หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เราเกิดมาเพื่ออะไร..


....ฯลฯ....
      เราไม่ได้เกิดมา
      เพื่อแสวงหาความสำเริงสำราญ
      ให้กับชีวิตไปวันหนึ่ง ๆ เท่านั้น
            เราไม่ได้เกิดมา
            เพื่อลุ่มหลงมัวเมาอยู่ในรสอร่อยของโลก
            คือ กิน กาม เกียรติ์
      เราไม่ได้เกิดมา
      เพื่อเป็นทาสของชีวิต
            เราไม่ได้เกิดมาเพียงเพื่อ
      ศึกษาเล่าเรียน    ทำงานทำการ
      ตั้งหลักปักฐาน    มีครอบมีครัว
            มีลูกมีหลาน
แล้วก็แก่ แล้วก็เจ็บ แล้วก็ตายไป
ถ้าเราเกิดมาเพียงแค่นั้น ก็เท่ากับว่า
เกิดมาเพื่อเวียนว่ายอยู่ในวัฏฏสงสารเท่านั้น
เป็นเหยื่อหนอนไปชาติหนึ่ง ๆ ไม่พ้นโลกนี้ไปได้
แม้จะมั่งมีเงินทองสักปานใดก็ไร้ความหมาย
******
แต่เราเกิดมา
เพื่อจะปลดเปลื้องพันธนาการโซ่ตรวน เครื่องร้อยรัด
ที่ผูกมัดจิตใจของเราไว้ ไปสู่ความเป็นอิสระ
เพื่อปลดปล่อยตัวเองให้พ้นจาก
อำนาจความครอบงำของกิเลส ตัณหา
เพื่อพัฒนาชีวิตและจิตวิญญาณให้สูงขึ้น
เจริญขึ้นสู่ฐานะอันสูงสุดเท่าที่จะขึ้นถึงได้
นั่นคือ การทำให้จิตบริสุทธิ์
ข้ามแดนแห่งความมืดมนของชีวิต
เพื่อเข้าถึงจุดจบของชีวิต
ที่สุดแห่งทุกข์ พระนิพพาน
......

พระพุทธวจนะ
นิพานมีอยู่
ทางไปนิพพานก็มีอยู่
เราผู้ชี้ทางไปนิพพานก็มีอยู่
ถ้าเธอไม่เดิน
แล้วเธอจะนิพพานได้อย่างไร
ธรรมชาติใดที่ทำจิตให้สงบระงับจาก นิวรณ์
ธรรมชาตินั้นชื่อว่า สมถกรรมฐาน
ธรรมชาติใดที่ทำให้เกิด ความรู้แจ้งเห็นจริง
ในสภาวธรรมคือรูป นาม ว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ธรรมชาตินั้นชื่อว่า วิปัสสนากรรมฐาน
.......
นิพพาน
ดูกรอานนท์ จะถือเอาความรู้และความไม่รู้
เป็นประมาณทีเดียวไม่ได้
ต้องถือเอาการละกิเลสได้เป็นประมาณ
เพราะว่า ผู้ที่จะถึงพระนิพพาน
ต้องอาศัยการละกิเลสโดยส่วนเดียว
เมื่อละกิเลสได้แล้ว ก็ย่อมถึงพระนิพพานได้
.....ฯลฯ.....

(จากหนังสือ ทางสายเอก (ฉบับสมบูรณ์) พระราชพรหมาจารย์(พระอาจารย์ทอง สิริมงฺคโล) เจ้าอาวาสวัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่)
   
******

******

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น