หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

นิสัย


 The Thai word ‘nisai’ (นิสัย) means both character and habit. It points to an important truth: character is habit. We create our character through our habits. Character is not a given - it changes depending on how we live our lives.


Taking character to be permanent, people often look upon themselves as being a certain way. They define themselves in terms of their habits. When those habits are destructive or corrupting, like anger or greed, they can easily be filled with self-loathing or despair. Character begins to look like destiny.


But looking closely, what we see is identification with angry or greedy mental states and acting upon them again and again, until the identification and the reactions becomes more or less automatic. It is not an expression of identity, but of deeply ingrained habits.


Our mind is like a white board. These are not permanent markers. Unwise habits can be replaced by wise habits. But it takes patience and consistency and a deep trust in the Eightfold Path. But it’s all doable. This is our Lion’s Roar.


Ajahn Jayasāro

28/5/24

*******

Cr.https://www.facebook.com/share/p/2MzzrbSZZXLfgdow/?mibextid=oFDknk

*******

คำว่า ‘นิสัย’ สื่อความหมายได้ทั้ง นิสัยใจคอ และอุปนิสัยที่เคยชิน  ชี้ให้เห็นความจริงสำคัญข้อหนึ่งว่า นิสัยใจคอคือความประพฤติที่เคยชินนั่นเอง  เราบ่มเพาะนิสัยใจคอจากความประพฤติที่เคยชิน  นิสัยใจคอจึงไม่ใช่สิ่งที่ได้รับมาแต่เกิด แต่เปลี่ยนแปลงได้เรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับว่าเราใช้ชีวิตอย่างไร 


เมื่อถือว่านิสัยใจคอเป็นของแน่นอนตายตัว  คนก็มักมองตนเองว่ามีตัวตนอย่างใดอย่างหนึ่ง  คนทั้งหลายมักจะกล่าวถึงตัวเองด้วยอุปนิสัยที่เคยชิน  เมื่ออุปนิสัยเหล่านั้นส่งผลเสียหาย เช่น โทสะหรือโลภ ก็จะเกลียดตัวเองหรือหดหู่ท้อแท้ได้ไม่ยาก  อุปนิสัยจึงเริ่มจะเหมือนโชคชะตา 


แต่ลองมองให้ละเอียด ที่เราเห็นคือการถือเอาอารมณ์โกรธหรือโลภเป็นตัวเราและตอบสนองตามอารมณ์นั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า  จนกระทั่งการยึดเอาอารมณ์เป็นตนและการตอบสนองแทบจะกลายเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติ  ลักษณะเช่นนี้ไม่ใช่การแสดงออกถึงตัวตนว่าเราเป็นใคร หากแต่เป็นอุปนิสัยที่ฝังรากลึก


จิตของเราเหมือนกระดานขาว ไม่ได้มีอะไรมาขีดเขียนได้ถาวร  เราสามารถปลูกฝังอุปนิสัยที่ดีแทนที่อุปนิสัยที่ไม่ดีได้  แต่ต้องใช้ความอดทนสม่ำเสมอและความวางใจอย่างลึกซึ้งในอริยมรรค  การฝึกตนเช่นนี้ไม่เหลือวิสัย และเป็นความอาจหาญของเราที่จะบันลือสีหนาท


ธรรมะคำสอน โดย พระอาจารย์ชยสาโร

แปลถอดความ โดย ปิยสีโลภิกขุ

วันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

กงกรรมกงเกวียน


 ทำอย่างไรไว้ย่อมได้สิ่งนั้น

               นี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นใน ค.ศ. ๑๘๙๒ ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สหรัฐอเมริกา นักเรียนหนุ่มวัย ๑๘ ปีผู้หนึ่ง ต้องดิ้นรนหาเงินมาชำระค่าเทอมที่มหาวิทยาลัย เขาเป็นเด็กกำพร้า ไม่ทราบว่าจะหันหน้าไปทางไหนเพื่อหาเงินมาเป็นค่าเล่าเรียน แต่แล้วก็เกิดความคิดที่สดใส เขากับเพื่อนคนหนึ่งตัดสินใจว่าจะจัดงานคอนเสิร์ตดนตรีขึ้นในมหาวิทยาลัยเพื่อหาเงินมาเป็นทุนการศึกษา

               พวกเขาไปเชิญนักเปียโนผู้มีชื่อเสียงให้มาเป็นผู้เปิดการแสดงคอนเสิร์ต นักเปียโนท่านนั้นชื่อ อิกนาซี เจ ปาดีริวสกี ผู้จัดการของคุณปาดีริวสกีเรียกร้องค่าจัดการแสดง ๒,๐๐๐ ดอลลาร์ (เป็นเงินถึง หกหมื่นกว่าบาทในปี 1892 ถือว่าแพงมากๆ) ทั้งสองฝ่ายตกลงทำสัญญากัน

             ...แต่สวรรค์ช่างไม่ปราณี หนุ่มน้อยทั้งสองขายบัตรได้ไม่มากพอ เมื่อรวบรวมเงินที่ขายบัตรทั้งหมดแล้วได้เงินมาเพียง ๑,๖๐๐ ดอลลาร์ ภายหลังการแสดงจบสิ้นลง พวกเขาไปหาปาดีริวสกี ชี้แจงความจริงให้ทราบ พวกเขายกเงินที่ขายบัตรได้หมดให้ปาดีริวสกี พร้อมเช็คอีก ๑ ใบ เป็นเงิน ๔๐๐ ดอลลาร์ และสัญญาว่าจะหาเงินเข้าบัญชีให้เร็วที่สุด

            ปาดีริวสกีกล่าวว่า   “นี่เป็นเรื่องที่ผมยอมรับไม่ได้นะครับ” 

เขาฉีกเช็คใบนั้นแล้วคืนเงิน ๑,๖๐๐ เหรียญให้หนุ่มน้อยทั้งสอง

               “พวกคุณหักค่าใช้จ่ายในการจัดการแสดงให้ครบถ้วน แล้วเก็บเงินจำนวนที่คุณต้องจ่ายค่าเทอมเอาไว้ เหลือเงินเท่าไร คุณค่อยมอบให้ผมนะครับ”

              แม้มันจะเป็นความเมตตาเพียงเล็กน้อย แต่การกระทำของปาดีริวสกีก็เป็นเครื่องบ่งชี้ได้ว่า เขาเป็นคนดีเลิศ มีจิตใจที่เปี่ยมเมตตา ...

         เราทุกคนคงเคยเจอสถานการณ์เช่นนี้มาบ้างแล้วในชีวิตจริง และส่วนใหญ่ พวกเราจะคิดกันว่า 

        “ถ้าเราช่วยเขาแล้ว เราจะได้อะไรบ้างเล่า” 

แต่คนดีนั้นจะคิดว่า 

         “ถ้าเราไม่ช่วยเขาแล้ว พวกเขาจะเป็นอย่างไร” 

          พวกเขาให้ความช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่คาดหวังสิ่งตอบแทน พวกเขาทำไปเพราะรู้สึกสมควรว่าต้องทำเช่นนั้น

ต่อมา ปาดีริวสกีกลายเป็นนายกรัฐมนตรีโปแลนด์ ในสงครามโลกครั้งที่ ๑ ประชากรโปแลนด์อดอยากและหิวโหย รัฐบาลไม่มีเงินพอจะซื้ออาหารมาเลี้ยงดูประชาชน 

                 ปาดีริวสกีตัดสินใจร้องขอความช่วยเหลือไปยังองค์การอาหารเพื่อการบรรเทาทุกข์แห่งสหรัฐอเมริกา หัวหน้าองค์การนี้ชื่อ    เฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์ ซึ่งต่อมากลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ฮูเวอร์ส่งเรือบรรทุกอาหารไปยังโปแลนด์ พลิกสถานการณ์ภัยพิบัติได้ในเวลาอันสั้น

             ปาดีริวสกีตัดสินใจเดินทางไปสหรัฐฯเพื่อขอบคุณฮูเวอร์ด้วยตนเอง เมื่อเขาเริ่มกล่าวคำขอบคุณ ฮูเวอร์ก็ตัดบทเขาโดยกล่าวว่า 

         “ท่านนายกรัฐมนตรีครับ ท่านไม่ควรต้องขอบคุณผมเลยนะครับ ท่านอาจจำเรื่องราวไม่ได้แล้ว แต่หลายปีก่อน ท่านได้ช่วยนักเรียนหนุ่มสองคนให้ได้เรียนมหาวิทยาลัย ผมเป็นหนึ่งในสองคนนั้นครับ”


             โลกนี้ช่างน่าอัศจรรย์ ทำอย่างไรไว้ย่อมได้สิ่งนั้นกลับคืน กงกรรมกงเกวียนเกิดขึ้นอยู่เสมอ

******

Cr.https://www.facebook.com/share/p/mkSNw5Em1wbnZPLY/?mibextid=oFDknk

วันศุกร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

The Path Of Wisdom






Visakha Puja is the day in which we commemorate the birth, the enlightenment, and the passing away of the Lord Buddha.

Of those three, the enlightenment is the most vital for us to contemplate and to apply lessons to our daily life.

So the enlightenment of the Buddha was his realization of the way things are, and what I mean by that is the nature of human existence, specifically, human suffering and the cessation of human suffering.

So here, the Buddha is saying the primary concern, the fundamental concern of religion, is human suffering and what can be done about it.

Then the teaching, which he spread throughout North East India all of the forty-five years following his enlightenment, the teaching which summed up his insight, his understanding, the revelation of that night in the full moon of May in Bodh Gaya in North East India 2,567 years ago, the chief importance of that is human suffering is conditioned. It’s not imposed upon human beings from outside or from above. It’s not a test. It’s not a punishment. It’s not part of a plan.

But human suffering is conditioned by ignorance, a lack of understanding of the true nature of our life, of our body and mind, and of the world we live in.

So in Buddhism, the path, the journey that a Buddhist is encouraged to embark upon is the journey from ignorance to knowledge.

And so wisdom is the salient, the most important of the virtues, which are taught by the Buddha, through wisdom that we go beyond ignorance, and realize true knowledge.

So the Buddha says that we’re ignorant of the body, nature of the body, nature of the mind, nature of the world, and that together with, or arising together with, ignorance as a consequence of ignorance, are different kinds of desire, which we call tanhā.

And the Buddha contrasted this with the desire which comes from knowledge, which is given a different name in the Pali language, the language the Buddha himself used.

So Buddhism is not teaching that all desire is wrong or all desire is to be abandoned, but that the unwise ignorant desire is a cause of suffering and is to be abandoned. But that desire that comes from wisdom and understanding is to be cultivated.

To give a very simple example, the desire to get the results of something, to achieve the enjoyment at the end of certain endeavors, would be the suffering that arises from ignorance.

Whereas, the desire to do something good, something wholesome, something that increases the quality of one’s own life or the quality of the life of those around us, that kind of desire is not based on ignorance, and therefore, should not be abandoned, but should be cultivated.

So, to recap, human suffering is essentially conditioned by ignorance, and that ignorance manifests as desire for sensual pleasures, desire to become something, to be something, desire for power and fame, and all kinds of states of being, and the desire to get rid of or not to be.

So the Buddha says that in any situation, we have external factors, and these can be factors that affect us in a negative way, detrimental way to our physical health, or we might be in a situation where our country is overrun by war, where there is famine, where there is disease, all these things can cause physical suffering, and will usually also lead to mental suffering.

But the Buddha says that without ignorance, or conversely with the presence of wisdom, it’s possible for human beings to experience physical discomfort, physical pain, physical suffering, without mental suffering.

So the Buddha is not advocating a turning away from the world, and just trying to find some inner peace in a separate kind of realm of being, which shuts its eyes to the problems of the world.

But the Buddha is saying that when we take care of our minds, we look after our minds, we can deal with the various situations and various challenges in our lives in such a way that we can grow as human beings, and that we can be free of suffering, but we can also help to create and to promote happiness and welfare in those around us.

Now, this movement from ignorance and all the cravings that cause more and more suffering, and the understanding of the way things are and the state free from suffering and mental suffering and true happiness does not come about through ceremony or prayer.

But it comes about through a systematic development of our body, speech, and mind, our actions, our speech, our emotions, our thoughts. It’s a comprehensive profound education, and it’s this education system that’s called the Eightfold Path.

So the Buddha is saying suffering is primarily due to ignorance, and the cravings arise from ignorance. Cessation of suffering, true happiness, comes from the virtues which are developed in a systematic, holistic training of body, speech, and mind.

This is the core teaching of Buddhism which sprang from the mind of the Buddha following the enlightenment on Visakha Puja night.

So the Buddha encourages us to take these teachings and put them to the test of experience.

The Buddha did not want blind faith in his teachings. He says “Does it make sense to you? When you react to something unpleasant with fear and anger and prejudice, do you suffer or not? Yes, you do.

If you can let go of the anger, the fear, the prejudice, and so on, that arises kind of knee-jerk reaction to unpleasant situations and inputs, then when the mind is free from those negative states, is it not more likely that you will respond to, you will deal with situations, in a more creative and a more effective means?

So these are the kinds of inquiries that we make as Buddhists.

The Buddha says that when we attach to things as being me and mine, then we suffer.

So we begin with the body. Is it true that this body is mine or our body? Well, how would you decide that? What decides ownership?

The criteria of ownership is you need power over. So, how much power over our physical body do we possess? And my teacher often said “can you tell your body not to be sick, or not to get old, not to die?” No, you can’t. The body just does what the body does. And you can prevent the illnesses from leading to death, and you can put off death for a while, but not for so long.

This body is of the nature to age, to sicken, and to die.

And once we understand that, and we treat our body wisely, look after it, we give it enough, sufficient rest, good food, exercise. We take care of it but we don’t identify with it as being who we really are. And then the fear of old age and sickness and death passes away, or it becomes much less intense.

And so the Buddha is saying if we look at the body clearly, without this craving to carry on living, or craving to be beautiful and to be young, and fear of old age, we can educate the way that we relate to our physical body, accepting the fundamental, inarguable truth of its eventual old age, sickness, and death. We will lead a much happier life.

And through the different elements of human life, in a very systematic way that he was famous for, look at the feelings, and the feeling tone of experience - pleasant, unpleasant, neutral - how much power or control over those do you have?

Can you say I’m not happy, I want to feel happy, I want a happy feeling right now, or I don’t want this unhappy feeling to go away? We can’t do that.

So this is a way of just looking at our life, not in a philosophical sense, but things that are just basic to our everyday existence. And looking at them afresh.

So what is the feeling tone of experience? Can we say that happiness or unhappiness are our possession? Does it belong to us or rather are they conditioned phenomena that arise and pass away according to conditions?

And similarly with memories and perceptions and emotions. We’re looking at our life. Many religions might consider this the work of psychology or philosophy. No, in Buddhism this is religious practice - understanding, rooting out these assumptions and confused thinking that we have about life by just looking at the raw data.

Does this sensual pleasure really make you happy? What are the pros and cons? What happens if you become addicted to a certain pleasure? What about the law of diminishing returns? To what extent does the enjoyment of the basic animal pleasures hinder you, prevent you from experiencing more subtle and elevated pleasures?

So, buddhist practice is not so much concerned with beliefs and forging a cast iron faith in dogmas but it’s saying these are the teachings, these are propositions about human life.

Do they make sense to you? Look at yourself. And you realize, well, actually your mind is not really capable of this kind of analysis. It’s just jumping all over the place like a monkey the whole time.

So, it’s important to develop mindfulness and attention span and focus. And this is where meditation practices come in in order to give the mind the stability and clarity and fundamental sense of well being, which is necessary for it to be able to understand the way things are clearly.

So, this is, I think, the great gift that the Buddha gave to the world. He gives us these tools, he gives us a map, for looking at the human condition, and learning about the human condition, and particularly through the lens of what creates suffering, what sustains suffering, what reduces suffering, what eliminates suffering, what hinders true happiness, what promotes true happiness.

And, it’s in the application of the Buddha’s teachings to everyday life, and putting them to the test, that we can really understand and appreciate the true profundity of the Buddha’s teachings, and the wondrous train of events that all began with the enlightenment of the Buddha, and led to the formulation of his teaching, and the transmission of his teaching right through the centuries until the present day.

Dhamma Teachings for Visakha Puja by Ajahn Jayasaro, Janamara Hermitage, Pak Chong, Nakhon Ratchasima, 22 May 2024

**************

Cr.https://fb.watch/sdbbiGDudi/

 

 

วันวิสาขบูชา


 วันนี้คือวันวิสาขบูชา เป็นวันที่เราระลึกถึงการประสูติ การตรัสรู้ และการปรินิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหตุการณ์เหล่านี้ถึงแม้ว่าเกิดขึ้นนานมาแล้ว ความหมายที่สำคัญยิ่งยังเป็นที่ยอมรับตลอดถึงทุกวันนี้ เพราะการบังเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้า คือการพิสูจน์และการยืนยันในศักยภาพของมนุษย์ที่จะเข้าถึงสิ่งสูงสุดด้วยความพากเพียรพยายามของตน โดยไม่ต้องพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหน เราจึงเชื่อมั่นว่าใครปฏิบัติถูกต้องตรงตามพระยุคลบาทของพระองค์แล้ว ไม่ว่าผู้ชาย ไม่ว่าผู้หญิง ย่อมดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์สิ้นเชิงได้ 


การบูชาพระพุทธองค์ที่แท้จริงจึงอยู่ที่การตั้งอกตั้งใจ พัฒนากาย วาจา ใจของตน ให้เข้าถึงความรู้ ความตื่น ความเบิกบาน เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข ทั้งของเรา และของเพื่อนร่วมโลกทั้งหลายทั้งปวงตลอดกาลนานเทอญ


พระอาจารย์ชยสาโร

*****

Cr.https://www.facebook.com/share/p/pP9bBEJvVtC48JmQ/?mibextid=oFDknk

วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

ดูแลจิต


 ป่าไม่เงียบ มีเสียงนกเสียงแมลงตลอดเวลา แต่เสียงต่างๆ ในป่าไม่รบกวนความสงบของนักปฏิบัติ  ตรงกันข้าม เสียงของสิ่งมีชีวิตในป่า มักปรากฏเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของความสงบมากกว่า


ในชีวิตประจำวัน ผู้ครองเรือนจะรักษาจิตให้นิ่งไม่ได้  แต่การดูแลจิตให้ดี ไม่ให้ปรุงแต่งในสิ่งกระทบด้วยความยินดีหรือยินร้าย ทำให้สิ่งที่เกิดขึ้นไม่มีพิษมีภัย  ตรงกันข้าม กลายเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติ คือวัตถุดิบให้ผลิตปัญญา


พระอาจารย์ชยสาโร

******

Cr.https://www.facebook.com/share/grTViJ7ATDECa4ae/?mibextid=oFDknk

วันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

วันเสาร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

Elaina volunteer from USA


          I’ve been solo-backpacking across Asia and SouthEast Asia for almost two years! I started in India and worked my way through 7 countries. I enjoy doing long-stay travel where I can really get to know a place!


โครงการสอนภาษาอังกฤษ บ้านเรือนธรรม
มูลนิธิทานบารมี(มทบ)





ที่บ้านชายสิงห์ อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา





Reach For The Star








อนุสรณ์สถานแห่งชาติ National Memorial(Thailand)



อยุธยามรดกโลก Ayutthaya Historical Park
















"The Power Of Dream"

Have a beautiful trip
จนกว่าจะพบกันอีก...
***********




































  
 

วันพุธที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

ชาติหน้า


 ชาติหน้า จะไม่ได้พบกันอีก..


•..บันทึกที่เหลียงจี้จางนักจัดรายการวิทยุยอดนิยมของฮ่องกง เขียนให้ลูกชาย แพร่หลายมากในโลกออนไลน์ภาษาจีน ::...


.. ลูกพ่อ : พ่อเขียนบันทึกช่วยจำนี้ให้ลูก ด้วยเหตุผล 3 ข้อ


1. ชีวิตคนเราโชคเคราะห์ไม่แน่นอน ไม่มีใครรู้ว่าจะอยู่ได้นานเพียงใด เรื่องบางเรื่อง "พูดเร็ว" สักหน่อยจะดีกว่า


2. พ่อเป็นพ่อของลูก ถ้าพ่อไม่บอก ก็คงไม่มีใครบอก


3. สิ่งที่พ่อบอกในบันทึกนี้ ล้วนเป็นประสบการณ์ที่พ่อได้มาจากความพ่ายแพ้ จะช่วยให้ลูกเดินทาง "ผิดพลาด" น้อยลง

.....


..ต่อไปนี้เป็นเรื่องที่ลูกควรจดจำในชีวิต


1. คนที่ทำไม่ดีกับลูก ลูกอย่าได้ติดใจนัก ในชีวิตของลูก ไม่มีใครมีหน้าที่ต้องทำดีกับลูก นอกจากพ่อกับแม่แล้ว "ใครดีกับลูก" ลูกต้องถนอมรัก รู้คุณ..


2. ไม่มีใครที่ "ทดแทน" ไม่ได้ ไม่มีสิ่งใดที่จำต้อง "ครอบครอง" หากมองเรื่องนี้ได้ทะลุ ต่อไปถึงแม้ลูกจะสูญเสียทุกอย่างที่รักที่สุดในโลกไป ก็ควรเข้าใจว่า ไม่ใช่ "เรื่องใหญ่โต" อะไรนัก


3. ชีวิตสั้น วันนี้อาจจะยังใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย พรุ่งนี้จะรู้สึกว่า "ชีวิตทิ้งลูกไปไกล" ดังนั้น ถนอมชีวิตได้เร็วเท่าใด วันเวลาที่จะได้ใช้ชีวิตก็จะมากเท่านั้น แทนที่จะหวังอายุยืน "ใช้ชีวิตให้เร็ว" จะดีกว่า


4. ความรักเป็นความรู้สึกอย่างหนึ่ง และความรู้สึกนี้จะเปลี่ยนได้ตามเวลาและสภาพจิตใจ ถ้าคนที่ลูกรักที่สุดจากลูกไป ขอให้อดทนรอคอยสักหน่อย ให้เวลาค่อยๆ ชะล้าง ให้จิตใจค่อยๆ นิ่งลง ความขมขื่นของลูกก็จะค่อยๆ จืดจาง


"..อย่าได้ขยายความงดงามของความรักจนเกินงาม ... อย่าได้ขยายความเศร้าของการเสียรักจนเกินควร.."


5. แม้จะมีคนที่ประสบความสำเร็จจำนวนมากไม่ได้รับการศึกษามากนัก แต่ไม่ได้หมายความว่า "ขี้เกียจเรียน" แล้วจะประสบความสำเร็จได้


..ความรู้ที่ลูกได้เรียน จะเป็นอาวุธที่ลูกมีติดตัว คนเราสร้างตัวโดยไม่มีอะไรได้


"..แต่ไม่สามารถไม่มีแม้แต่เหล็กสักท่อนในมือ จงจำให้ดี!.."


6. พ่อไม่ขอร้องให้ลูกเลี้ยงดูพ่อในบั้นปลายชีวิต ทำนองเดียวกัน พ่อก็ไม่สามารถเลี้ยงลูกในบั้นปลายชีวิต เมื่อลูกโตจนเลี้ยงตัวเองได้ หน้าที่ของพ่อก็สิ้นสุดลง จากนี้ไป ลูกจะนั่งรถเมล์หรือวิ่ง จะกินหูฉลามหรือเส้นหมี่ ลูกต้อง "รับผิดชอบตัวเอง"


7. ลูกเรียกร้องให้ตัวเองรักษาคำมั่นสัญญาได้ แต่จะ "เรียกร้องให้คนอื่น" รักษาคำมั่นสัญญาไม่ได้


..ลูกเรียกร้องให้ตัวเองทำดีต่อคนอื่นได้ แต่ไม่อาจ "คาดหวัง" ให้คนอื่นดีต่อลูก


..เราทำต่อคนอื่นอย่างไร ไม่ได้แสดงว่าคนอื่นจะทำต่อลูกเช่นเดียวกัน ถ้าลูกมองไม่เห็นเรื่องนี้ รังแต่จะเพิ่มความทุกข์อันไม่จำเป็นให้เท่านั้น..!!


8. พ่อซื้อล็อตเตอรีมา 26 ปี ยังคงยากไร้ แม้แต่รางวัลที่สามก็ไม่เคยถูก นี่ยืนยันว่า คนเราจะรวยได้ต้อง "พากเพียรทำงาน" เท่านั้น ในโลกนี้ไม่มีอาหารกลางวันฟรี


9. ญาติมีบุญมาพบกันได้เพียงครั้งเดียว ไม่ว่าชาตินี้พ่อจะอยู่กับลูกได้นานเพียงใด ลูกต้อง "ถนอมวันเวลาที่ได้อยู่ด้วยกัน" ชาติหน้า ไม่ว่ารักหรือไม่รัก ก็อาจจะไม่ได้พบกันอีก..!!


แปลโดย : วิภาดา กิตติโกวิท

#ฉันว่าดี

*******

Cr.https://www.facebook.com/share/p/2rFxUHyBjg5XdobB/?mibextid=oFDknk

วันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

Tom volunteer from UK

 



Hi, I’m Tom, I’m 25 and I’m from the UK. I’ve been on the road since last September travelling around Australia and I’m looking forward to a change in direction by doing some volunteer work in S.E Asia.

I’m motivated to try new things and get involved in experiences that aren’t open to me in the UK. I’d love to have a positive social or ecological impact wherever I end up and I’m ready to take on new challenges away from my comfort zone.
..........
Hi!! My name is Heather. I get inspired by connecting with nature, having meaningful human experiences with people, and immersing myself in new experiences and cultures. I have gone through a large amount of trauma in my life, and recently started going on my healing journey and had a massive spiritual awakening. Through this, it became clear that my purpose is to help guide people through this process themselves to find meaning in their own lives, and so I am pursuing becoming a spiritual life coach. With this as my purpose, I believe that bettering myself through a greater understanding of the world around me and different cultures, is crucial to my ability to help others and bring them new perspectives. My first trip abroad opened my eyes to a world outside of myself and I never want to stop chasing experiences like that. I want to become a lifelong student. I also want to connect with nature and the earth in new places.








จนกว่าจะพบกันอีก...

..................










Hearther volunteer from USA





       Hi!! My name is Heather. I get inspired by connecting with nature, having meaningful human experiences with people, and immersing myself in new experiences and cultures. I have gone through a large amount of trauma in my life, and recently started going on my healing journey and had a massive spiritual awakening. Through this, it became clear that my purpose is to help guide people through this process themselves to find meaning in their own lives, and so I am pursuing becoming a spiritual life coach. With this as my purpose, I believe that bettering myself through a greater understanding of the world around me and different cultures, is crucial to my ability to help others and bring them new perspectives. My first trip abroad opened my eyes to a world outside of myself and I never want to stop chasing experiences like that. I want to become a lifelong student. I also want to connect with nature and the earth in new places.











จนกว่าจะพบกันอีก...

.....................................