หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2566

ระลึกรู้อยู่เสมอ


 ธรรมะอรุณสวัสดิ์...รับวันใหม่

.............................

รู้แจ้งแทงตลอดก็ต้องรู้เจอคือระลึกรู้อยู่เสมอ

รู้เจอเพราะว่าต้องรู้จักก่อน 

รู้จักก็ต้องไประลึกรู้อยู่เสมอ

การรู้จักก็ต้องอาศัยรู้จำ จากการฟัง 

จากสุตตมยปัญญา

ความรู้จากการฟัง จำได้ เข้าใจ 

แต่ว่ายังเป็นรู้แบบสัญญา

นำมาสู่การรู้จัก ก็คือต้องลงมือเจริญสติ 

เจริญสติที่ถูกต้อง 

ระลึกรู้ได้ตรงเข้าไปตรงต่อสภาวะ

รูปนามขันธ์ห้าที่ปรากฏ 


พอรู้จักแล้วก็ต้องไปรู้เจอ 

รู้กันอยู่เสมอเนือง ๆ รู้รูปอยู่เนือง ๆ 

เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณอยู่เนือง ๆ

ที่เรียกว่าสภาวะ ที่สุดมันก็รู้แจ้ง 

เมื่อรู้แจ้งแทงตลอด ก็ถึงไปสู่การรู้จบ 


ที่เรามาปฏิบัติเนี่ยได้เข้าถึงการรู้จักหรือยัง

รู้จักสภาวะ รู้จักรูปจักนาม รู้จักขันธ์ห้า 

รู้จักการเจริญสติ ไม่ใช่การคิดนึก

รูปปรากฏอยู่อย่างไร

ต้องเข้าไปรู้จักด้วยการเจริญสติ

เข้าไปหยั่งถึง เจอเย็น ร้อน 

อ่อน แข็ง หย่อน ตึง

สุข ทุกข์ อย่างนึ้ก็คือเข้าไปรู้จัก 


สัญญาความจำได้ สังขารความปรุงแต่ง

วิญญาณเป็นธาตุรู้ 

การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น

การรู้รส รู้สัมผัส 

คิดนึกอยู่ที่กำลังปรากฏต้องเข้าไปรู้

เข้าไปเจริญระลึกรู้สิ่งเหล่านี้ที่ปรากฏ 


เมื่อรู้จักแล้วต้องเข้าไประลึก 

ต้องรู้เจออยู่เสมอ ๆ

วางใจให้ถูกต้อง 

#วางใจที่ถูกต้องคือวางใจอย่างไร

วางใจเป็นกลางก็คือวางเฉยเป็นอย่างดี

เฉยในที่นี้ไม่ใช่เฉยเมยอย่างไม่รู้ไม่ชี้ 


วางเฉยในที่นี้ก็คือ

ไม่ยินดียินร้าย แต่รู้อยู่ ตื่นรู้อยู่ ดูอยู่ เห็นอยู่

พิจารณาอยู่ แต่ไม่ยินดียินร้าย 

เรียกว่าวางใจได้ถูกต้อง

แล้วก็พิจารณาเห็นตามความเป็นจริง 

ทุกสิ่งเป็นเช่นนั้นเอง


เป็นเช่นนั้นเองเป็นไฉน 

ก็คือเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของเขา

เมื่อมีเหตุมีปัจจัยประกอบขึ้นมา 

รูปนามขันธ์ห้า แต่ละอย่างก็เกิดขึ้น 

หรือสภาวะนั้น ๆ ที่เป็นผลเกิดขึ้น

เมื่อเหตุปัจจัยหมดไป 

สภาวะที่เป็นผลนั้นก็ต้องหมดไป


ธรรมดาไหมแบบนี้ 

เหตุเกิดผลต้องเกิดเป็นเรื่องธรรมดา

เหตุดับผลก็ต้องดับเป็นเรื่องธรรมดา 

ชีวิตนี้มันมีเหตุมีปัจจัยทำให้เกิดทุกสิ่งทุกอย่าง

เห็นแต่ละครั้งก็มีเหตุปัจจัย ได้ยินแต่ละครั้ง

รู้กลิ่น รู้รส รู้สัมผัส คิดนึก 

ทุกอย่างมีเหตุปัจจัยทำให้เกิด

ประสบการณ์ทางตาเห็นภาพ 

ประสบการณ์ทางหูได้ยินเสียง

มันเป็นผล เป็นวิบาก มีเหตุมีปัจจัยทำให้เกิด


ถ้าปัญญาไปรู้เห็นความจริง 

ว่าทุกสิ่งมันต้องเป็นของมันอย่างนี้

ฝืนได้ไหม จะให้มันคงที่ 

จะให้มันเที่ยงแท้ จะให้มันคงอยู่

มันก็ไม่ได้ รู้ว่ามันไม่ได้ ทำไง 

มันก็ต้องยอม ยอมรับ

ไม่ได้ไปทำให้สิ่งทั้งหลาย

ให้มันได้อย่างที่เราต้องการ

แต่ทำความต้องการให้มันหมดไป 


ความอยากได้

อยากมี อยากเป็น อยากไม่มี ไม่เป็น 

มันสิ้นไปเพราะว่า มันนำมาซึ่งความทุกข์ 

ตัณหาเป็นเหตุนำมาซึ่งความทุกข์

พออยากแล้วก็ไม่ได้อย่างต้องการก็ทุกข์แล้ว  

............................

ธัมโมวาท โดย‎หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี

เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา

******

Cr.https://www.facebook.com/100050180992815/posts/pfbid0cNHSLahudKMByjgq4hVAdeqWXHzitPuco7fcmNC2UEDXRHk6Gy35acsRqnovNqNEl/?mibextid=Nif5oz

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น