หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2566

ปัญญา


 #ปัญญา

#คือแสงสว่างที่จะนำพาชีวิตของพวกเรา


ใน "วัฏฏะ" คือ ความมืด

ในทางสภาวธรรม ก็เหมือนกายภาพ

ถ้ามันมืด.. ก็มองอะไรไม่เห็น

ก็หลงอยู่อย่างนั้นแหละ


#สิ่งที่เป็นคู่ปรับกับความมืด

#คือความสว่าง


เมื่อสว่างมองอะไร

มันก็เห็นหมด อะไรเป็นอะไร

ที่ไม่รู้.. อะไรเป็นอะไร

เพราะว่าไม่มีความสว่างในตัวเอง

ที่เรียกว่าไม่มีปัญญานั่นเอง


เมื่อไม่มีปัญญา

ก็หลงคิดผิด พูดผิด ทำผิดอยู่ร่ำไป

เพราะฉะนั้นพอเราฝึกปฏิบัติ

ถึงจุดหนึ่งมองด้วยปัญญาได้

มันพลิกคว่ำ พลิกจากของที่คว่ำอยู่

เป็นของที่หงายขึ้น


การมองทุกอย่างจะเปลี่ยนไป

อันนี้เป็นผลจากการปฏิบัติ

ที่เราต้องเพาะบ่มขึ้นมาอยู่เนือง ๆ


#วิถีของพระพุทธศาสนา

#จึงเป็นวิถีของผู้ที่มีสติปัญญา


การที่เราจะละกิเลสเครื่องเศร้าหมองต่าง ๆ

ก็ละกันด้วยสติปัญญานี่แหละ

เรียกว่าดำเนินชีวิตด้วยปัญญา

ซึ่งการเพาะบ่มในด้านปัญญานั้น

มีอยู่ 3 ระดับ ด้วยกัน


#สุตมยปัญญา

ปัญญาที่เกิดจากการสดับตรับฟัง

.. จากการฟังธรรม 

.. จากการศึกษาเล่าเรียน

.. ข้ออรรถ ข้อธรรมต่าง ๆ 


นี้ก็เพาะบ่มให้เกิดปัญญาเช่นกัน

.. เกิดความรู้ความเข้าใจ

.. เกิดความเห็นที่ถูกต้อง


สมัยพุทธกาลสำหรับผู้ที่มีบารมี

ฟังธรรมครั้งเดียวก็สามารถ

บรรลุธรรมฉับพลันได้เลย


#จินตามยปัญญา

ปัญญาเกิดจากการขบคิด

พิจารณาโดยแยบคาย

ภาษาธรรมท่านเรียกว่า "โยนิโสมนสิการ"

การพิจารณาโดยการแยบคาย


ส่วนใหญ่แล้วในชีวิตประจำวัน

ก็จะเกิดจาก "โยนิโสมนสิการ"

มองด้วยปัญญา พิจารณาโดยแยบคาย

มันจะพลิกจากของที่คว่ำอยู่

จากใจเราที่มันคว่ำอยู่


การที่ใจเรามีกิเลส มีความหลงอยู่

มองอะไรก็เป็นกิเลสไปหมด

ความโลภ ความโกรธ ความหลง ไปหมด

แต่เมื่อพลิกเป็นปัญญาได้ปุ๊บ

มันหลุดออกจากกรอบเหล่านี้


สมัยพุทธกาล... 

ผู้ที่ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า

จึงเปล่งอุทานว่า พระองค์ชี้ทางสว่างให้

#เหมือนพลิกจากของที่คว่ำ

#เป็นของที่หงายขึ้นมา

บอกทางจากผู้ที่หลงทาง

นี่แสงสว่างแห่งปัญญา


การมองโลกมันจะเปลี่ยนไป

จากที่เคยจมไปกับความทุกข์

ก็หลุดออกจากทุกข์ได้เลย

จากความมืดก็กลายเป็นความสว่าง


#สิ่งที่จะชะความมืดก็คือความสว่าง

#สิ่งที่จะชะความหลงก็คือปัญญา


เพาะบ่มปัญญา ในชีวิตประจำวัน

ส่วนใหญ่จะใช้ในเรื่องโยนิโสมนสิการมาก

การพิจารณาโดยปัญญา

จากปกติเรามองอะไรด้วยตาเนื้อ

สัมผัสด้วยหู อายตนะ

แล้วก็ใช้สมอง ใช้ตรรกะ


#แต่มองด้วยปัญญา

#ก็คือมองด้วยใจที่มีสติปัญญา

.. มันทะลุไปหมด

.. มันเข้าใจ รู้ว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด

.. สิ่งใดควรละ สิ่งใดควรทำนั่นเอง

.


ธรรมบรรยาย โดย พระมหาวรพรต กิตฺติวโร

บ่ายวันที่ 6 พฤษภาคม 2566

*******

Cr.https://www.facebook.com/100044526665714/posts/pfbid0sKdNXXLHs1DPSazFVZPbqUEfarvPLpHuDueA8ipWu48RN1ijWXBCkcYZsi6bjC6el/?mibextid=Nif5oz

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น