเป็นเอทัคคะ
ในทางทรงจีวรเศร้าหมอง
❤❤❤

วันพฤหัสบดีที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2566

อาหารย่อยง่ายทำให้กายใจควรแก่งาน ?

 


จากทุติยอนายุสสาสูตร

พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ๕ ประการ

เป็นเหตุให้อายุยืน 

๑.ทำสิ่งที่เป็นสัปปายะ

๒.รู้จักประมาณในสิ่งที่เป็นสัปปายะ

๓.บริโภคสิ่งที่ย่อยง่าย

๔.รักษาศีล

๕.มีกัลยาณมิตร

นอกจากการมีอายุยืนแล้ว

ยังทำให้มีการจิตที่ควรแก่งานอีกด้วย

เพราะเป็นเรื่องของสัปปายะ

และเหตุที่ทำให้เกิดสัปปายะ คือ ศีล

และมีกัลยาณมิตร

การบริโภคสิ่งที่ย่อยง่าย

จึงเป็นเหตุปัจจัยโดยตรงที่ทำให้เรามี

สุขภาพดีมีการใจที่เบาอ่อนควรแก่งาน

🍉🍊🍋🍌🍍

ลองสำรวจตัวเราเองว่าเราชอบแบบไหน

๑.ชอบทานเนื้อสัตว์ที่มันเค็มเผ็ดร้อน

๒.ชอบอาหารภัตตาคารผัดทอดพิศดาร

๓.ชอบบะหมี่สำเร็จรูปของกรอบเค็ม

๔.ชอบขนมหวาน ครีมข้น นม เนย

๕.ชอบหมักดอง ตากแห้งแช่อิ่ม

๖.ชอบข้าวขาว ขนมปัง ขนมเส้น

๗.ชอบข้าวกล้อง ธัญพืช ถั่วหลากชนิด

๘.ชอบทานผักสด ผลไม้ต่างๆ

๙.ชอบรสจืดเป็นธรรมชาติไม่ปรุงแต่ง

๑๐.ชอบพิจารณาก่อนทานไม่ติดรสชาติ

๑๑.ชอบอดอาหารทานมื้อเดียว

๑๒.ชอบเคี้ยวไม่ถึงสิบต่อคำ

๑๓.ชอบเคี้ยวไปคุยไป

๑๔.ชอบเคี้ยวอย่างมีสติ เฉลี่ย ๓๖ ครั้ง

๑๕.ชอบดื่มสุราไม่เมาไม่เลิก

๑๖.ชอบจิบ ไวน์ เหล้า เบียร์ ชา กาแฟ

๑๗.ชอบดื่มน้ำหวาน น้ำอัดลม น้ำเย็นๆ

๑๘.ชอบดื่มน้ำเปล่า ไม่รวมกับอาหาร

*******

ใครที่ชอบแบบยอดมนุษย์หรือชั้นพรหม

อย่างนี้พอจะมีกายใจควรแก่งานได้

เพราะการมีสติพิจารณาอาหาร

การเคี้ยวให้ละเอียดเป็นหัวใจหลัก

อาหารได้ผสมกับน้ำย่อยในปาก

เป็นอย่างดีทำให้ย่อยง่ายอิ่มง่าย

รับประทานน้อยแต่ดูดซึมได้ดี

ต่อมาคือ อาหารผักสดผลไม้ธัญพืช

หรือถั่วต่างๆ ที่ย่อยง่ายมีพลังชีวิต

การไม่ดื่มน้ำเย็นและไม่ดื่มน้ำมาก

เวลารับประทานอาหาร ทำให้น้ำย่อยเข้มข้น

มีอุณหภูมิพอเหมาะ

ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การอดอาหารงด มื้อเย็น ทำให้กระเพาะ

ลำไส้ได้พัก มีโอกาสทำความสะอาด

และสิ่งสำคัญคือการขับถ่ายของเสีย

จะมีประสิทธิภาพ ท้องไม่ผูก ไม่อืด


ส่วนชั้นเทพ จะเมาในรสชาติของอาหาร

มีความสุขในเวลารับประทานอาหาร

แต่จะหนักตัวง่วงนอนอึดอัดเป็นทุกข์โทษภายหลัง

การพอประมาณคัดสรรประโยชน์โทษ

การเคี้ยวให้ละเอียดและไม่ดื่มมาก

ในขณะรับประทานอาหาร พอจะช่วยให้ดีขึ้นได้

แต่ทางที่ดีเลี่ยงได้ควรเลี่ยง


ระดับอสุรกายและเดียรัจฉาน

อันตรายต่อสุขภาพกายใจมาก

ต้องพยายามหักห้ามใจหลีกเลี่ยง


ดังนั้น ถ้าปฏิบัติได้

ในระดับยอดมนุษย์กับชั้นพรหม

หรือพอประมาณคัดสรรประโยชน์

เคี้ยวให้ละเอียดในชั้นเทพ แล้วหลีกเลี่ยง

งดเว้นในระดับเดียรัจฉาน อสูรกาย

ก็พอหวังได้ว่าจะมีกายใจที่เบาสบาย

อ่อนควรแก่งานกุศลทั้งหลายได้ดี


ขอให้รับประทานอาหารที่ย่อยง่าย

ทำให้กายใจเบาสบาย

ควรแก่งานกุศลทั้งหลาย เทอญ


จัดลำดับคุณภาพ

ระดับอสูรกาย   ๑,๑๒,๑๕

ระดับเดียรัจฉาน   ๓,๕,๑๓,๑๗

ชั้นเทพ   ๒,๔,๖,๑๖

ชั้นพรหม   ๗,๘,๙,๑๑,๑๘

ยอดมนุษย์   ๑๑,๑๔

............

Cr.จากหนังสือฉลาดในจิต ตอน "ผูกโบว์ใจอย่างไรให้งดงาม"

โดย พระรุจ โพธิญาณ

วันพุธที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2566

กรรมมีจริง


 

"กรรมมีจริง ผลของกรรมมีจริง"

"กรรมดีให้ผลดีจริง กรรมชั่วให้ผลชั่วจริง"

"ผู้ใดทำกรรมใดไว้ จักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น

ผู้ไม่ได้ทำหาต้องได้รับไม่"

    ความเข้าใจผิดในเรื่องนี้มีอยู่ให้ได้ยินได้ฟังอยู่เนืองๆ เช่น บิดามารดาทำไม่ดีต่างๆนานาให้เห็น เกิดเหตุการณ์รุนแรงแก่ชีวิตบุตรธิดา ก็มักล่าวกันว่าลูกรับเคราะห์แทนมารดาบิดาบ้างหรือลูกรับกรรมแทนบิดามารดาบ้าง ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น กรรมของผู้ใดผลย่อมเป็นของผู้นั้น จะได้รับผลกรรมแทนกันไม่ได้..ไม่มี

     มารดาบิดาทำไม่ดี ทำบาปทำอกุศล ยังอยู่ดีมีสุขเพราะผลของบาปอกุศลยังส่งไม่ถึง แต่บุตรธิดาที่ไม่ทันได้ทำบาบทำอกุศล กลับต้องมีอันเป็นไปต่างๆ นั้น นั่นเป็นเรื่องของการรับผลของบาปอกุศลที่ทำไว้ในภพชาติก่อน ที่ตามมาส่งผลในภพในชาตินี้แน่นอน บุตรธิดาผู้ได้รับผลไม่ดีต่างๆ นานา ต้องทำกรรมไม่ดีไว้ในภพชาติหนึ่งแน่นอน แต่เราไม่รู้ไม่เห็นเท่านั้น ไม่ใช่เพราะบุตรธิดารับผลกรรมแทนมารดาบิดา

       ผู้จะเกิดร่วมกัน เป็นแม่เป็นพ่อเป็นลูกกัน ต้องมีกรรมดีกรรมชั่วในระดับเดียวกัน ไม่แตกต่างห่างไกลกัน จึงทำให้เหมือนลูกรับกรรมแทนพ่อแม่ที่ทำบาปอกุศล ลูกที่มารับผลไม่ดีต่างๆ ขณะที่พ่อแม่ผู้ประกอบกรรมไม่ดีนั้น นั่นเพราะกรรมไม่ดีของลูกส่งผลทันในระยะนั้น จึงทำให้ยากจะเข้าใจได้ จึงทำให้เกิดความสับสนกันมาก กรรมของคนหนึ่ง ผลจะไม่เกิดแก่อีกคนหนึ่งแน่นอน..

   (สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาปรินายก)

***********

  ความซับซ้อนของกรรม(คลิก)

ผู้ใดทำเหตุย่อมได้รับผลตรงตามเหตุแน่นอน(คลิก)


เรื่องคำพูด

 เรื่องคำพูด

.
เรื่องด่วน พูดให้ช้าๆ
เรื่องใหญ่ พูดให้ชัดๆ
เรื่องเล็ก พูดให้มีอารมณ์ขัน
เรื่องไม่มั่นใจ ทบทวนให้ดีค่อยพูด
เรื่องยังไม่เกิด อย่าพูดส่งเดช
เรื่องที่ทำไม่ได้ อย่าพูดอย่างมักง่าย
เรื่องให้ร้าย อย่าได้พูด
เรื่องลำบากใจ มุ่งที่เรื่องไม่มุ่งคน
เรื่องสนุก ต้องดูกาลเทศะ
เรื่องเศร้า อย่าได้เจอใครก็พูด
เรื่องคนอื่น พูดอย่างระมัดระวัง
เรื่องตนเอง ตั้งใจฟัง ใจเราพูดอะไร
เรื่องปัจจุบัน ทำแล้วค่อยพูด
เรื่องอนาคต ไว้พูดในอนาคต
ที่มา สำนวนจีน

**********
Cr.Facebook เพจ สามก๊ก

วันอังคารที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2566

วิธีปฏิบัติเมื่อถูกฉ้อโกงออนไลน์

 Cr.Fwd.line


กม.ใหม่ เมื่อประชาชน ถูกฉ้อโกง ทางออนไลน์ สามารถโทรอายัดเงินธนาคารเจ้าของบัญชีได้ทันที และธนาคารต้องอายัดต่อทุกทอด จากนั้น ให้ท่านเดินทางไป สถานีตำรวจที่สะดวก เพื่อแจ้งความร้องทุกข์ เพื่อให้มีการสอบสวน และมีหมายอายัดเงินกับทางธนาคารต่อไป ภายใน 72 ชม.


ธนาคารทั้งสิ้น 15 แห่ง ได้เปิดศูนย์รับแจ้งเหตุภัยทางการเงินจากมิจฉาชีพของธนาคาร เพื่อให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ หรือตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพโทรแจ้งเหตุ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่ออำนวยความสะดวกประชาชน บรรเทาความเสียหายให้เร็วที่สุด ดังนี้ 


ธ. กสิกรไทย 0-2888-8888 กด 001


ธ. กรุงไทย 0-2111-1111 กด 108


ธ.กรุงศรีอยุธยา 1572 กด 5


ธ. กรุงเทพ 1333 หรือ 0-2645-5555 กด *3


ธ. ไทยพาณิชย์ 0-2777-7575


ธ. ทหารไทยธนชาต 1428 กด 03


ธ. ออมสิน 1115 กด 6


ธ. ซีไอเอ็มบีไทย 0-2626-7777 กด 00


ธ. ไทยเครดิตเพื่อรายย่อย 0-2697-5454


ธ. ยูโอบี 0-2344-9555


ธ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ 0-2359-0000 กด 8


ธ. อาคารสงเคราะห์ 0-2645-9000 กด 33


ธ. ซิตี๋แบงก์ 0-2344-9555


ธ. เกียรตินาคินภัทร 0-2165-5555 กด 6


ธ. เพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร 0-2555-0555


เซฟเก็บไว้นะครับ หรือแชร์ต่อให้เพื่อน หากเกิดเหตุไม่คาดคิดทางการเงินจะได้แก้ไขได้ทันท่วงที


🔷 พระราชกำหนด มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 มีผลบังคับใช้ในวันที่ 17 มีนาคม 2566

วันเสาร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2566

นานไปเขาก็ลืม...


วันพุธที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๖๖ ..หัวรอ  เกาะเมืองอยุธยา..
..เก็บมาฝากครับ เมื่อวันก่อนไปงานขาวดำเพื่อนร่วมรุ่นฯ..พอมีเวลาก็เดินชมบริเวณๆใกล้ๆ..ทางออกมาหัวรอมีวัดเก่าแก่ที่มีความสำคัญยิ่งอีกวัดหนึ่งคือ วัดขุนแสน..ตามประวัติของวัดน่าสนใจมาก..







 

วันศุกร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2566

วัดเสนาสนารามราชวรวิหาร

 












#วัดเสนาสนารามราชวรวิหาร    #พระนครศรีอยุธยา    #เล่าสู่กันฟัง

วัดเสนาสนารามราชวรวิหาร เดิมชื่อวัดเสื่อ อยู่หลังวังจันทรเกษมและโรงเรียนอยุธยานุสรณ์ เป็นวัดโบราณมีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา   เมื่อครั้ง สมเด็จพระมหาธรรมราชา โปรดให้สร้างวังจันทร์ หรือวังหน้า ปัจจุบัน คือ พระราชวังจันทร์เกษม เมื่อ พ.ศ.๒๑๒๐ เพื่อให้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ช่วงเสด็จกลับมากรุงศรีอยุธยา โดยมีอาณาเขตด้านทิศใต้ของวังนี้ติดกับวัดเสื่อ   ในสมัยรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ให้ขยายเขตของวังออกไป ทำให้วัดเสื่อรวมอยู่ในเขตวังด้วย วัดเสื่อจึงไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา เช่นเดียวกับวัดพระศรีสรรเพชญ์

ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าพระเจ้าปราสาททองได้ทรงปฏิสังขรณ์  ครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แห่งราชวงศ์จักรี ได้ตกลงพระทัยทำผาติกรรมคือไถ่ถอนพระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์ ลพบุรีให้พ้นจากการเป็น เขตวิสุงคามสีมา โดยโปรดให้ซื้อที่นาเท่าเนื้อที่พระราชวังถวายเป็นที่ธรณีสงฆ์ และทรงปฏิสังขรณ์วัดขวิด จังหวัดลพบุรี  วัดชุมพลนิกายาราม และวัดเสื่อ  จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แล้วจึงถวายพระนามใหม่ว่า วัดเสนาสนารามเมื่อ พ.ศ.๒๔๐๖  หลังจากนั้นมาจึงมีพระสงฆ์ จำพรรษามาจนถึงปัจจุบันนี้

พระพุทธรูปที่สำคัญ ได้แก่

๑.พระสัมพุทธมุนี เป็นพระประธานในพระอุโบสถ พุทธลักษณะปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง    เมตร สูง ๑.๕๐ เมตร และพระนิรันตราย เป็นพระพุทธรูปที่รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชทานแด่วัดสังกัดธรรมยุติกนิกาย

๒.พระอินทร์แปลง เป็นพระพุทธรูปหล่อปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง ๑ เมตร  สูง ๑.๕๐ เมตร ได้อัญเชิญมาจากนครเวียงจันทร์ เมื่อ พ.ศ.๒๔๐๖ ด้านหลังพระอินทร์แปลงเป็นซุ้มศรีมหาโพธิ์ ภายในพระวิหารปูด้วยกระเบื้องหินอ่อน ทั้งสองข้างองค์พระอินทร์แปลงยกพื้นเป็นอาสนสงฆ์ พร้อมทั้งมีธรรมาสน์หินปิดทอง ๒ แท่น ฝาผนังภายในพระวิหารด้านบน เป็นภาพวาดรูปทวยเทพบูชาองค์พระอินทร์แปลงและระหว่างช่องหน้าต่างเป็นภาพวาดเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของประชาชนอันเกี่ยวเนื่องด้วยวัดและพระศาสนา

๓.พระพุทธไสยาสน์ ยาว ๑๔.๑๒ เมตร เป็นพระพุทธรูปครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา ประกอบด้วยศิลาเป็นท่อนต่อกัน ได้อัญเชิญมาจากวัดมหาธาตุ อยุธยา ในสมัยรัชกาลที่ ๔

๔.หลวงพ่อพุทธอุปถัมภ์ (ปางพยาบาลภิกษุไข้) พระพุทธรูปปางพระพุทธเจ้าทรงพยาบาลพระภิกษุอาพาธ นามว่าหลวงพ่อพระอุปถัมภ์ เล่ากันว่าใครได้มาสักการะ ถือว่าจะสัมฤทธิ์ผลทุกประการ โดยเฉพาะเรื่องการอธิษฐานขอพรให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ ขอลูก ขอให้มีผู้อุปถัมภ์ มีผู้ให้ความเมตตา มีความเจริญในตำแหน่งหน้าที่การงาน

๕.พระเจดีย์ ตั้งอยู่ด้านหลังพระอุโบสถ เป็นพระเจดีย์ทรงระฆังคว่ำก่ออิฐฉาบปูนศิลปะสมัยอยุธยา สูงประมาณ ๑๓ วาเศษ มีฐานทักษิณสี่เหลี่ยม

********

เจริญเมตตา(คลิก)

นานไปเขาก็ลืม(คลิก)

วัดกุฎีดาว (คลิก)


วันพุธที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2566

หลวงพ่อชา

 


ฝรั่งคนหนึ่งเรียนถามหลวงปู่ชา สุภัทโทว่า 
"ชีวิตของพระเป็นอย่างไร?... ทำไมชาวบ้านถึงได้เลี้ยงดู โดยที่พระไม่ได้ทำอะไร?" 
หลวงปู่ชา สุภัทโท ตอบแบบอุปมาว่า  
"...ถึงบอกให้ก็ไม่รู้หรอก มันเหมือนกับนกที่อยากรู้เรื่องของปลาในน้ำ ถึงปลาบอกความจริงว่า อยู่ในน้ำเป็นอย่างไร นกก็ไม่มีทางจะรู้ได้ ตราบใดที่นกยังไม่เป็นปลา"

ต่อมา ในปี พศ. 2520 
หลวงปู่ชาได้รับหนังสือจาก BBC แห่งประเทศอังกฤษ 
ติดต่อขอเข้าถ่ายทำสารคดีเกี่ยวกับพุทธศาสนาที่วัดหนองป่าพง 
ตอนท้ายของหนังสือติดต่อฉบับนั้น 
มีข้อความอยู่ประโยคหนึ่ง ซึ่งเขาเน้นว่า 
"หวังว่าท่านอาจารย์ คงจะเป็นปลาที่เห็นประโยชน์ (เกื้อกูล) แก่นก"  
หนังสารคดีเรื่องนี้มีชื่อว่า 
"The Mindful Way (ทางแห่งสติ)"

**********
Cr.fwd.line

วันอังคารที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2566

หมอสันต์...

 





Cr.https://drsant.com/2018/06/blog-post_27-10.html

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ ให้สัมภาษณ์นิตยสาร…
ณ Wellness We Care มวกเหล็ก สระบุรี

     1. แม้ว่าเรื่องราวความสำเร็จและผลงานของคุณหมอจะเป็นที่รู้ จักอย่างกว้างขวาง แต่อยากให้คุณหมอแบ่งปันประสบการณ์ในชีวิตการทำงานที่น่าภาคภูมิใจเพื่อเป็นเกียรติแก่นิตยสาร …

นพ.สันต์

   ผมเป็นคนแก่ที่ขี้ลืมมากเลย และไม่จำอะไรในอดีต สมองของผมแค่จะโฟกัสเดี๋ยวนี้ให้ต่อเนื่องก็ยังจะเอาตัวไม่รอดแล้ว อีกอย่างหนึ่งผมไม่ใช่ชายแก่ประเภทที่จะมีความสุขกับการนั่งรำพึงถึงอดีตด้วยความภาคภูมิใจหรือเสียใจ ไม่ทั้งนั้น
     แต่เมื่อคุณถามมาก็จะทบทวนความจำสั้นๆนะ ว่าผมเรียนแพทย์ก็ไปทำงานใช้ทุนในชนบทที่อำเภอปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช  ช่วงนั้นสิ่งที่จำได้ก็คือการรวบรวมความช่วยเหลือจากชุมชนสร้างโรงพยาบาลปากพนังขึ้นมาเป็นประสบการณ์ที่สนุกมาก
     ต่อมาเมื่อใช้ทุนครบก็เข้ามาฝึกอบรมเป็นหมอผ่าตัดศัลยกรรมทรวงอก จบแล้วไปเป็นศัลยแพทย์ที่โรงพยาบาลศูนย์สระบุรี ทำหน้าที่หมอผ่าตัดซึ่งในสมัยนั้นไม่ว่าใครจะจบศัลยกรรมสาขาไหนมาก็ต้องผ่าตัดตั้งแต่หัวถึงเท้าเหมือนกันหมด ช่วงน้้นผมบ้าผ่าตัด ผ่ามันทั้งวันทั้งคืน มีคู่หูเป็นหมอผ่าตัดบ้าพอๆกันอีกคนหนึ่ง เสร็จผ่าตัดมาค่ำมืดก็เจอกันแค่สองคนเพราะคนอื่นเขากลับบ้านกันหมดแล้ว แต่ขนาดมีแค่สองคนนะ มีอยู่วันหนึ่งยังใส่เสื้อสลับกันเลย ผมมารู้ว่านี่ไม่ใช่เสื้อของผมเพราะ..เอ๊ะ ในกระเป๋าทำไมมีบุหรี่สายฝนอยู่ด้วย
     จากรพ.ศูนย์สระบุรีก็ไปฝึกอบรมเป็นหมอผ่าตัดหัวใจที่ต่างประเทศ จบแล้วกลับมาเป็นหมอผ่าตัดหัวใจอยู่รพ.ราชวิถีนานยี่สิบปี ช่วงนั้นงานหลักเป็นงานวิชาชีพและวิชาการ ได้เขียนตำราวิชาการไว้หลายเล่ม งานเสริมแบบช่วยสังคมก็มีบ้าง เช่น ได้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิช่วยผ่าตัดหัวใจเด็กเพื่อหาเงินมาผ่าตัดเด็กยากไร้ที่หัวใจพิการแต่กำเนิด ได้เป็นกรรมการสมาคมแพทย์โรคหัวใจอยู่หลายปีและได้ร่วมจัดทำมาตรฐานการช่วยชีวิตของประเทศไทยขึ้น และได้ก่อตั้งและเป็นประธานมูลนิธิสอนช่วยชีวิตเพื่อสอนแพทย์พยาบาลและคนทั่วไป ซึ่งมูลนิธินี้ก็ยังทำงานขันแข็งอยู่จนถึงวันนี้โดยมีแพทย์จิตอาสารุ่นหลังรับช่วงไปทำต่อ
     หลังจากนั้นก็ออกจากราชการมาก่อตั้งศูนย์หัวใจขึ้นในภาคเอกชนให้เครือรพ.พญาไท โดยร่วมมือกับมหาลัยฮาร์วาร์ด ที่อเมริกา แล้วก็มาทำศูนย์หัวใจเพื่อผ่าตัดผู้ป่วยสามสิบบาทและประกันสังคมที่รพ.เกษมราษฎร์ประชาชื่น ทำไปทำมาก็กลายเป็นผู้อำนวยการของรพ.ทั้งสองแห่งไปด้วย
     หลังจากนั้น อายุได้ 55 ปีแล้ว ก็เลิกผ่าตัดหัวใจเลิกทำงานบริหารรพ.เด็ดขาด หันไปเรียนใหม่เพื่อเป็นหมอประจำครอบครัว จบแล้วมาทำงานสอนผู้ป่วยให้รู้จักดูแลตัวเองอย่างเดียวจนทุกวันนี้ โดยตั้งศูนย์เวลเนสวีแคร์นี้ขึ้นเพื่อให้คนมากินมานอนมาเรียนในรูปแบบของการเข้าแค้มป์ นอกจากนี้ก็ยังให้ความรู้คนทั่วไปผ่านการทำวิดิโอออกฉายทางยูทูป การตอบคำถามทางบล็อกส่วนตัว และการเขียนบทความทางวารสาร จนทุกวันนี้

     2. อยากให้ แบ่งปันถึงมุมมองและแรงบันดาลใจ เกี่ยวกับสิ่งดีๆที่คุณหมอรณรงค์เพื่อสังคม ในด้านสุขภาพอย่างต่อเนื่อง

นพ.สันต์

     แรงบันดาลใจก็มาจากสองด้านนะ

     ด้านที่หนึ่ง ก็คือประสบการณ์จากการรักษาคนป่วยโรคหัวใจขาดเลือดมานานถึงยี่สิบปี มันเป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุ เหนื่อยยากลำบากทั้งหมอและคนไข้ แต่ท้ายที่สุดก็คือโรคมันมีแต่จะเดินหน้าไปไม่มีหาย ทำผ่าตัดครั้งที่หนึ่ง สิบปีต่อมาก็มาทำครั้งที่สอง อีกสิบปีต่อมาถ้าไม่ตายเสียก่อนก็มาทำครั้งที่สาม

     ด้านที่สอง ก็คือเมื่อตัวเองป่วยเป็นโรคหัวใจ ได้ดูแลตัวเองจนได้ผลดี ก็อยากสอนให้คนไข้รู้วิธีดูแลตัวเองบ้าง

     มุมมอง ที่ผมอยากจะแชร์ก็คือ โลกทุกวันนี้กำลังมุ่งหน้าไปผิดทางในเรื่องการดูแลสุขภาพ คือไปมุ่งกันที่การใช้ยา การทำบอลลูน การผ่าตัด การใช้เทคโนโลยีต่างๆรักษา ทั้งๆที่หลักฐานวิทยาศาสตร์ก็ชี้ชัดว่าทั้งหมดนั้นไม่ได้ทำให้อุบัติการณ์ของโรคเรื้อรังลดลง ไม่ได้ทำให้โรคหาย และลดการตายจากโรคในระยาวลงได้น้อยมาก แต่สังคมก็ใช้เงินใช้ทองกับการนี้ไปมากขึ้นทุกปี เพราะต้นทุนการรักษาในแนวทางนี้มันมีแต่จะเพิ่มขึ้นแบบไม่มีเพดาน ท้ายที่สุดสังคมก็จะเจ๊ง คือจ่ายค่ารักษาให้ประชาชนไม่ไหว ขณะที่เส้นทางเดินที่มีประสิทธิผลดีกว่า ใช้เงินน้อยกว่าคือการช่วยให้คนทั่วไปทั้งที่ยังไม่ป่วยและป่วยแล้วให้รู้จักดูแลตัวเองด้วยการกินการอยู่ให้เป็น เป็นเส้นทางที่องค์การอนามัยโลกเรียกว่าการบริหารสุขภาพตนเอง Self Management อนาคตเหลือทางเดินอยู่ทางเดียว คือการบริหารสุขภาพตนเองนี่แหละ

     3. ปัญหาและอุปสรรคมีอะไรบ้าง ในการทำโครงการที่ต้องสื่อสารความเข้าใจและพัฒนาแนวคิด ในการใช้ชีวิตของผู้คน

นพ.สันต์

     ในการสอนให้ผู้คนดูแลสุขภาพของตัวเอง แพทย์เป็นเพียงที่ปรึกษาเท่านั้น ปัจจัยกำหนดว่าจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จมันอยู่ที่ตัวผู้ป่วยเสียเกือบ 100% คือถ้าผู้ป่วยเอาถ่านมันก็สำเร็จ ถ้าผู้ป่วยไม่เอาถ่านมันก็ไม่สำเร็จ แล้วความเอาถ่านของคนเรานี้มันไม่ใช่ว่ามีเท่ากันเสียที่ไหนละ มันเป็นกรรมเก่าที่ติดตัวแต่ละคนมา มันก็เหมือนกับที่พระสอนให้คนบรรลุธรรมด้วยการปล่อยวางความคิดนั่นแหละ ตัวกำหนดความสำเร็จคือตัวผู้ปฏิบัติธรรม ไม่ใช่พระ ตัวผมเองก็ทำได้ในขอบเขตที่ “ผู้บอกทาง” คนหนึ่งจะทำได้ ซึ่งผมก็ได้นำหลักวิชาการให้ความรู้สุขภาพเท่าที่วงการแพทย์มีมาใช้ทั้งหมดทุกเม็ด ทุกดอก ทุกท่า ไม่ว่าจะเป็นการสอน การให้ข้อมูลความรู้ การตอบคำถาม การทำตัวให้เห็นเป็นตัวอย่าง การกระตุ้นให้ลงมือดูแลตัวเอง การสร้างกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อนขึ้นมากระตุ้นกันเอง การพยายามสร้างชุมชนคนดูแลสุขภาพตัวเอง เป็นต้น

4. ไลฟ์สไตล์การทำงานและชีวิตส่วนตัวของคุณหมอในปัจจุบัน

นพ.สันต์

     ผมอายุ 66 ปีแล้วนะ ชีวิตแต่ละวันก็ตื่นมาเช้าบ้างสายบ้าง ขึ้นอยู่กับว่าวันนั้นจะต้องทำอะไร ประมาณสี่วันต่อสัปดาห์ชีวิตจะหมดไปกับการสอนการฝึกอบรมที่เวลเนสวีแคร์ในรูปของแค้มป์สุขภาพ เช่นแค้มป์สุขภาพดีด้วยตนเอง (GHBY) สำหรับคนทั่วไปบ้าง แค้มป์พลิกผันโรคด้วยตนเอง (RDBY) สำหรับคนป่วยโรคเรื้อรังบ้าง แค้มป์ปลีกวิเวกทางจิตวิญญาณ (SR) เพื่อจัดการความเครียดบ้าง ชั้นเรียนทำอาหารโดยใช้พืชเป็นหลัก (PBWF Cooking) สำหรับแม่บ้านบ้าง เป็นต้น บางครั้งก็มีแถมต้องไปสอนไปบรรยายนอกสถานที่ เวลาอีกหนึ่งวันต่อสัปดาห์ก็เป็นการออกคลินิกเพื่อตรวจรักษาผู้ป่วยที่โรงพยาบาล คือผมชอบศึกษาความรู้แพทย์แบบต่อเนื่อง ก็จึงต้องดูคนไข้อยู่ เพื่อไม่ให้ลืมความรู้เก่าและเพื่อเสาะหาปัญหาใหม่ๆที่เกิดกับคนไข้ ทั้งหมดนี้ก็หมดไปสัปดาห์ละห้าวัน เหลืออีกสองวันก็เป็นการพักผ่อนหรือทำงานอดิเรก เช่นตั้งใจออกกำลังกายให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยชดเชยกับวันทำงานที่ยุ่งๆไม่ได้ออกบ้าง ทำสวนปลูกผักบ้าง ทำงานก่อสร้างบ้าง หรือทำงานกรรมกรในบ้านตามแต่แม่บ้านเขาจะเรียกใช้บ้าง เป็นต้น

     ตื่นเช้าในวันปกติผมก็จะนั่งสมาธิก่อน แล้วก็ออกกำลังกาย ในห้องนอน และในห้องน้ำนั่นแหละ วันว่างจากงานก็เขียนบทความให้ความรู้ ตอบคำถามทางบล็อก หรือถ่ายวิดิโอไว้ประกอบการสอน สองสามเดือนครั้งก็พาลูกเมียหรือบางทีก็เพื่อนๆด้วยไปขับรถเที่ยวเล่นหรือไปเดินไพรตามต่างจังหวัดกัน ประมาณปีละครั้งก็ไปขับรถเที่ยวหรือเดินป่าที่เมืองนอก แต่ไม่ไปกับทัวร์นะ ต้องขับรถเองเท่านั้น และไม่ซื้อของด้วย ไปเที่ยวชนบทเดินป่าเดินเขาอย่างเดียว ไม่มีซื้อการของ เพราะตอนนี้สมบัติบ้าแค่ที่มีในบ้านก็ไม่มีที่จะเก็บแล้ว

     5. ขอคำแนะนำเบื้องต้น สำหรับคนที่อยากปรับชีวิตให้มีความสุขแบบคุณหมอ

นพ.สันต์

    ผมมีคำแนะนำสามอย่างเท่านั้น

    อย่างแรก ต้องจัดเวลาเพื่อตัวเองให้ได้อย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมงก่อน ถ้าจัดเวลาให้ตัวเองไม่ได้ก็จบข่าว ไม่ต้องไปต่อแล้ว หนึ่งชั่วโมงนี้ต้องเป็นเวลาของตัวเองจริงๆ ปิดโทรศัพท์มือถือ ปิดคอม ปิดโทรทัศน์ ไม่ยุ่งกับใคร อยู่เงียบๆคนเดียว อย่างวุ่นวานที่สุดก็ออกกำลังกาย หรือฝึกจิต จะด้วยการนั่งสมาธิ รำมวยจีน หรือโยคะ ก็แล้วแต่ ถ้าพบว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะจัดเวลาให้กับตัวเอง ผมก็ไม่มีคำแนะนำอะไรต่อแล้ว ตัวใครตัวมันก็แล้วกันนะครับ

     อย่างที่สอง ให้คุณปล่อยวางความคิดลง เลิกคิดถึงอดีต เลิกคิดถึงอนาคต ยกเว้นเฉพาะเวลาทำงานก็คิดแก้ปัญหาการทำงานไปตามหน้าที่ หมดเวลาทำงานก็เลิกคิด สนใจอยู่แต่กับแต่ละโมเมนต์ที่อยู่ตรงหน้า ที่นี่ เดี๋ยวนี้ อย่าไปจัดวาระล่วงหน้าให้กับชีวิตมากนัก ปล่อยชีวิตไปทีละแว้บ ทีละแว้บ ยอมรับทุกอย่างที่มีอยู่เป็นอยู่ที่เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องไปวิ่งหา หรือไม่ต้องวิ่งหนีอะไร อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ทีละแว้บ ทีละแว้บ อย่าไปคิดว่าตัวเราสำคัญและอย่าไปหลงผิดว่าโลกนี้จะถล่มถ้าเราไม่แบกมันไว้ หัดไว้ใจจักรวาลเสียบ้าง ใครก็ตามที่สร้างโลกนี้มา เขาจะเป็นผู้ดูแลโลกนี้เอง คุณไม่ต้องไปเดือดร้อนเป็นภาระแบกโลกไว้หรอก เหมือนแม่ค้าหิ้วกระบุงตะกร้าขึ้นรถไฟ พอรถไฟออกแล้ว เธอแบกกระบุงไว้บนบ่าหรือเปล่าละ เปล่า ใช่ไหม เธอวางมันลงบนพื้นรถไฟ รถไฟเป็นผู้รับน้ำหนักกระบุงตะกร้าเอง เธอไม่ต้องแบกมันไว้บนบ่าเธอหรอก กระบุงเหล่านั้นก็จะไปถึงที่หมายได้เช่นกัน ชีวิตเราก็ฉันนั้น ความเป็นบุคคลของเรานี้มันเป็นเพียงเรื่องสมมุติที่จะยุติหมดเกลี้ยงคล้อยหลังจากเราตายไปได้ไม่กี่วัน มันไม่ใช่ของจีรัง จะไปแบกมันไว้ทำไม

     อย่างที่สาม ก็คือ คุณทำงานแบบจดจ่อกับงานที่ตรงหน้า นั่นเป็นสิ่งที่ดี การโฟกัสที่กระบวนการทำงานเป็นสิ่งที่ดี แต่การโฟกัสที่ผลลัพธ์เป็นสิ่งที่เลวร้าย เพราะการโฟกัสที่ผลลัพธ์มันมีความเป็นบุคคลของตัวเราเองเข้าไปเกี่ยวข้อง ถ้าคุณจะทำงานต้องตั้งผลลัพธ์ไว้ก่อนว่าเอาแค่ศูนย์ focus on process, zero result คุณตั้งใจทำ ผลออกมาอย่างไรไม่สน เพราะคุณจะไม่ได้เสวยหรือได้ดิบได้ดีกับผลอันนั้น คนอื่นจะเป็นผู้ได้ประโยชน์จากผลงานนั้น ถ้าคุณทำงานด้วยโลกทัศน์อย่างนี้ได้คุณก็จะเป็นคนที่มีความสุขกับการทำงาน

6. ขอคำแนะนำในการจัดที่พักอาศัยให้มีผลต่อสุขภาพที่ดีของทุกเพศ ทุกวัย

นพ.สันต์

     มันก็มีอยู่ห้าประเด็นนะ

     ประเด็นที่ 1. ที่นอน ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนตัวที่ไม่ต้องกว้างก็ได้ แต่ต้องสะอาด เงียบ เย็น และมืดเมื่อเราต้องการให้มืด แค่นี้ก็พอแล้ว สำหรับครอบครัวที่ต้องทำอาหารเองอาจต้องมีพื้นที่ส่วนตัวสำหรับทำอาหารอีกนิดหน่อย แต่การทำอาหารสมัยนี้ก็ไม่ได้ใช้พื้นที่ใหญ่โตอะไร นอกจากเหนือนี้แล้วมันเป็นเรื่องของพื้นที่ร่วม ไม่ใช่พื้นที่ส่วนตัว

     ประเด็นที่ 2. อากาศ พื้นที่ร่วมที่ให้ความสุขใจเรามากที่สุดก็คือท้องฟ้า ที่พักอาศัยที่ไหนตื่นมาแล้วมองไม่เห็นท้องฟ้า หรือไม่เห็นแดด หรือสูดอากาศได้ไม่เต็มปอด นั่นส่อว่าผู้อาศัยกำลังจะมีปัญหาสุขภาพแน่นอนแล้ว

     ประเด็นที่ 3. น้ำ ที่พักอาศัยที่เปิดก๊อกปุ๊บได้มีน้ำสะอาดไหลออกมาปั๊บ นั่นเจ๋งสุด แต่ถ้าไม่มีก๊อกให้เปิดก็ขอให้เป็นที่พักอาศัยที่หาน้ำสะอาดไว้ดื่มไว้ใช้ได้โดยไม่ลำบากก็ถือว่าหรูแล้วเช่นกัน

     ประเด็นที่ 4. ถัดจากอากาศและน้ำ เรื่องต่อๆไปก็เป็นเรื่องกระจอก แต่ถ้ามีก็ดี ผมหมายถึงพื้นที่ออกกำลังกาย ถ้ามีพื้นที่ร่วมให้ออกกำลังกายได้ก็เจ๋ง มีต้นไม้เขียวๆประกอบฉากด้วยยิ่งเริ่ด แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบใช้พื้นที่ร่วมกับคนอื่นนั้น หากรักการออกกำลังกายจริงจะขวานขวายมีพื้นที่ออกกำลังกายไว้เป็นของตัวเองก็ใช่ว่าจะลำบากเกินไปดอก เพราะพื้นที่แค่หนึ่งตารางว่าก็พอที่จะออกกำลังกายได้ทั้งแบบแอโรบิก ฝึกกล้ามเนื้อ และเสริมการทรงตัวได้อย่างสบายๆแล้ว ที่พูดอย่างนี้เพราะผมเคยทำเองมาแล้วจึงกล้าพูด

     ประเด็นที่ 5. แหล่งอาหารที่ดีต่อสุขภาพ หมายความว่าที่พักอาศัยที่ดีต้องใกล้แหล่งอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ต้องหาของดีๆกินง่าย ไม่ใช่ว่าเดินหาเท่าไหร่ก็มีแต่ร้านขายอาหารขยะที่รู้ๆอยู่ว่ากินเข้าไปก็จะทำให้สุขภาพมีแต่แย่ลง ถ้าเป็นการสร้างชุมชน ชุมชนนั้นต้องมีที่เข้าถึงอาหารสุขภาพได้ง่าย

     กล่าวโดยสรุป ที่พักที่ดีต่อสุขภาพคือที่ที่คุณได้ทั้ง (1) ที่นอนดี (2) อากาศดี (3) น้ำสะอาด (4) มีที่ออกกำลังกาย (5) หาอาหารดีได้ง่าย หากได้ที่อยู่แบบนี้ก็ถือว่าสุดยอด

7. ความสุขในชีวิตวันนี้คืออะไร และเป้าหมายต่อไปคืออะไร

     ความสุขในชีวิตนี้ก็คือการได้อยู่สบายๆกับโมเมนต์นี้โดยไม่มีใครมาบีบคอให้หายใจไม่ออก ผมเอาแค่ทีละโมเมนต์ ทีละแว้บ แค่นี้ผมก็มีความสุขแล้ว ผมไม่หวลคิดถึงอดีต ไม่สนใจอนาคต เพราะผมยอมรับได้กับทุกอย่างที่มีอยู่เป็นอยู่วันนี้แล้วอย่างไม่มีเงื่อนไข แค่นี้พอแล้ว ผมไม่หนีอะไรที่ผมรังเกียจ เพราะที่นี่เดี๋ยวนี้ผมยอมรับทุกอย่าง ไม่ได้รังเกียจอะไร ผมไม่วิ่งหาอะไรในอนาคต เพราะที่นี่เดี๋ยวนี้ผมไม่ขาดอะไร ผมมีหมดแล้ว

     เป้าหมายต่อไปเหรอ..หิ หิ ผมไม่มีครับ ชีวิตผมมีแต่เดี๋ยวนี้เท่านั้น เดี๋ยวนี้ก็พอแล้ว ไม่ต้องมีต่อไป หรือ what next? ไม่ต้องมี ถ้ามันจะมีต่อไป มันก็จะมาหาผมในรูปของเดี๋ยวนี้ ดังนั้นผมจึงไม่สนใจอะไรก็ตามที่จะมาในโอกาสต่อไป

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

***********

ทำอย่างไรเพื่อไม่ให้ตายจากโรคหัวใจ(คลิก)

********

เจริญเมตตา

 


............
..เมตตายะ ภิกขะเว เจโตวิมุตติ ยา อาเสวิตายะ ภาวิตายะ พหุลีกะตายะ...
..ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมตตาอันเป็นไปเพื่อการหลุดพ้นแห่งจิตนี้
อันบุคคลบำเพ็ญจนคุ้นแล้ว ทำให้มากแล้ว คือชำนาญให้ยิ่ง
เป็นที่พึ่งของใจ...ตั้งไว้เป็นนิจ อันบุคคลสั่งสมอบรมแล้ว
ย่อมมีอนิสงค์สิบเอ็ดประการดังนี้
อานิสงค์ ๑๑ ประการ
ย่อมหลับเป็นสุข
เมื่อตื่นขึ้นก็ย่อมเป็นสุข
หลับอยู่ไม่ฝันร้าย
เป็นที่รักของเหล่ามนุษย์ทั้งหลาย
เป็นที่รักของเหล่าอมนุษย์ทั้งหลาย
เทวดาย่อมคุ้มรักษา
ไฟก็ดี ยาพิษก็ดี ศัตราก็ดีย่อมทำอันตรายไม่ได้
จิตย่อมเป็นสมาธิได้รวดเร็วอย่างยิ่ง
ผิวหน้าย่อมผ่องใส
เป็นผู้ไม่ลุ่มหลงเมื่อทำการกริยาตาย
เมื่อยังไม่บรรลุคุณวิเศษอันยิ่งๆ ขึ้นไป
ย่อมเป็นผู้เข้าถึงพรหมโลก
........


วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2566

เรื่องของใจ


...........

ใจที่มีเมตตา เท่ากับหมด ใจที่พยาบาท
ใจที่มีกรุณา เท่ากับหมด ใจที่เบียดเบียน
ใจที่มีมุทิตา เท่ากับหมด ใจที่อิจฉา
ใจที่อุเบกขา เท่ากับหมด ใจที่ลำเอียง

ใจที่สงบผ่อนคลาย เท่ากับหมด ใจที่ฟุ้งซ่าน
ใจที่เบาสบาย เท่ากับหมด ใจที่ท้อถอยเซื่องซึม
ใจที่อ่อนโยน เท่ากับหมด ใจที่ทะนงตัวเห็นผิด

ใจที่ซื่อตรง เท่ากับหมด ใจที่มีมายา
ใจที่ผ่องใส เท่ากับหมด ใจที่ไม่มีศรัทธา
ใจที่เป็นกุศล เท่ากับหมด ใจที่เป็นอกุศล

ขอให้มีแต่ใจ ที่ผูกโบว์ไว้กับกุศลเทอญ
...........

Cr.จากหนังสือ ฉลาดในจิต ตอน ผูกโบว์ใจให้งดงาม โดย พระรุจ โพธิญาณ
.........
.........

 

วันพฤหัสบดีที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2566

จะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้ตายจากโรคหัวใจ

 



จะพกยาอมใต้ลิ้นไปทำพรือละครับ มันไม่ช่วยให้คุณรอดตายมากขึ้น

คุณหมอสันต์ครับ
ตอนนี้มีคำแนะนำให้คนไทยทุกคนพกยาไนโตรกลีเซอรีนอมใต้ลิ้น เพื่อป้องกันหัวใจวายกะทันหัน ผมได้รับโพสต์มาเรื่องนี้แยะมากโดยที่ตัวผมเองก็ไม่อาจตัดสินได้เองว่าถูกหรือผิด ผมรบกวนคุณหมอสันต์ช่วยแนะนำด้วยครับว่าผมควรจะทำตามคำแนะนำนี้ไหม

…………………………

ตอบครับ

     ถามว่าคนไทยทุกคนควรพกยาอมไนโตรหรือไนเตรทไหม ตอบว่า “ไม่ควร” จะพกไปทำพรื้อละครับ เพราะยาในกลุ่มไนเตรทรวมทั้งไนโตรกลีเซอรีนไม่ได้ช่วยลดอัตราตายของผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือดเลย หากคุณจะตาย ก็เพราะโรคของคุณมันสาหัสถึงขั้นตายได้ แต่ไม่ใช่เพราะคุณไม่ได้อมยาไนเตรท

     จริงอยู่ มาตรฐานการแพทย์ในการรักษาผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันนอกโรงพยาบาล (หมายถึงในรถฉุกเฉิน) ประกอบด้วยการฉีดมอร์ฟีน ให้ออกซิเจน อมไนเตรท และเคี้ยวแอสไพริน (MONA) แต่ว่านั่นไม่ใช่เรื่องที่ผู้ป่วยจะพกพาไว้ทำเอง เป็นเรื่องที่บุคลากรทางการแพทย์เขาจะเลือกให้ตามดุลพินิจ ซึ่งเขาจะต้องตรวจสอบเงื่อนไขก่อน กล่าวคือ

     (1) ถ้าไม่ปวด ไม่กระสับกระส่าย ก็ไม่ต้องฉีดมอร์ฟืน

     (2) ถ้าออกซิเจนในเลือดไม่ต่ำกว่า 90% ก็ไม่ต้องให้ออกซิเจนเพราะให้ไปก็ไล้ฟบอย แล้วคนที่ออกซิเจนจะต่ำกว่า 90%เนี่ยหาได้ง่ายๆที่ไหนละครับ ขนาดหัวใจหยุดเต้นไปพักหนึ่งแล้วออกซิเจนยังไม่ต่ำกว่า 90% เลย หากออกซิเจนไม่ต่ำการไปให้ออกซิเจนบางงานวิจัยพบว่ากลับมีผลเสียมากกว่าผลดี

     (3) ถ้าไม่เจ็บหน้าอก ก็ไม่ต้องให้ยาอมใต้ลิ้น เพราะยาอมใต้ลิ้นเป็นเพียงยาบรรเทาอาการเจ็บหน้าอก ไม่ใช่ยารักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบให้หาย และหากจะให้ยาอมใต้ลิ้นกันจริงๆก็ต้องตรวจสอบให้ชัวร์ๆก่อนว่าอัตราการเต้นของหัวใจไม่ได้ช้าเกินไปหรือเร็วเกินไป ต้องเช็คความดันเลือดก่อนด้วยว่าความดันไม่ต่ำเกินไป และต้องเช็คประวัติด้วยว่าไม่ได้กินยาแก้นกเขาไม่ขัน (เช่นไวอากร้า) อยู่ เพราะหากหัวใจเต้นผิดปกติอยู่ก็ดี ความดันเลือดต่ำอยู่ก็ดี กินยารักษานกเขาไม่ขันอยู่ก็ดี หากให้อมไนเตรทไปอาจเร่งให้ได้กลับบ้านเก่าเร็วขึ้น

     (4) การเคี้ยวยาแอสไพรินขนาด 162 – 325 มก. แล้วกลืนน้ำตามดูจะเป็นการรักษาก่อนถึงรพ.ที่มีประโยชน์มากที่สุดในแง่ของการลดอัตราตายและการลดจุดจบอันเลวร้ายของโรคนี้ หากไม่แพ้ยาแอสไพริน การเคี้ยวยาแอสไพรินทันทีขณะเดินทางไปรพ.ต่างหากที่เป็นสิ่งที่ควรทำ

     จะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้ตายจากโรคหัวใจ

     การเป็นประชาชนคนธรรมดานี้ หากอยากมีสุขภาพดีมีอายุยืนไม่ตายด้วยกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันง่ายๆ คุณไม่ต้องถึงกับพกยาหรืออุ้มถังออกซิเจนไปไหนต่อไหน หรือขยันไปให้หมอเขาตรวจนั่นตรวจนี่ดอกครับ ให้คุณใช้สูตรที่วงการแพทย์สรุปมาจากหลักฐานวิทยาศาสตร์ต่อไปนี้ รับประกันว่าโอกาสที่คุณจะตายเร็วก่อนเวลาอันควรจะลดลงชัวร์ป๊าด วิธีการคือ

     1. เมื่อยังสบายดีไม่มีอาการเจ็บหน้าอก  ไม่ว่าจะเป็นโรคหรือไม่เป็นโรค ให้คุณจ้ัดการดูแลตัวเองโดยใช้ตัวชี้วัดสุขภาพง่ายๆเจ็ดตัว (simple-7) คือ (1) น้ำหนัก (2) ความดันเลือด (3) ไขมันในเลือด (4) น้ำตาลในเลือด (5) การกินผักผลไม้ให้มากพอ (6) การออกกกำลังกายให้มากพอ และ (7) การไม่สูบบุหรี่

     2. เมื่อมีอาการเจ็บแน่นหน้าอกแล้ว ให้คุณวินิจฉัยตัวเองก่อนว่าเป็นการเจ็บหน้าอกแบบไหน ระหว่าง

     2.1 เจ็บหน้าอกแบบด่วน หรือเป็นกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉีียบพลัน (acute MI)

     2.2 เจ็บหน้าอกแบบไม่ด่วน (stable angina)

     วิธีวินิจฉัยว่าเป็นแบบไหนก็ไม่ยาก คุณใช้นาฬิกาอย่างเดียว เวลาที่ใช้ตัดสินคือ 20 นาที คือจับเวลานับตั้งแต่เริ่มมีอาการเจ็บหน้าอก ให้คุณจับเวลาแล้วถ้ากำลังออกกำลังกายอยู่ให้พักแล้วดูเชิง แล้วดูนาฬิกาไปด้วย หากผ่านไป 20 นาทีทั้งๆที่พักแล้วยังไม่หายเจ็บหน้าอก ให้วินิจฉัยตัวเองว่าคุณเป็นกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน

    เมื่อวินิจฉัยว่าตัวเองเป็นกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ให้รีบไปโรงพยาบาลที่สามารถทำการตรวจสวนหัวใจได้ให้เร็วที่สุด การไปถึงรพ.ช้าหรือเร็วเป็นปัจจัยกำหนดว่าจะคุณตายหรือรอด ไปได้ช้าหรือเร็วนี่แหละของจริง..ชัวร์เลย นับจากเมื่อคุณเริ่มเจ็บหน้าอกนะ เรื่องยาอม ยาดม ล้วนไม่ใช่ประเด็นสำคัญ อยากอมก็อม ไม่อยากอมก็ไม่ต้องอม อยากดมก็ดม ไม่อยากดมก็ไม่ต้องดม และในบรรดายาที่ควรใช้ก่อนถึงโรงพยาบาล การเคี้ยวยาแอสไพรินแล้วดื่มน้ำตามเป็นยาที่มีประโยชน์มากที่สุดที่หากทำได้ก็ควรทำ อย่างไรก็ตามการไปโรงพยาให้เร็วที่สุดสำคัญกว่าการมัวหายา ถ้าไม่มีปัญญาไปรพ.เองก็โทรศัพท์เรียกรถพยาบาล (1669) อยู่จังหวัดไหนก็ใช้เบอร์นี้ได้ ในกรณีที่คุณเกิดหัวใจหยุดเต้นกะทันหัน การมีคนอยู่ใกล้ชิดที่กล้าลงมือช่วยชีวิตคุณโดยการกดหน้าอก (ปั๊มหัวใจ) ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของคุณได้

     แต่ถ้าเป็นการเจ็บหน้าอกขณะออกแรงแล้วคุณพักแป๊บเดียว (ไม่เกิน 20 นาที) แล้วอาการเจ็บแน่นหน้าอกหายไป ให้คุณวินิจฉัยตัวเองว่าคุณเป็นโรคหัวใจขาดเลือดแบบไม่เร่งด่วน หากคุณรู้ตัวว่าเป็นโรคหัวใจขาดเลือดอยู่แล้วก็ดูแลตัวเองตามหลักการง่ายๆเจ็ดอย่างข้างต้นต่อไปโดยไม่ต้องไปโรงพยาบาล แต่ถ้าคุณไม่เคยรู้ตัวมาก่อนว่าเป็นโรคหัวใจขาดเลือดก็ให้หาเวลาว่างไปหาหมอเพื่อตรวจยืนยันการวินิจฉัยเสียสักหนึ่งครั้ง จะได้วางแผนถูกว่าจะเลือกวิธีรักษาตัวเองต่อไปอย่างไร

     3. เมื่อหมอวินิจฉัยว่าเป็นโรคหัวใจขาดเลือดแล้ว การรักษายังต้องแยกเป็นสองกรณี

      3.1 กรณีที่คุณถูกหามเข้ารพ. กำลังเจ็บหน้าอกอยู่ หมอตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจแล้วมีภาวะคลื่นยก (ST elevation) การรักษาที่ทำให้มีอัตรารอดชีวิตดีที่สุดคือการทำการตรวจสวนหัวใจฉุกเฉินแล้วทำการรักษาแบบรุกล้ำทันทีเดี๋ยวนั้น ไม่ว่าจะใช้บอลลูนขยายหลอดเลือดหรือทำผ่าตัดบายพาส

     3.2 กรณีคุณเป็นโรคหัวใจขาดเลือดแบบไม่ด่วน หมายความว่าเจ็บหน้าอกพักแล้วหาย ไม่มีกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน หรือมีกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันแล้วแต่รอดชีวิตมาสบายดีิแล้วไม่น้อยกว่า24 ชั่วโมง การรักษาต่อจากจุดนั้นมีทางเลือกอยู่สองแบบ คือจะทำการรักษาแบบรุกล้ำ (ทำบอลลูนหรือผ่าตัดบายพาส) หรือจะทำการรักษาแบบไม่รุกล้ำ คือกินยาและดูตัวเองด้วยตัวชี้วัดง่ายๆเจ็ดอย่างข้างต้นไปก็ได้ ซึ่งงานวิจัยพบว่าไม่ว่าจะรักษาแบบไหนก็ได้อัตรารอดชีวิตที่ไม่แตกต่างกัน

     4. ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ว่าจะหายไม่ได้นะ โรคหัวใจเป็นโรคที่หายได้ งานวิจัยแบ่งกลุ่มสุ่มตัวอย่างเปรียบเทียบให้คนปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างสิ้นเชิง (กินอาหารพืชเป็นหลัก ออกกำลังกาย จัดการความเครียด มีการสนับสนุนกันทางสังคม) พบจากการติดตามดูภาพฉีดสีดูหลอดเลือดว่าโรคหลอดเลือดหัวใจตีบสามารถถอยกลับได้ หรือพูดง่ายๆว่ามันหายได้ด้วยการจัดการปัจจัยเสี่ยงอย่างจริงจัง

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

Cr.https://drsant.com/2017/12/blog-post_2-7.html


********

หมอสันต์..(คลิก)

******