หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2567

วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2567

รักษาจิต


 ครั้งหนึ่งการจราจรบนท้องถนนกรุงเทพเลวร้ายกว่าปกติจากเหตุพายุฝน อาตมาเดินทางไปอุบลเพื่อเข้าร่วมประชุมประจำปีกับคณะสงฆ์ลูกศิษย์หลวงปู่ชา การเดินทางไปสนามบินซึ่งปกติจะใช้เวลา ๓๐ นาทีกลับกลายเป็น ๒ ชั่วโมง อาตมาตกเครื่องบิน และต้องใช้เวลาอีกเกือบ ๒ ชั่วโมงเพียงเพื่อกลับไปยังจุดเริ่มต้นของการเดินทางอีกครั้ง


อาตมาภาวนาในรถเพื่อรักษาไม่ให้จิตใจขุ่นมัว หรือมัวครุ่นคิดเรื่องที่ต้องเสียเวลา อาตมาพิจารณาว่าแม้จะไม่สามารถควบคุมสภาพการจราจรหรือฝนฟ้าอากาศ แต่อาตมาสามารถเลือกได้ว่าจะรักษาจิตให้อยู่ในสภาวะที่เป็นกุศลหรืออกุศล ไม่ว่าเหตุปัจจัยภายนอกเป็นอย่างไร ทุกขณะที่จิตสงบ ตื่นรู้ เป็นการใช้เวลาที่ดีและได้กำไร อาตมาลงจากรถที่จอดหน้ากุฏิที่กรุงเทพ แม้จะเหนื่อยบ้าง แต่จิตใจยังเบาสบาย


พระอาจารย์ชยสาโร

******

Cr.https://www.facebook.com/share/QtoPoE9ri75X35ji/?mibextid=oFDknk

ภวังคจิต


      ภวังคจิต จิตที่เป็นองค์แห่งภพ ตามหลักอภิธรรมว่า จิตที่เป็นพื้นอยู่ระหว่างปฏิสนธิและจุติ คือ ตั้งแต่เกิดจนถึงตาย ในเวลาที่มิได้เสวยอารมณ์ทางทวารทั้ง 6 มีจักขุทวาร เป็นต้น แต่เมื่อใดมีการรับรู้อารมณ์ เช่น เกิดการเห็น การได้ยิน เป็นต้น ก็เกิดเป็นวิถีจิตขึ้นแทนภวังคจิต เมื่อวิถีจิตดับไป ก็เกิดเป็นภวังคจิตขึ้นอย่างเดิม...(จากพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต))
..................
..................
ตกภวังค แปลว่าอะไร?



พระรุจ Daily ธรรมะ 5 นาที

Cr.https://www.facebook.com/share/v/SacdBQQqK5D4Hmuo/?mibextid=oFDknk

วันพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2567

ปล่อยวาง


 นิทานโบราณเล่ามาว่า อาจารย์เซนท่านหนึ่งพากลุ่มลูกศิษย์ลงไปชายฝั่งทะเล   แจกกระชอนให้คนละอันแล้วบอกให้เติมน้ำจนเต็ม  บรรดาลูกศิษย์ได้แต่มองหน้ากัน งานอย่างนี้ใครจะไปทำได้  แต่ด้วยความยำเกรง ลูกศิษย์จึงพยายามเต็มที่  เพียงสักพักก็ต้องยอมแพ้   “ท่านอาจารย์ขอรับ โปรดให้อภัย” ลูกศิษย์กล่าว “ทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จขอรับ”  ท่านอาจารย์ไม่พูดอะไร คว้ากระชอนขึ้นมาอันหนึ่งแล้วโยนลงทะเล  เมื่อกระชอนจม ลูกศิษย์จึงได้เห็นว่าน้ำเต็มกระชอนเป็นอย่างนี้นี่เอง

หลวงปู่ชา ผู้เป็นครูบาอาจารย์ในยุคปัจจุบัน มักจะสอนลูกศิษย์ว่า “ให้เราน้อมใจไปหาธรรมะ ไม่ใช่น้อมธรรมะมาหาใจเรา”


ครูบาอาจารย์ยุคเก่าและยุคปัจจุบันต่างสอนในเรื่องเดียวกัน  คือ อย่าปล่อยให้ความเห็นและอคติ ตัณหาและความกลัวมาครอบงำการปฏิบัติธรรม  อย่ามัวไปเลือกแต่คำสอนที่ถูกใจ เพราะทั้งหมดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน


ถ้าเราปฏิบัติธรรมโดยยังยึดกิเลสที่หวงแหนบางตัวไว้อย่างเหนียวแน่น เท่ากับเราพยายามปรับธรรมะให้เข้ากับจิตที่ยังหลงผิด ย่อมไม่ต่างจากการบิดเบือนหลักธรรมคำสอน


การทิ้งกระชอนหมายถึงการปล่อยวางความสำคัญตัวสำคัญตน  เราต้องกล้าพอที่จะไว้ใจในพระมหาปัญญาธิคุณและพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธองค์  จิตอันปราศจากเงื่อนไขจึงจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับมหาสมุทรแห่งธรรม


ธรรมะคำสอน โดย พระอาจารย์ชยสาโร

แปลถอดความ โดย ปิยสีโลภิกขุ

******

Cr.https://www.facebook.com/share/F1NDajdA2gNQVxk5/?mibextid=oFDknk


วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2567

อรหันต์ในบ้าน


 Cr.fwd.line

******

คราวหนึ่ง "สมเด็จโต" ได้รับนิมนต์ให้แสดงธรรม ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จออกมาท่ามกลางเหล่าขุนนาง ครั้นพอพบหน้าท่าน เจ้าผู้ครองแผ่นดินก็ทรงสัพยอกว่า...


"ท่านเจ้าคุณ เห็นเขาชมกันทั้งเมืองว่าท่านเทศน์ดีนักนี่ วันนี้ต้องขอพิสูจน์หน่อย"


สมเด็จโตทรงทูลว่า


"ผู้ที่ไม่เคยฟังในธรรม ครั้นเขาฟังธรรม และได้รู้เห็นในธรรมนี้แล้ว เขาก็ชมว่าดี ขอถวายพระพรมหาบพิตร"


และวันนี้อาตมาจะมาเทศน์เรื่อง 

"พระอรหันต์อยู่ในบ้าน"


ฝ่ายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและเหล่าขุนนางต่างก็มีความสงสัย เพราะเคยได้ยินแต่ว่าพระอรหันต์ท่านจะอยู่ในถ้ำ - ในป่า - ในเขา ในที่เงียบสงัดหรือที่วัดวาอารามเท่านั้น แต่ทำไมสมเด็จโตจึงกล่าวว่าจะเทศนาเรื่อง "พระอรหันต์อยู่ในบ้าน"


ในขณะที่ทุกคนพากันคิดสงสัยอยู่นั้น ฝ่ายสมเด็จโตทรงทราบด้วยญาณวิถีของทุกคน ท่านจึงขยายความต่อไปว่า...

.

"จิตพระอรหันต์เป็นผู้บริสุทธิ์ ท่านละจากความโลภ ความหลง ไม่ยินดียินร้ายในเรื่องใด ๆ ทั้งสิ้น เป็นเนื้อนาบุญอันยอดเยี่ยม"


"หากใครได้ทำบุญกับพระอรหันต์แล้วไซร้ ถือได้ว่าเป็นลาภอันประเสริฐที่สุด บุญที่ได้ทำกับท่านจะให้ผลในชาติปัจจุบันทันที ไม่ต้องรอไปถึงชาติหน้า ทุก ๆ คนจึงมุ่งเสาะแสวงหาแต่พระอรหันต์ที่อยู่นอกบ้าน แต่ไม่เคยมองเห็นพระอรหันต์ที่อยู่ในบ้านเลย"


ทุก ๆ คนที่นั่งฟังเทศนาอยู่ในที่แห่งนั้น ต่างทำสีหน้างุนงงไปตามกัน 

สมเด็จโตจึงเทศนาต่อไปว่า...


"พระอรหันต์คือ พระผู้ประเสริฐ คนเราทั้งหลายพยายามค้นหาพระผู้ประเสริฐ เพียงหวังที่จะยึดท่าน เกาะผ้าเหลืองท่าน เกาะหลังของท่าน เพื่อให้ท่านพาไปสู่ความสุข แม้ว่าท่านจะอยู่ไกลสุดขอบฟ้า เราก็ยังอุตสาห์ดั้นด้นดิ้นรนไปหา เพียงหวังเพื่อยึดเหนี่ยวและบูชาท่าน"


"แต่พระที่อยู่ภายในที่ใกล้ตัวที่สุดกลับมองข้าม มองไม่เห็นเหมือนใกล้เกลือแต่กลับไปกินด่าง อันน้ำใจของพ่อ - แม่ที่ให้ต่อลูก มีแต่ความบริสุทธิ์ ไม่คิดหวังสิ่งตอบแทนเช่นเดียวกับน้ำใจของพระอรหันต์ที่ให้ต่อมนุษย์ก็มีความบริสุทธิ์เช่นเดียวกัน"


"พ่อแม่จึงเปรียบเสมือนพระอรหันต์ของลูก ท่านมีน้ำใจบริสุทธิ์ต่อลูกมากมายนัก ท่านเลี้ยงดูเรามาตั้งแต่อยู่ในท้อง ท่านทนทุกข์ทรมานแต่ท่านก็ไม่เคยปริปากบ่นสักนิด"


"แม้ลูกเกิดมาแล้วพิกลพิการ หูหนวก ตาบอด ท่านก็ยังรัก ยังสงสาร เพราะท่านคิดเสมอว่า นั้นคือสายเลือด ไม่เคยคิดรังเกียจและทอดทิ้ง แต่ท่านกลับจะเพิ่มความรักความสงสารมากยิ่งขึ้น"


"ครั้นตอนที่เราเป็นเด็กเล็ก ๆ ก็ซุกซน รู้เท่าไม่ถึงการณ์ เราเคยหยิก เคยข่วน ทุบ ตี เตะ ต่อย กัด หรือด่าทอพ่อแม่ต่าง ๆ นานา เพราะความไร้เดียงสา ท่านก็ไม่เคยโกรธเคือง กลับยิ้มร่าชอบใจ เพิ่มความรักความเอ็นดูให้เสียอีก"


"แม้เราจะเป็นผู้ใหญ่รู้ผิดชอบชั่วดี แต่บางครั้งด้วยความโกรธ ความหลง เราก็ยังทุบตีหรือด่าทอท่านอยู่ แทนที่ท่านจะโกรธหรือถือโทษเอาผิดต่อเรา ท่านกลับยอมนิ่งเฉย ยอมที่จะทนรับทุกข์เพียงฝ่ายเดียว ยอมเสียน้ำตา ยอมเป็นเครื่องรองรับมือ รับเท้า และปากของเรา"


"สำหรับลูกแล้ว ท่านเสียสละให้ทุกอย่าง ท่านให้อภัยในการกระทำของเราเสมอ เพราะท่านกลัวเราจะมีบาปติดตัว จึงยอมที่จะทุกข์เสียเอง ไม่มีใครในโลกนี้ที่จะรักเรา และหวังดีต่อเราอย่างจริงจังและจริงใจเหมือนพ่อแม่"


"ท่านเลี้ยงดูเรามาตั้งแต่เล็กจนเราเติบใหญ่ ทุ่มเทแรงกายแรงใจ และกำลังทรัพย์ให้แก่เราอย่างมากมาย จนไม่อาจประมาณค่าเป็นตัวเลขได้"


"ในบางครั้งลูกหลงผิดเป็นคนชั่วด้วยอารมณ์แห่งโทสะ เป็นคนเมาขาดสติ ก่อกรรมทำเข็ญเป็นที่เดือดร้อนแก่ชาวบ้าน ต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ในสายตาของท่านแล้ว เมื่อมีภัยสู่ลูกก็ยังปกป้องรักษา ช่วยเหลือลูกอย่างเต็มกำลังและสุดความสามารถยอมเสียทรัพย์สินและเงินมากมาย เพื่อให้ลูกได้พ้นผิด"


"ถึงแม้ว่าในบางครั้งลูกต้องถูกจองจำหมดแล้วซึ่งอิสรภาพด้วยอาญาแห่งแผ่นดินก็คงมีแต่พ่อแม่เท่านั้นที่คอยหมั่นดูแลไปเยี่ยม คอยส่งน้ำส่งข้าวปลาอาหาร คอยให้กำลังใจแก่ลูก และรอนับเวลาที่ลูกจะกลับมาสู่อ้อมกอดอีกครั้งหนึ่ง"


"น้ำใจที่มีต่อลูกเช่นนี้เปรียบเท่ากับน้ำใจของพระอรหันต์โดยแท้ พ่อแม่จึงเป็นพระอรหันต์ในบ้านของเราจริง ๆ ทำไมพวกท่านจึงไม่คิดที่จะทำบุญกับพระอรหันต์ที่อยู่ในบ้านของท่านเล่า"


"สำหรับลูก ถึงแม้พ่อแม่จะเป็นโจร เป็นคนชั่วในสายตาของบุคคลอื่น แต่สำหรับลูกแล้วท่านเสียสละได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทอง แม้แต่ชีวิตท่านก็สามารถเสียสละให้ลูกได้ พ่อแม่มีลูกนับ ๑๐ คนเลี้ยงดูมาเติบใหญ่ แต่ลูก ๑๐ คน กลับเลี้ยงดูพ่อแม่เพียง ๒ คนไม่ได้ ชอบเกี่ยงกัน เพราะลูกเหล่านั้นกำลังลืมคำว่าพระคุณของพ่อแม่"


"ยามที่พ่อแม่ท่านยังมีชีวิตอยู่ เราควรที่จะเลี้ยงดูพ่อแม่โดยการซื้ออาหารการกิน ซื้อเสื้อผ้า พาท่านไปทำบุญทำทาน เข้าวัดเข้าวา อะไรก็ตามที่ทำแล้วให้ท่านมีความสุขก็ควรทำให้ท่าน และเลี้ยงดูจิตใจท่าน เชื่อฟังในโอวาทคำเตือนของท่าน"


"คำพูดคำจาที่จะพูดกับท่านก็ต้องระมัดระวังเพราะคนแก่นั้นใจน้อย ต้องรักษาน้ำใจท่านไว้ด้วยคำพูดที่นิ่มหู ไม่ปล่อยทิ้งให้ท่านอยู่อย่างว้าเหว่ คอยเอาใจใส่ปรนนิบัติดูแลท่านอย่างใกล้ชิด"


"แต่คนส่วนมากมักจะทำบุญให้พ่อแม่ เมื่อยามที่ท่านตายจากเราไปแล้ว นั่นคือการพลาด และเป็นการพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเรา ซึ่งความจริงแล้วเราควรที่จะทำบุญให้กับพ่อแม่ในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้กตัญญูกตเวที"


"ขอให้สาธุชนทั้งหลายผู้มาได้ฟังธรรมในวันนี้ จงกลับไปทำบุญกับพ่อแม่ผู้เป็นพระอรหันต์ในบ้าน การทำบุญแบบนี้จะได้อานิสงส์ทันตาเห็นในชาติปัจจุบัน"


"พระอรหันต์ที่อยู่นอกบ้าน พวกท่านไม่อาจจะล่วงรู้ได้ว่าองค์ใดจริง หรือไม่จริง แต่ที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด เป็นของจริงและบูชาได้อย่างแน่นอน ไม่เคยเห็นผู้ใดเลยที่มีความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่แล้ว ต้องพบกับความวิบัติ ไม่เคยมี มีแต่เจริญรุ่งเรือง ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟก็ไม่ไหม้ มีแต่ความสุข"


"ขอให้ท่านทั้งหลายที่อยู่ในที่นี้ จงใช้สติและพิจารณาในเรื่องราวต่าง ๆ ที่อาตมาได้เทศนาให้ฟังในครั้งนี้ให้ดี แล้วประโยชน์ และความสุข ก็จะบังเกิดแก่ท่านทั้งหลาย อย่างทันตาเห็น"


"เอวัง...ก็มีด้วยประการฉะนี้

ขอถวายพระพร"


ฝ่ายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและข้าราชบริพาร ได้ฟังคำเทศนาของสมเด็จโตจบลง บ้างน้ำตาก็คลอเบ้า บ้างน้ำตาก็หลั่งไหลออกมาสุดที่จะกลั้นได้ ด้วยความรู้สึกรักสงสาร และคิดถึงพระคุณพ่อแม่ขึ้นมาอย่างจับจิตจับใจอย่างที่ไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อนเลย เจ้าผู้ครองแผ่นดินแห่งสยามประเทศ จึงตรัสด้วยพระสุรเสียงอันสั่นเครือว่า...


"ท่านเจ้าคุณท่านเทศน์ได้จับใจยิ่งนัก และขอให้ทุกคนจงกลับไปทำบุญกับพ่อแม่ผู้เป็นพระอรหันต์เถิด"


--- Cr. เทพ สุนทรศารทูล

จากหนังสือ อุตตริมนุสธรรมของสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พรหมรังสี)

วันอังคารที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2567

ดูแลจิต


 คนเราอยากจะมีอายุยืน  ทำไมสนใจแต่ปริมาณชีวิตที่ยังมาไม่ถึง ไม่สนใจคุณภาพชีวิตที่มีอยู่แล้ว  เราชอบเสียเวลากับความอยากได้อยากมีอยากเป็น โกรธคนนั้น เกลียดคนนี้  เรื่องเพ้อเจ้อก็เยอะ  การปล่อยให้ชีวิตผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ก็เหมือนกับไม่ให้เกียรติชีวิตตัวเอง  ไม่รักชีวิตจริง 


ทุกคนต้องการให้อายุยืน ถ้าสมมุติว่าตอนนี้มียาจากเมืองนอก ฉีด ๒-๓ เข็มจะต่ออายุ ๕ ปี เอาไหม?  โอ้โห จะมีคิวยาวเหยียดเป็นกิโล  แต่ถ้าเรามาดูในแต่ละวัน เวลาที่เสียไปกับอารมณ์ที่เศร้าหมอง หรือด้วยความคิดเพ้อเจ้อก็น่าใจหาย  ทำไมเราไม่สำนึกว่านี่กำลังฆ่าตัวตายนะ  ฆ่าชีวิตโดยสิ่งที่ไร้ค่า  ทำไมเราจึงปล่อยให้เป็นอย่างนั้น

 

ขอให้ดูแลจิตใจป้องกันไม่ให้เป็นเหยื่อของอารมณ์  ไม่หลงใหลอยู่กับสิ่งไร้ค่า หรือว่าเป็นพิษเป็นภัย  ขอให้รักตัวชีวิตให้มากกว่านี้

 

พระอาจารย์ชยสาโร

*****

Cr.https://www.facebook.com/share/nAZhMUv6wb3FmXet/?mibextid=oFDknk

วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2567

กรรมฐาน


 ธรรมะอรุณสวัสดิ์...รับวันใหม่ 

.............................

ทำกรรมฐาน 

เดินจงกรม นั่งภาวนา 

มีสติ รู้ตัวทั่วพร้อมต่อเนื่อง 

แต่มันต้องไม่ลืม 

ต้องวางใจเป็นกลาง วางเฉยได้ 

คำสอนเรื่องปล่อยวางคอยเตือนใจไว้  

กำหนดรู้สิ่งใดก็ปล่อยวาง 

รู้สิ่งใดก็วาง ละวาง ไม่เอาอะไร 


#ไม่ใช่เราไปทำกดดันจนเครียดจนปวดหัว 

#การปฏิบัติอย่างนี้ไม่ถูก  

ถ้าเราปฏิบัติเป็น ต้องเบาขึ้น 

สมองโปร่ง โล่ง เบา ไม่เครียด ไม่เกร็ง 

มีแต่เคยปวดหัวมาจากความเครียด 

พอมาทำวิปัสสนาก็จะหายไป คลายไปหมด 


#ท่านให้ปรับสัปปายสัมปชัญญะ  

#ปรับให้สบาย ปรับให้ถูก 

นั่งให้มันสบาย ๆ เดินสบาย ๆ 

คู้ เหยียด เคลื่อนไหวอย่างสบาย ๆ 

แต่ว่าไม่ใช่ปล่อยปละละเลย 

#ในความสบายก็เจริญสติระลึกรู้ 

#รู้เนื้อรู้ตัว #รู้กายใจ 


#แต่ไม่ต้องกดดันตัวเอง #มันจะไม่ได้สมาธิ 

#สมาธิมันอาศัยความสบาย 

แต่ต้องภาวนา 

ไม่ใช่นอนหลับสบาย ไม่ได้สมาธิ 

ทำกายสบาย แต่ต้องกำหนดรู้ 

หายใจเข้าอย่างสบาย หายใจออกอย่างสบาย แต่ต้องกำหนดรู้ไป 

ทำไป ๆ เรื่อย ๆ ก็มีสมาธิขึ้นมา 

แต่ถ้าเราทำกดดัน ๆ  

มันก็เครียด มันก็แน่น ก็อึดอัด 

ไม่มีความสุข มันก็ไม่ได้สมาธิ 


ภาวนาปรับกายปรับใจให้มันสบาย ๆ 

#ส่วนที่มันเผลอไปหลุดไปก็ปล่อย 

#แล้วก็พยายามรู้สึกตัวกลับคืนมา 

เผลอก็เผลอ รู้ตัวว่าเผลอ กลับคืนมา 

รู้สึกตัว กลับคืนมาเรื่อย ๆ 

ฝึกการรู้สึกตัว รู้ตัวทั่วพร้อมเนือง ๆ 


เข้าใจวิธีการแล้วก็ต้องฝึก 

ฝึกมากจึงจะทำให้เรามีความชำนิชำนาญ 

วางใจเป็นกลาง วางเฉยเป็นอย่างดี 

ตื่นรู้อยู่ภายใน 

ก็จะทำให้ใจเราเกิดสติปัญญา  

เกิดดวงตาเห็นธรรม 

นำตนได้พ้นทุกข์ 

เข้าถึงบรมสุขคือพระนิพพาน 


ฟังใหม่ ๆ ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ 

แต่เมื่อเราปฏิบัติไป 

ฟังใหม่ ความเข้าใจก็จะเพิ่มขึ้น 

มันไม่มีใครฟังทีเดียวรู้เรื่อง 

ฟังไปปฏิบัติไป เจริญสติไป 

ความรู้ความเข้าใจก็จะมากขึ้น 

ฝึกมาก ที่สุดเราก็ทำเป็น เข้าใจ 

 

#ถึงแม้เข้าใจ #ถ้าเราไม่ฝึกมันก็ไม่ได้ 

#รู้วิธีการขับรถ #แต่เราไม่ไปฝึกขับรถ 

#มันก็ไม่เป็น #ไม่ชำนาญ 

#มันต้องฝึก #ฝึกแล้วฝึกอีก 


กรรมฐาน ๒ แบบ 

คอร์สกรรมฐาน ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๖ ลานอมตธรรม 

.............................

ธัมโมวาท โดยหลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี

เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา

*****

Cr.https://www.facebook.com/share/BTRCbKYtcs44dyvy/?mibextid=oFDknk

วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2567

ร่วมสร้างกุศลกันอีกครั้ง

58 ปี นาวี 09
"สร้างกุศลอีกครั้ง
เพื่อสถาบันของเรา"







ประธานรุ่น สมศักดิ์ ย.แจ้งข่าว สมาคมศิษย์เก่า รร.ชุมพลฯ  มีหนังสือเชิญ นรจ.รุ่น ๐๙ ร่วมบริจาคสร้างสำนักงานสมาคม ฯ ส่วนแยกที่ รร.ชุมพลฯ สำหรับผู้บริจาค จำนวน ๒๐,๐๐๐.- บาท ขึ้นไป จะจารึกชื่อบนป้ายหินอ่อนที่สมาคมฯ ณ ที่ตั้ง รร.ชุมพลฯ...ประธานรุ่นสมศักดิ์ ย.จะรวบรวมเงินของเพื่อนๆและบริจาคในนามของ รุ่น ๐๙ พร้อมทั้งจัดทำบัญชีผู้บริจาคเพื่อแจ้งในเพื่อนๆ ได้ทราบต่อไป ครับ...🥰...อนึ่ง รุ่น ๐๙ ของเราได้ร่วมกิจกรรมของสมาคมศิษย์เก่า รร.ชพ.ฯ เป็นอย่างดียิ่งตลอดมา... 






วันอังคารที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2567

สายใยสัมพันธ์ นย.๑๑


       

           เพื่อน เสรี อ.ฝากส่งข่าวถึงเพื่อน ๆ นย.๑๑...

      ปกติแล้ว นย.๑๑ จะพบปะกันเป็นประจำ แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมา ๖ ปีแล้ว  ตั้งแต่ พบกันที่วังน้ำเขียวเมื่อ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๑  แล้วก็ไม่ได้พบปะกันอีกเลย...ช่วงนี้สถานการณ์โรคโควิดผ่านพ้นไปแล้ว จึงได้กำหนดการพบปะกันอีกครั้ง "สายสัมพันธ์ด้วยความรักและคิดถึง" ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๖๗ ที่หาดนางรอง สัตหีบ ชลบุรี  ขอเชิญเพื่อน ๆ นย.๑๑ ได้ร่วมงานโดยพร้อมเพรียงกัน ครับ..




*********
Cr.ภาพจากเพื่อน เสรี อ.

******

******




วันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2567

จิตวิญญาณของบูรพา


 ความรู้สึกกตัญญู มันดำรงอยู่ในจิตวิญญาณบูรพา

❤️❤️

...


อาจารย์คริส และอาจารย์ซูซาน .. 2 สามีภรรยา และเพื่อน ๆ เคยมาเที่ยวสวนเมื่อก่อนเกิดโรคระบาดโควิด


โดยปกติอาจารย์ทั้ง 2 คน จะมาประเทศไทยทุกปี .. แต่ด้วยสุขภาพที่ไม่อำนวย จึงไม่สามารถเดินทางไกลได้


อ.คริส และซูซาน .. พักอาศัยอยู่ที่เกาะแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา  มีลูก 5 คน


เป็นลูกเชื้อชาติเวียดนาม 2 / ลูกเชื้อชาติไทย 2 และลูกเชื้อชาติเกาหลีใต้ 1


ทั้งหมดเป็นลูกบุญธรรม ที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย ตั้งแต่การขอที่ประเทศต้นทาง จนถึงปลายทางกฎหมายของแคนาดา


อ.ทั้งสอง ไม่มีลูกของตนเอง .. เมื่อเดินทางไปเวียดนาม พบเด็กกำพร้าอายุ 5-7 ขวบ  จึงอยากจะขอนำไปเลี้ยง


ติดต่อเจ้าหน้าที่สถานสงเคราะห์ .. เจ้าหน้าที่บอกว่า เด็กคนที่อาจารย์ขอเลี้ยง เธอมีพี่น้องอีก 1 คน ..


อาจารย์จะไม่แยกพี่น้องออกจากกัน จึงรับทั้งคู่ไว้

....


ต่อมาเมื่อเดินทางมาประเทศไทย 

    พบเด็กกำพร้าที่สถานสงเคราะห์สงขลา อายุ 5-6 ขวบ จึงอยากขอมาเลี้ยง .. เจ้าหน้าที่บอกว่า เขามีน้องชายที่ถูกทิ้งไว้ .. 


อาจารย์ไม่อยากแยกความเป็นพี่น้อง จึงรับไว้ทั้งคู่เช่นกัน


เมื่อเดินทางไปเกาหลีใต้ ระหว่างท่าเรือแห่งหนึ่ง พบเห็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ 5-6 ขวบ แอบอยู่มุมหนึ่งกำลังนั่งร้องไห้ .. 

    อาจารย์เกิดความสงสาร เมื่อรู้ว่าถูกผู้ปกครองนำมาทิ้ง จึงตัดสินใจอุปการะ


การอุปการะ เป็นไปตามกระบวนการกฎหมาย คือแจ้งขอกับเจ้าหน้าที่ของประเทศนั้น ๆ .. แล้วนำเอกสารไปรับรองกับประเทศของตนเอง


เด็ก 5 คน .  จากบูรพาทิศ .. สู่เกาะแวนคูเวอร์ .. 


30-40 ปีผ่านไป 

   อาจารย์ส่งเด็ก ๆ ทั้งหมดเรียนสำเร็จเท่าที่ความสามารถจะเรียนได้  และเติบโตทำงานอย่างมั่งคง .


🚩 อาจารย์คริส จะเล่าประวัติของลูก ๆ แต่ละคนให้ฟัง ให้เขาและเธอรู้ว่า เป็นคนชาติไหน มาจากที่ไหน โดยไม่ปิดบัง


ทั้ง 5 คน จำภาษาแผ่นดินแม่ไม่ได้ .. เรียนรู้ภาษา วัฒนธรรม วิถีชีวิต ความคิด แบบตะวันตกทั้งหมด


จนเมื่อปีที่ผ่านมานี้ .  อ. ซูซาน ภรรยาของ อ.คริส ป่วย  /  แม่ ป่วย .. อยู่กับ พ่อ สองคน 


ส่วนลูก ๆ ใช้ชีวิตข้างนอก มีบ้านมีครอบครัวของตนเอง ตามวิถีแบบฝรั่ง


แต่ใครจะไปคิด .. 


ลูก ๆ ทั้งหมด 5 คน .. คุยกันและตัดสินใจกัน พากันกลับมาบ้านพ่อ


โดยยอมย้ายงาน ยอมปล่อยบ้านที่อยู่อีกเมืองหนึ่งให้คนเช่า เพื่อกลับมาดูแลพ่อแม่


⭐️ อ.คริส  ผู้เป็นพ่อ (บุญธรรม) เล่าว่า เป็นความโชคดีของเขาและภรรยา เหมือนฝันที่ลูก ๆ มีความกตัญญู เช่นนี้


โดยปกติ การดูแลพ่อแม่ผู้แก่เฒ่า ในความรู้สึกของฝรั่งจะไม่ลึกซึ้งจริงจังเช่นชาวเอเซีย 

   คนแก่เฒ่าฝรั่งส่วนใหญ่จะอยู่เพียงลำพัง รัฐมีสวัสดิการดูแล


ลูก ๆ ฝรั่งแยกบ้านแยกครอบครัวออกไป ใช้เพียงโทรศัพท์ส่งความห่วงใยโทรหา  

- นาน ๆ ในเทศกาลสำคัญ ๆ เช่น คริสต์มาส ถึงมาพบปะร่วมโต๊ะอาหาร


แต่ลูกทั้ง 5 คน .. กลับทยอยกันกลับมา เพื่อดูแลชีวิตประจำวันพ่อแม่ ดูแลบ้าน นั่งพูดคุยเฝ้า ตั้งแต่เช้าจนถึงเข้านอน


ทั้งหมด พวกเขาพวกเธอ ตกลงกันเอง แบ่งหน้าที่กันเองอย่างเต็มใจ


ลูกคนหนึ่งพูดว่า .. 

ถ้าเธอไม่มีพ่อและแม่ ก็ไม่มีหนูในวันนี้  - พ่อแม่ทั้งคู่ไม่ได้ให้กำเนิดหนู แต่ให้ชีวิตใหม่กับหนู ให้การศึกษา ให้โอกาส และให้อิสระในการเลือกและการคิด


พวกเธอพวกเขา ไม่รู้หรอกว่า ?  คำว่ากตัญญูในศัพท์วิชาการ ในภาษาฝรั่ง มันมีความหมายอย่างไร ?


❤️ แต่มันผุดขึ้นมาในความรู้สึกของพวกเขา .. อธิบายออกไปคนนอกก็ยากจะเข้าใจ


อ.คริส และอ.ซูซาน บอกว่า > ตัวเขาและภรรยาโชคดี .. 

เพราะการเลี้ยงลูกที่ไม่ใช่ลูกของตัวเอง นับเป็นความเสี่ยง อย่างหนึ่ง !

...


ผมฟังแล้วผมตื้นตัน อยากบอกอาจารย์ทั้งสอง ว่า ไม่ใช่ความโชคดีครับ  แต่เป็นบุญในวาสนาของอาจารย์ . 


คำว่าบุญและวาสนา อธิบายเป็นภาษาอังกฤษไม่ถูก


แต่ "ความกตัญญู" ที่ลูกทั้ง 5 คน .. (อันเป็นคนเชื้อสายเวียดนาม 2  คนเชื้อสายไทย 2 และคนเชื้อสายเกาหลี 1) .. มันคือจิตวิญญาณแห่งชาวบูรพา


มาตรแม้นแต่ละคน ขาดหายจากแผ่นดินแม่ ไม่เคยได้กลับมา จนพูดภาษาแผ่นดินตนไม่ได้เลย


แต่การกตัญญู มันเป็นวิญญาณของชาวบูรพา


มันปรากฎขึ้นมาเองอย่างอัศจรรย์ ที่มิอาจลบล้างให้หายไปได้

....

*******

Cr.Fwd.line

วันพุธที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2567

ลมหายใจ

 


“Breath is the bridge which connects life to consciousness, which unites your body to your thoughts. Whenever your mind becomes scattered, use your breath as the means to take hold of your mind again."

Thích Nhất Hanh

“ลมหายใจเป็นสะพานที่เชื่อมโยงชีวิตเข้ากับจิตสำนึก ซึ่งเชื่อมโยงร่างกายของคุณเข้ากับความคิดของคุณ  เมื่อใดที่จิตฟุ้งซ่าน จงใช้ลมหายใจเป็นเครื่องควบคุมจิตใจอีกครั้ง”

ติช นัท ฮันห์

*****



วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2567

วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2567

Learn to love yourself


" .....criticism this is something that is very
 important that we have to focus on and
loving
 ourself stop criticizing yourself stop
criticizing others now here I'm not
 talking about the constructive criticism
I'm talking about the negative criticism
okay do not criticize others and also do
not criticize yourself okay why we
 should not criticize others to put
 others down in each and every time when
we criticize someone we give the message
to our mind that we are better than them
 okay I am perfect than them and you set
standards to yourself most of the time
these are the these are not realistic
standard okay and when we cannot live up
 to our own standards what happens to us
we hate ourselves and that is how
criticism steals the self-love and the
 self value and that is why we should not
criticize anyone ....."
*******
Cr.https://youtu.be/8Vwcn4hMWvM?si=zBXbLizsd_QZmWaC