หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2567

หนี้ศักดิ์สิทธิ์


 Cr.fwd.line

#หนี้ศักดิ์สิทธิ์

เมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๔๐) 


ย้อนหลังตอนที่ยังไม่ได้บวช 


อาตมาเชื่อว่าปัญญาเกิดจากประสบการณ์ 


จึงเดินทางออกจากบ้านเกิดเมืองนอนที่ประเทศอังกฤษ ระเหเร่ร่อนหาประสบการณ์ชีวิตทางยุโรปและเอเชีย 


ยิ่งลำบากยิ่งชอบ

 เพราะรู้สึกว่าความลำเค็ญ

ช่วยให้รู้จักตัวเองมากขึ้น ซึ่งเป็นกำไรชีวิต

.

แต่การเดินทางไปอินเดีย ผิดหวังนิดหน่อย

ไม่ได้ท้าทายอย่างที่คาดหวัง 


ขากลับจึงตัดสินใจลองเดินทางจากประเทศปากีสถานไปยังอังกฤษ โดยไม่ใช้เงิน 


โบกรถไปเรื่อยๆ 

อยากจะรู้ว่าเป็นไปได้ไหม 

อยากจะทราบความรู้สึกของผู้ไม่มีอะไร อย่างลึกซึ้ง

.

ผจญภัยเยอะเหมือนกัน 


และผ่านเหตุการณ์ที่ไม่มีวันลืม 


อย่างเช่น พอถึงเตหรานเมืองหลวงของประเทศอิหร่าน รู้สึกจะหมดแรงแล้ว 


ผอมแห้งบักโกรก 

เสื้อผ้าก็มอมแมม กระดำกระด่าง 

คงดูน่าเกลียดพอสมควร 

เห็นหน้าในกระจกห้องน้ำสาธารณะ ก็ตกใจ 


ส่วนใจ ก็เป็นเปรตมากขึ้นทุกวัน 

กังวลหมกมุ่น แต่ในเรื่องอาหารการกิน 


วันนี้เราจะมีอะไรทานไหมหนอ? 


แต่ละวันท้องจะอิ่ม จะว่าง

ก็แล้วแต่น้ำใจของเพื่อนมนุษย์ 


เราจำเป็นต้องพึ่งบารมี เพราะไม่มีอย่างอื่น

.

พอดีเจอผู้ชายอิหร่านคนหนึ่ง 

เขาคงสงสาร และอยากฝึกพูดภาษาอังกฤษด้วย 


เขาจึงพาไปกินน้ำชา 

แล้วให้สตางค์ไปเล็กๆ น้อยๆ 


กลางคืน พักข้างถนน ในซอยเงียบ 

กลัวว่าตำรวจเห็น จะซ้อม 


รุ่งเช้า เดินไปร้านขายซุปแห่งหนึ่ง 

ซึ่งจำได้ว่า ซื้อซุปหนึ่งจาน แล้วเขาให้ขนมปังฟรี 


ในขณะที่กำลังเดินไป 

โดยพยายามไม่มองร้านอาหารข้างทาง

ที่ดึงดูดตาเหลือเกิน ไม่ดมกลิ่นหอมที่โชยออกมา 


เราได้สวนทางกับผู้หญิงคนหนึ่ง 


เขาเห็นเรา แล้วเขาก็หยุดชะงัก 

จ้องมองเราอย่างตะลึง 


สักพักหนึ่ง แล้วเดินตรงมาหาหน้าบูดบึ้ง

แล้วสั่งให้ตามเขาไป โดยใช้ภาษามือ 


เราเป็นนักแสวงหา เลยยอมตามไป 


เดินไปสักสิบนาที ก็ถึงตึกแถว 

ขึ้นลิฟต์ไปถึงชั้นที่สี่ 


สันนิษฐานว่าคงเป็นบ้านเขา 

แต่เขาไม่พูดไม่จาอะไรเลย 

ยิ้มก็ไม่ยิ้ม หน้าถมึงทึงตลอด

.

พอเปิดประตูเข้าไป

ปรากฏว่าเป็นบ้านของผู้หญิงคนนี้จริงๆ 


เขาพาเข้าห้องครัว ชี้ไปที่เก้าอี้ให้นั่ง 

นั่งแล้วเขาเอาอาหารมาให้ทานหลายๆ อย่าง 


อาตมารู้สึกเหมือนกับขึ้นสวรรค์ 


ทำให้รู้ว่า อาหารที่อร่อยที่สุดในโลก

คือ อาหารที่ทานในขณะที่หิว

และท้องกำลังร้องจ๊อกๆ 


เขาเรียกลูกชายมา สั่งอะไรก็ไม่รู้เพราะฟังไม่รู้เรื่อง 

แต่สังเกตว่า ลูกดูจะอายุไล่เลี่ยกับเรา 


สักพักใหญ่ ลูกชายก็กลับมาด้วยกางเกง

และเสื้อเชิ้ตชุดหนึ่ง 


พอเห็นว่า เราอิ่มหนำสำราญแล้ว ก็ชี้ไปที่ห้องน้ำ 

สั่งให้อาบน้ำ เปลี่ยนผ้าชุดใหม่ 

(ของเก่าน่ากลัวเอาไปเผา) 


เขาไม่ยิ้ม ไม่แย้ม ไม่พูดจาอะไรเลย 

มีแต่สั่งอย่างเดียว 


ขณะอาบน้ำอยู่ ก็คิดสันนิษฐานว่า 

แม่คนนี้อาจเห็นอาตมา 

แล้ววาดภาพ นึกถึงลูกชายเขาเองว่า 


ถ้าสมมุติว่าลูกเราเดินทางไปต่างประเทศ

แล้วตกทุกข์ได้ยากอย่างนี้ 

อยู่ในสภาพน่าสมเพชอย่างนี้ มันจะเป็นอย่างไร 


ฉะนั้นอาตมาจึงคิดว่า 

เขาช่วยเราด้วยความรักของแม่ 


เลยคิดแต่งตั้งเขา

เป็นแม่กิตติมศักดิ์ ประจำเมืองอิหร่าน 

ยืนยิ้มหน้าบานอยู่ในห้องน้ำคนเดียว

.

เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว

เขาก็ไปส่งเรา ตรงจุดที่ได้เจอกัน 


แล้วเดินลุยเข้าไปในกระแสชาวเมือง

ที่กำลังเดินไปทำงาน 


อาตมายืนมองผู้หญิงอิหร่านคนนั้น

ถูกหมู่ชนกลืนไป 


รู้อย่างแม่นยำว่า ชาตินี้คงไม่มีวันลืมเขาได้ 


อาตมาประทับใจ และซาบซึ้งมาก 

น้ำตาทำท่าจะไหลคลอ 


เขาให้เรา ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกันเลย 


ตัวสูงๆ ผอมๆ เหมือนไม้เสียบผี 

จากป่าช้าที่ไหนก็ไม่รู้ เสื้อผ้าก็เหม็นสกปรก 

ผมก็ยาวรกรุงรัง 


แต่เขากลับไม่รังเกียจเลย 


มิหนำซ้ำยังพาเราไปที่บ้าน

และดูแลเหมือนเราเป็นลูกของเขาเอง

โดยไม่หวังอะไรตอบแทนจากเราเลย


แม้แต่การขอบคุณ 


เวลาผ่านมายี่สิบกว่าปีแล้ว (พิมพ์พ.ศ. ๒๕๔๐) 


อาตมาจึงอยากประกาศคุณของพระโพธิสัตว์หน้าบูดคนนี้ ให้ทุกคนได้ทราบว่า 


แม้ในเมืองใหญ่ๆ 

ก็ยังมีคนดี และอาจมีมากกว่าที่เราคิด

.

ไม่ใช่เพียงแค่นี้คนเดียว 


ตอนสมัยที่อาตมาแสวงหาประสบการณ์ชีวิตนั้น 

ได้รับความเมตตาอารี ความช่วยเหลือเจือจาน

จากคนหลายๆ ชาติ 


ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ขออะไรจากใคร 


ทำให้ตั้งใจว่า มีโอกาสเมื่อไร 

ต้องช่วยเหลือคนอื่นบ้าง 

ต้องมีส่วนในการสืบอายุของน้ำใจในหมู่มนุษย์


แม้สังคมทั่วไป 

จะอัตคัดกันดารคุณงามความดีเพียงไร


แต่ขอให้เราพยายาม เป็นแหล่งเขียวเล็กๆ 

แก่เพื่อนร่วมโลกก็ยังดี

.

ต่อมาอาตมาได้กลับไปอยู่อินเดียอีกครั้งหนึ่ง 


พักปฏิบัติธรรมกับครูบาอาจารย์สายฮินดูองค์หนึ่งท่านน่าเลื่อมใสมาก 

มีข้อวัตรปฏิบัติคล้ายกับของพุทธ 


อยู่กับท่าน 

มีเวลานั่งคิดไตร่ตรองชีวิตของตนเองมาก 


ตอนบ่ายชอบเดินขึ้นเขา ไปนั่งใต้ต้นไม้เก่าแก่ท่ามกลางสายลม ดูทะเลสาบข้างล่าง 

และทะเลทรายที่เหยียดยาวออกไปถึงขอบฟ้า


ความคิดก็ปลอดโปร่งดี 


แล้ววันหนึ่ง ก็นั่งนึกแปลกใจตัวเองว่า 

เมื่อไหร่ที่เราระลึกในความมีน้ำใจของผู้ที่เคยเกื้อกูลการเดินทางของเรา ให้อาหารบ้าง ให้ที่พักสักคืนสองคืนบ้าง เราจะรู้สึกทึ่งทุกครั้ง 


แต่ทำไม พ่อแม่เลี้ยงเรามา ๑๘ ปี 

ให้อาหารทุกวัน ไม่เคยขาด 

วันละสามมื้อบ้าง สี่มื้อบ้าง 

และยังเป็นห่วง ว่าจะไม่ถูกปากเราอีก 

ท่านให้ทั้งเสื้อผ้า และที่นอน 

ยามป่วยไข้ ท่านก็พาไปหาหมอ 

และเหมือนว่าท่านจะเป็นทุกข์มากกว่าเราเสียอีก


ทำไมเราไม่เคยซึ้งในเรื่องนี้เลย? 


มันไม่ยุติธรรม และน่าละอาย 


สำนึกตัวว่าประมาทเหลือเกิน 


ในขณะนั้นเหมือนเขื่อนพัง 


ตัวอย่างความดีของพ่อแม่

ไหลทะลักเข้ามาในจิต จนตื้นตันใจมาก 


นี่คือจุดเริ่มต้น

ของการรู้จักบุญคุณของพ่อแม่ ในชีวิตของอาตมา

.

เราคิดต่อไปว่า 

ตอนคุณแม่ท้องก็คงลำบาก 

ในช่วงแรกคงแพ้ท้อง 

ต่อมาการเดิน การเหิน 

การเคลื่อนไหวทุกประเภทคงไม่สะดวกไปหมด ปวดเมื่อย 


แต่ท่านก็ยอม 

เพราะเชื่อว่าความทุกข์ที่เกิดขึ้น มีความหมาย 


และความหมายนั้น คือ เรา

.

ตอนเด็ก เราต้องอาศัยท่านหมดทุกสิ่งทุกอย่าง 


ทำไมเรารู้สึกเฉยๆ 

เหมือนกับว่า เป็นหน้าที่ของท่าน

ที่จะต้องให้และเป็นสิทธิของเราที่จะรับ 


ต่อมาเลยสำนึกว่า 

ที่มีโอกาสปฏิบัติธรรมเป็นที่พึ่งของตน 

ก็อาศัยที่ว่า คุณพ่อคุณแม่ เคยเป็นที่พึ่งอันมั่นคงแก่เราในกาลก่อน ทำให้จิตใจเรามีฐานที่เข้มแข็งพอ

ที่จะสู้กับกิเลสของเราได้

.

เมื่ออายุ ๒๐ ปี อาตมาเดินทางมาเมืองไทย 

เพื่อบวชในบวรพระพุทธศาสนา 


โยมพ่อโยมแม่ ก็ไม่ขัดข้อง 


เพราะต้องการให้ลูกดำเนินชีวิต

ในทางที่พอใจ และมีความสุข 

ได้ชนะความหวังส่วนตัวในใจของท่าน


ปีที่แล้วนี้เอง ที่โยมแม่สารภาพกับอาตมาว่า 


วันที่ลูกจากบ้านไป

เป็นวันที่แม่เศร้าโศกที่สุดในชีวิต 


อาตมาประทับใจมาก ที่ท่านพูดอย่างนั้น 


แต่ที่ประทับใจยิ่งกว่านั้นคือ 

การที่โยมแม่อดทน ไม่พูดให้เราทราบความทุกข์นี้ตั้ง ๒๐ ปี เพราะกลัวเราจะไม่สบายใจ

.

พอบวชแล้ว

บางครั้งอดที่จะตำหนิตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่า ตอน


อยู่กับพ่อแม่ มีโอกาสตอบแทนบุญคุณท่านทุกวันแต่ไม่ค่อยได้ทำอะไร 


เดี๋ยวนี้อยากทำ แต่ทำไม่ได้ 

เพราะอยู่ห่างไกลและเป็นพระ 


จึงรู้สึกเสียดาย ต้องตั้งใจแผ่เมตตาแก่ท่านทุกวัน

.

ในภาษาอังกฤษคำว่า 


“บุญคุณของพ่อแม่” ไม่มี 


ที่เมืองนอก 

ความรักและความผูกพันระหว่างพ่อแม่กับลูก 

มีอยู่เหมือนกัน เป็นเรื่องธรรมดา 


แต่ความรู้สึกว่า 

สมาชิกครอบครัวมีหน้าที่ต่อกัน มีน้อยกว่าที่นี่ 


ชาวตะวันตก ชอบเป็นตัวของตัวเอง 

ไม่ชอบการก้าวก่าย

ไม่ค่อยเชื่อความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูก

มีความลึกลับอะไร 


ไม่เห็นว่าพ่อแม่มีสิทธิ์อะไรพิเศษ 

ที่จะได้กำหนดแนวทางชีวิตของลูก....

.

พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า 


ลูกคนไหนเชิญคุณพ่อคุณแม่ไปนั่งบนบ่าคนละข้าง แล้วแบกไป แบกมา ตลอดร้อยปี 


อาบน้ำนวดเส้นให้ท่าน 

แม้จนกระทั่ง ปล่อยให้ถ่ายปัสสาวะ 

และอุจจาระราดบ่า 


หรือไม่อย่างนั้น 

มอบเงินให้ท่านเป็นจำนวนล้าน หรือสิบๆ ล้าน 

ตั้งท่านไว้ในตำแหน่งมีเกียรติยศและอำนาจ 


ทำถึงขนาดนี้ 

ก็ยังยากที่จะตอบแทนบุญคุณท่านได้หมด

.

แต่ว่าลูกคนใด สามารถปลูกฝัง

หรือชักนำให้พ่อแม่ ผู้ไม่มีศรัทธาในหลักธรรม 

หรือมีศรัทธาน้อย ได้มีศรัทธามากขึ้น 


พ่อแม่ผู้ไม่มีศีล หรือมีศีลที่ขาดตกบกพร่อง

ได้มีศีลมากขึ้น พ่อแม่ตระหนี่ 

ให้กลายเป็นผู้ยินดีในทาน 

และการช่วยเหลือเกื้อกูล 


พ่อแม่ผู้ไม่มีปัญญาชนะกิเลส 

และดับความทุกข์ ได้มีปัญญา


 ลูกที่ทำอย่างนี้ได้สำเร็จ 

ก็ถือว่าตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่ได้สมบูรณ์

ได้ใช้หนี้อันศักดิ์สิทธิ์ได้หมด


พระธรรมพัชรญาณมุนี 

(พระอาจารย์ชยสาโร) 🙏


✔️ พุทโธ ร่มโพธิ์แก้ว  🙏

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น