หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

จิตสุดท้ายก่อนตาย

 “จิตสุดท้ายก่อนตาย” 


สำคัญก็จริง แต่

“จิตหลังความตาย 20 นาทีแรก”

ก็มีความสำคัญในการเปลี่ยนภพด้วย


“การศึกษาทางประสาทสรีรวิทยา นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน พบว่าหนูที่ตายใหม่ๆ หัวใจหยุดทำงาน เลือดหยุดไปเลี้ยงสมอง แต่คลื่นสมองยังคงอยู่ในภาวะ “ตื่นตัวขั้นสูง” บ่งบอกถึงการมีสติสัมปชัญญะของคนเมื่อหัวใจหยุดเต้น” ดังนั้น ทางการแพทย์บอกว่า “ตาย” แต่สมองยังทำงานอยู่ เป็น “การสร้างภาพจากสังขารจิต 

20 นาที” ว่าจะไปภพภูมิใด ถ้าเราเห็นโลกตามความ

เป็นจริงด้วยวิปัสนาญาณ จะรู้ว่า 31 ภพภูมิ อยู่ในจิต

ของเราหมดเลย ไม่ได้อยู่ภายนอกที่ใหนอยู่ในใจของเรา

จิตมีความโลภ จิตก็เป็นเปรตในร่างมนุษย์ ตายตอนนั้น

ก็ไปเสวยความเป็นเปรตเลย จิตมีความโกรธ ก็เหมือน

ตกนรกทั้งเป็น ลองสังเกตเวลาเราโกรธก็เหมือนถูกไฟ

เผาในใจของเรา ตายตอนนั้น จิตออกจากร่าง 

ก็ถูกความร้อนแผดเผาอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา 

ไม่สามารถเปลี่ยนอารมณ์ได้ เพระไม่มีกายสังขารแล้ว

มีความสุขเข้าถึงสภาวะธรรมตามลำดับขั้นชั้นต่างๆ

ก็เป็นเทวดา เป็นพรหม ในร่างมนุษย์ ตายตอนนั้น

ก็เสวยวิหารธรรมความสุข เป็นเทวดา พรหม

ตามลำดับขั้นชั้นต่างๆ ตาม กำลังของจิตที่ได้ฝึกมา

( เกิดขึ้นได้จากการปฎิบัติธรรม เจริญสติ )


ดังนั้น จึงควร “เหนี่ยวนำ ไม่ให้นิมิตมาหลอกหลอน 20 นาที หลังหัวใจหยุดเต้น (กรรม กรรมนิมิต คตินิมิต) การเข้าสู่ความมืด(ภวังคจิต) ต่อให้ก่อนตายญาติและคนไข้ได้เตรียมตัวเหนี่ยวนำจิตเป็นอย่างดี จนตายไปแล้ว (ก็คือหัวใจหยุดทำงาน)


สมองก็ยังเหนี่ยวนำสิ่งที่ทำก่อนตายอยู่ เช่น ถ้ากำลังสวดมนตร์ภาวนา ตายไปแล้วจิตและสมองก็ยังหมกมุ่นอยู่กับการสวดมนต์ภาวนา ดวงจิตก็ย่อมเปลี่ยนภพภูมิไปที่ดี 

แต่หากสมมติว่า ก่อนตายเตรียมตัวดีมาก แต่เมื่อตายไปแล้ว ญาติๆ ร้องไห้ระงมเสียงดังลั่น หรือ ลูกหลานทะเลาะแย่งสมบัติด้วยเสียงแซ่งแซ่ บรรยากาศเหล่านั้นก็จะเหนี่ยวนำให้สมองครุ่นคิดตรงนั้นและก็นำพาดวงจิตไปสู่ภพภูมิไม่ดีได้นั่นเอง


ดังนั้น สิ่งที่ควรทำหลังความตาย 20 นาทีแรก คือ สวดมนต์ เมื่อรู้ว่ามีคนตาย ก็หยิบขวดน้ำมนต์เย็นๆ ในตู้เย็นติดมือไป และหยดน้ำมนต์ที่ตาที่สาม (จักระ 6) ตรงหน้าผากหว่างคิ้ว เพื่อให้ความเย็นของน้ำไปส่งสัญญาณให้สมองที่ตรงกลางข้างในซึ่งยังทำงานอยู่ได้ตื่นตัวฟังเสียงสวดมนต์หรือบังสุกุล แต่ถ้าใครไม่มีน้ำมนต์ ก็ให้ใช้น้ำเย็นธรรมดาก็ได้


สรุปบรรยากาศในการเตรียมตัวก่อนตายและหลัง

ความตาย 20 นาที 

จะต้องปราศจากเสียงร้องไห้เศร้าโศก 

การทะเลาะเบาะแว้ง

หรือการพูดเรื่องไม่สบายใจ 

เพื่อให้คนตายได้เปลี่ยนภพภูมิที่ดีขึ้น 


แต่ทั้งนี้ ตอนที่มีชีวิตอยู่ก็ต้องทำความดี ละความชั่ว 

งดเว้นจากการเบียดเบียนไม่ทำให้ตนเอง และ ผู้อื่นเดือดร้อน บันทึกแต่สิ่งที่ดี สวดมนต์ ปฎิบัติธรรม ฝึกฝนพัฒนากำลังของสติ ขัดเกลาจิตใจให้ผ่องใสด้วย 

( ผู้ที่ปฎิบัติดีแล้วจะไม่กลัวตาย ก่อนตายจะทรงสภาวะธรรม)

ที่ไม่กลัวเพระรู้ว่า ความตายเป็นการเคลื่อนจากภพนึง 

ไปสู่ภพนึงเท่านั้น เมื่อสร้างเหตุที่ดีไว้เต็มที่แล้วก็ไม่กลัว


เตรียมตัวไว้จะได้พร้อมเปลี่ยนภพภูมิได้ทุกที่ ทุกเวลา 

จิตใครเศร้าหมอง ก็สั่งจิตให้คลายความเศร้าหมอง ให้อภัยปล่อยวาง คิดซะว่ากฎหมายเอาผิดไม่ได้ แต่ก็หนีกฏแห่งกรรมไม่พ้น ปล่อยให้เป็นหน้าที่กฏแห่งกรรม 

เราไม่ต้องไปเอาคืนแก้แค้น เอาเวลามาทำจิตให้ผ่องใสเข้าสู่ความว่างดีกว่า


ผู้ใดเผยแผ่ ผู้นั้นได้สะสมบุญ บารมี


🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏

#ธรรมะ #อมตะธรรม #ธรรมะสอนใจ

****

Cr.https://www.facebook.com/327724040647273/posts/pfbid029WcnB7kK6WUHn3XydyCVTomxEPJGJVSrD5Yv6L6LYJJXzfC5ca5sY3k3Wk6z55f2l/

วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

สุดแผ่นดิน....


🧡💛💚💙💜💞🇹🇭🇹🇭🇹🇭🇹🇭⚓⚓⚓⚓⚓⚓⚓..
******
Cr.https://youtu.be/QGvGpykxISg
 

วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

สร้าง...วาสนาดี


.............

...วาสนา คือ การสะสมความเคยชิน...
............

....พระโพธิสัตว์ เริ่มต้นที่ "ฉันทะ"....

...........

 

วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

พุทธมามกะ

 


ตอนเป็นเด็ก อาตมามองตนเองว่าเป็นคนไม่มีศาสนา เพราะคิดว่าศาสนาเป็นเรื่องการเอาความเชื่อเป็นที่พึ่ง จึงไม่จำเป็นและไม่สำคัญ ศาสนาลัทธิต่างๆ มักสอนว่าเราควรหรือไม่ควรเป็นคนอย่างไร โดยแทบไม่แสดงวิธีการว่าจากตรงนี้ที่เราเป็นจะไปสู่ตรงนั้นที่เราควรเป็นได้อย่างไร อาตมาเห็นว่านี่เป็นเหตุให้คนส่วนใหญ่มองตนเองในแง่ร้าย เพราะเขายอมรับว่าเขายังไม่เป็นคนดีอย่างที่ศาสนาสอนให้เป็น

 

เมื่อพบคำสอนของพระพุทธองค์ อาตมาก็รู้สึกว่านี่คือสิ่งที่ใช่ เพราะทรงสอนทั้งอุดมการณ์และเน้นข้อวัตรปฏิบัติที่เราต้องทำ ต้องฝึก ต้องขัดเกลาทั้งทางกาย วาจา และใจ โดยมีรายละเอียดชัดเจนมากในแต่ละขั้นตอน ไม่ต้องเอาศรัทธาความเชื่อในคัมภีร์เป็นที่พึ่ง หากเอาการพัฒนาฝึกฝนตนตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง

 

หากสุ่มเปิดพระสูตรเพื่อดูว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนอะไร จะพบเรื่องมรรคมากที่สุด ทรงแสดงวิธีฝึกตน วิธีพัฒนาชีวิต ธรรมชาติที่เป็นกิเลสตัวขัดขวางและคุณธรรมที่เอื้อต่อการเจริญมรรค คำสอนเน้นที่การกระทำ พุทธศาสนาจึงเป็นศาสนาประเภทวิริยวาทเพราะให้ความสำคัญกับความเพียร

 

การถือพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง สิ่งสำคัญคือการกระทำ คำพูด และความคิดของเราในแต่ละวันว่าเป็นอย่างไร นี่คือการวัดความเป็นพุทธมามกะ ไม่ใช่เพียงมีความเชื่อในสิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสรู้


พระอาจารย์ชยสาโร

*****

Cr. https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid02UYqHt4MkjGNitbPdpbAnNjWMW6RXvB3vV88XbyykFW6wrjPweNPqetvEkb2ziyPRl&id=318196051622421

วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

วันเสาร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

ใบไม้ในกำมือ


วันหนึ่งพระพุทธองค์ทรงหยิบใบไม้ขึ้นมากำหนึ่งและตรัสว่าสิ่งที่พระองค์ทรงรู้มีมากเปรียบเหมือนใบไม้ในป่า ส่วนสิ่งที่พระองค์นำมาส่ังสอนเพื่อประโยชน์ของมนุษย์ผู้หวังความหลุดพ้นจากทุกข์ มีน้อยเหมือนใบไม้ในกำมือของพระองค์

ทุกวันนี้สิ่งที่เรารู้ได้ในแต่ละวันมีมากเปรียบเหมือนใบไม้ในป่าได้เหมือนกัน แต่สิ่งที่เราควรจะใส่ใจเพื่อประโยชน์จริงในชีวิตเราไม่ถึงหนึ่งกำมือ เวลามีจำกัด สมองมีจำกัด เราจึงต้องเลือกสิ่งที่เราจะหยิบขึ้นมารู้ให้ดี

พระอาจารย์ชยสาโร
*******
Cr.https://www.facebook.com/318196051622421/posts/pfbid0FyCQUuUdL3w41phdBhhAz1ahHo7u7pRgGiLceYBG5yyUoMMyhcoEukAAtM9cdMH4l/
 

อมตะธรรม

 วันหนึ่งขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่

ณ เชตวัน ของอนาถบิณฑกะ


เทวดาได้มาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ โดยแปลงกายเป็นพราหมณ์ที่มีใบหน้าสว่างสไว สวมชุดสีขาวราวหิมะ

เทวดาทูลถามปัญหาต่อพระพุทธเจ้าว่า


“อะไรคือดาบที่คมที่สุด

อะไรคือยาพิษที่ร้ายแรงที่สุด

อะไรคือไฟที่ร้ายที่สุด

อะไรคือคืนที่มืดที่สุด”


พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า :

“วาจาที่กล่าวด้วยความโกรธคือดาบที่คมที่สุด

ความโลภคือยาพิษที่ร้ายแรงที่สุด

ความปรารถนาคือไฟที่ร้ายที่สุด

ความหลงผิดคือคืนที่มืดที่สุด”


เทวดาทูลถามว่า

“ใครคือผู้ที่ได้มากที่สุด

ใครคือผู้ที่เสียมากที่สุด

อะไรเป็นเกราะที่แข็งกร่งที่สุด

อะไรคืออาวุธที่ดีที่สุด”


พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า

“คนที่ให้คือคนที่ได้มากที่สุด

คนที่เอาแต่ได้โดยไม่ตอบแทน

คือคนที่เสียมากที่สุด

ความอดทนคือเกราะที่แข็งแกร่งที่สุด

ปัญญาคืออาวุธที่ดีที่สุด


เทวดาทูลถามว่า

“ใครคือโจรที่อันตรายที่สุด

อะไรคือทรัพย์ที่มีค่าที่สุด

ใครที่สามารถที่สุดในการยึดครอง

ไม่ว่าบนโลกหรือสวรรค์

อะไรคือขุมทรัพย์ที่ปลอดภัยที่สุด


พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า

“ความคิดร้ายคือโจรที่อันตรายที่สุด

คุณธรรมคือทรัพย์อันมีค่าที่สุด

ใจคือผู้ยึดครองทุกสิ่งไม่ว่าบนโลกนี้หรือสวรรค์

อมตะนิพพานคือขุมทรัพย์ที่ปลอดภัยที่สุด


เทวดาทูลถามว่า

“อะไรคือสิ่งที่น่ารัก

อะไรคือสิ่งที่น่ารังเกียจ

อะไรคือความทุกข์ทรมานที่น่ากลัวที่สุด

อะไรคือความสุขที่สุด”


พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า

“ความดีคือสิ่งที่น่ารัก

ความชั่วคือสิ่งที่น่ารังเกียจ

มิจฉาสติคือความทุกข์ทรมานที่น่ากลัวที่สุด

ความหลุดพ้นคือความสุขที่สุด”

เทวดาทูลถามว่า

“อะไรทำให้โลกพินาศ

อะไรที่ทำลายมิตรภาพ

อะไรคือไข้ที่ร้ายแรงที่สุด

ใครคือแพทย์ที่ดีที่สุด”


พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า

“อวิชชา (ความไม่รู้แจ้ง) ทำให้โลกพินาศ

ความริษยาและความเห็นแก่ตัวทำลายมิตรภาพ

ความเกลียดชังคือไข้ที่ร้ายแรงที่สุด และ

พระพุทธเจ้าคือแพทย์ที่ดีที่สุด”


เทวดาจึงทูลว่า

“บัดนี้ข้าพเจ้ายังมีข้อสงสัยอีกข้อหนึ่ง ที่ต้องการคำตอบให้แจ่มแจ้ง อะไรที่ไม่ไหม้ด้วยไฟ ไม่สลายด้วยน้ำ ไม่แตกกระจายด้วยลม แต่สามารถเปลี่ยนโลกนี้ได้”


พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ผลแห่งกรรมดี ไม่ว่า ไฟ น้ำ หรือ ลม ก็ทำลายผลแห่งกรรมดีไม่ได้ และผลแห่งกรรมดีสามารถเปลี่ยนโลกได้”


เทวดาเมื่อได้สดับดังนี้ ก็เกิดปิติเป็นล้นพ้น ประณมหัตถ์น้อมลงถวายอภิวาทต่อพระบรมศาสดา และร่างเทวดาก็หายไปจากตรงนั้น


•พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า การให้ธรรมะ ชนะการให้ทั้งปวง•


ที่มา: อมตะธรรม

ขอบคุณเจ้าของภาพ


#กล้าตะวัน

*******

Cr.https://www.facebook.com/270367043093637/posts/pfbid0twRpU5wewHz9QEh2AToy8ArEwcZgNQ7ekcRe439aEFxmxXetAayXXXNfo6viihVHl/

วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

คำสอนหลวงปู่มั่น

 


🙏 คำสอนหลวงปู่มั่น 🙏


1.)  "เมื่อใดที่โมโห" ลองนั่งนิ่งๆ ทบทวนดูว่า… เวลาที่เหลืออยู่ในชีวิตนี้มีอยู่อีกสักกี่วัน ทำไมต้องไปเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่อง.....


2.) "ไม่มีใครถูก ไม่มีใครผิด" ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นหากลองดูดีๆ จะพบว่า มีแต่ ถูกใจ หรือ ไม่ถูกใจ 


3.) "เมื่อใดที่กลัดกลุ้มใจ" ลองสูดลมหายใจลึกๆ แล้วคิดดูว่า… ทุกวินาทีที่ผ่านไป กำลังบอกเราว่า… ” เวลาของเราน้อยลงไปอีก 1 วินาทีแล้ว “


4.) "การได้พบหน้ากันในวันนี้" หมายความว่า หมดโอกาสได้เจอกันไปอีกครั้งหนึ่งแล้วแล้ว… ” เราจะมัวมาทะเลาะกัน ในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องไปทำไม…? “ ...


5.) "เมื่อใดที่ถูกเอาเปรียบ" ลองปล่อยวางดูบ้าง พูดมากจะเสียมิตร


6.)  "เรื่องหลายๆ เรื่องที่ผ่านเข้ามา"  มันก็แค่กระทบเรา ชั่วครู่ ชั่วคราว เดี๋ยวเดียวก็ผ่านไป 


7.) "เมื่อใดที่ใครบางคนทำให้เราเสียใจ"  ลองปล่อยให้มันเป็นไปตามที่ควรจะเป็น ทบทวนดูสิว่า ชีวิตนี้… ไม่มีใครอยู่ยงคงกระพัน 


8.)  "เมื่อใดที่เรารู้สึกโดนแย่งอะไรไป" ให้ลองไตร่ตรองดู ไม่มีใครครอบครองสิ่งใดในโลกนี้ได้ตลอดไป 


9.) "อาจไม่รวยล้นฟ้าเหมือนเศรษฐีมีเงิน"....แค่สุขภาพแข็งแรงมากกว่าคนที่นอนอยู่ตามโรงพยาบาล ก็นับว่าโชคดีกว่าคนอื่นๆ อีกมากเพียงใด ...


10). "ความสุขง่ายๆ ที่เรามองข้าม" วันนี้ยังกินข้าวได้ ยังนอนหลับสบาย  แค่นี้คุณก็ถือว่า โชคดีกว่าใครๆ อีกหลายๆ แล้ว


(หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต)



#กล้าตะวัน

******

Cr.https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid02DGoiXkstxLj5qkXSUSZhx8xu1LpTLq2DKA2y1twHzPAhX5Y49xKnp21bfTGZP6Abl&id=270367043093637